ตอนที่ 3479 : ศิษย์ที่แท้จริงของจักรพรรดิหยก
ซูหลี่ยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น คนยืนตัวตรงราวหอกเล่มหนึ่ง!
ทั่วร่างปรากฏแสงกระบี่สีเลือดปกคลุม กลิ่นอายพลังยิ่งใหญ่สุดไพศาลนัก ปลายกระบี่เองบัดนี้ ก็ยืดยาวพุ่งไปยังทิศห่าพิรุณลําแสงกระบี่สีทองปนเขียวด้วยท่วงท่าสภาวะไร้ครั่นคร้ามใดๆ
และในที่สุดแสงกระบี่สีเลือดก็ปะทะเข้ากับห่าพิรุณลําแสงกระบี่สีทองปนเขียว! แรกปะทะพลังสองขุมก็คล้ายจะคู่คี่สูสี ยากแยกแยะสูงต่ํา!
อย่างไรก็ตาม พริบตาต่อมา หลังพบว่าแสงกระบี่สีเลือดยังคงสว่างไสวราวแสงอาทิต์อัสดงไร้หม่นหมอง ส่วนห่าพิรุณลําแสงกระบี่สีทองปนเขียว เมื่อปะทะระเบิดแล้วก็สลายหายไปทุกขณะ บ่งบอกสูงต่ําได้ชัดเจน
“กี๊ซซซ ”
ทันใดนั้นเองเสียงกรีดร้องโหยหวนประหลาดหนึ่ง ชวนให้ผู้คนที่ได้ยินรู้สึกขวัญหายอยู่บ้าง!
“เสียงร้องนั่น จะใช่เสียงวิญญาณกระบี่ของกระบี่อมตะในมือทั่วป๋าผิงรึเปล่า?”
หลายคนเริ่มคาดเดาไปทํานองดังกล่าว
และในขณะที่ทุกคนฉุกคิดเรื่องนี้ ทั้งหมดก็พบว่าแสงพลังสีทองอมเขียวเริ่มจางหายไปแล้ว และเมื่อห่าพิรุณลําแสงกระบี่ถูกทําลายจนหมดทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ เพราะไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ ทว่าบัดนี้ ทั่วป๋าผิง ได้ไปปรากฏตัวนอกสังเวียนแสงเสียแล้ว
ปง! ปง! ปัง! ปง! ปง!
คลื่นพลังคมกล้าจากแสงกระบี่สีโลหิตยังกวาดสะท้านไปรอบๆไม่หยุด พาลให้สังเวียนแสงสะท้านสะเทือนราวกับจะพังทลายลงได้ทุกเมื่อ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่เป็นอะไร ดูท่าคงยากจะพังลงง่ายๆ
“ดูเหมือนว่าขีดจํากัดของม่านแสงกั้นเขตสังเวียนประลอง…น่าจะต้านทานได้แค่พลังของยอดฝีมือเทพสงคราม 4 ดารา
ฉากเรื่องราวเบื้องหน้า ทําให้ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ถึงเรื่องดังกล่าว
เมื่อเห็นว่าซูหลี่ได้ชัยแล้ว เขาก็ยินดีกับซูหลี่เช่นกัน คราวนี้เรื่องติดอยู่ใน 30 อันดับแรก ซูหลี่ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
หลังจากที่ซูหลี่บังเกิดความก้าวหน้า พลังของซูหลี่ก็เทียบได้กับเทพสงคราม 4 ดาราเรียบร้อย
และไม่ใช่แค่จักรพรรดิสวรรค์ รวมถึงจ้าววิหารและชนชั้นรองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาต่างๆเท่านั้นที่ตระหนักถึงเรื่องดังกล่าวได้ ต้วนหลิงเทียนรวมถึงเหล่าอัจฉริยะที่มีสายตาไม่ธรรมดาก็มองออกเช่นกัน
ยังมีบางคนที่แม้จะไม่เห็น แต่ก็พอจะเดาเรื่องราวได้แล้ว ส่วนที่ไม่รู้ก็คิดว่าซูหลี่ซ่อนพลังเอาไว้เท่านั้น
“ข้าไม่คิดเลยว่าที่แท้ซูหลี่จะปกปิดพลังอันร้ายกาจเอาไว้ดูจากพลังที่มันเผยออกเมื่อครู่ อย่างน้อยๆมันก็เป็นเทพสงคราม 4 ดาราเช่นกัน!”
“เทพสงคราม 4 ดาราอายุ 600 ปีเศษซูหลี่คนนี้ท้าทายสวรรค์ยิ่งกว่าต้วนหลิงเทียนอีก!”
“ใช่…พลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนที่เผยออกก่อนหน้า อย่างดีก็เป็นแค่เทพสงคราม 3 ดาราเท่านั้น”
ถึงแม้วนหลิงเทียนจะลงมือเอาชนะเทพสงคราม 2 ดาราในชั่วพริบตา แต่ผู้คนในปัจจุบันก็ยืนยันได้แค่พลังของเขาสมควรเป็นเทพสงคราม 3 ดาราเท่านั้น ไม่อาจยืนยันได้ว่าเขาเป็นเทพสงคราม 4 ดาราขึ้นไปรึเปล่า
ทําให้หลังเห็นพลังของซูหลี่ จึงพากันพูดว่าซูหลี่เหนือกว่า
สําหรับเรื่องดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนไม่ได้สนใจแม้แต่นิดเดียว
“ซูหลี่ นี่เจ้าซุกซ่อนพลังไว้แต่แรก หรือเจ้าพึ่งบังเกิดความก้าวหน้า?”
ขณะเดียวกันทั่วป๋ายิงที่บดขยี้ป้ายหยกจนถูกส่งตัวออกมาจากสังเวียนแสง ก็เอ่ยถามซูหลี่ด้วยรอยยิ้มเหยเก
“เอ๋?”
หลังจากได้ยินคําถามของทั่วป๋าผิง เหล่าอัจฉริยะที่มองไม่ออกว่าซูหลี่บังเกิดความก้าวหน้าก็อดอึ้งไปไม่ได้ “ทั่วป๋าผิงพูดเรื่องอะไรกัน เมื่อครู่ซูหลี่พึ่งบังเกิดความก้าวหน้าเหรอ?”
“บ้าไปแล้ว ถ้าเมื่อครู่พึ่งก้าวหน้า มันจะไม่ร้ายกาจเกินไปหน่อยหรือไร ความเข้าใจจะสูงแค่ไหนกัน?”
“นั่นสิ…หากเข้าใจท่ามกลางการต่อสู้ มันจะไม่ท้าทายสวรรค์ไปหน่อยรึไง?”
พอเหล่าอัจฉริยะมองไปยังซูหลี่อีกครั้ง ด้านซูหลี่ก็หันไปมองตอบคําทั่วป๋าผิงพอดี “พูดถึงเรื่องนี้ข้าเองก็ต้องขอบคุณเจ้า…หากไม่ใช่เพราะแรงกดดันจากกระบวนท่ากระบี่ของเจ้า กฏทําลายล้างของข้าไม่มีทางก้าวหน้าได้ในเวลาอันสั้นหรอก”
และคําพูดของซูหลี่ก็ไม่ต่างอะไรกับการยอมรับเลย
จัหวะนี้ผู้ชมโดยรอบหลายคนก็แตกตื่นกันใหญ่
เป็นธรรมดาว่าสําหรับคนที่มองออกแต่แรก ก็ไม่ได้ตื่นเต้นตกใจอะไร
“ซูหลี่ ตอนนี้เจ้ามั่นใจจะเข้าสู่ 30 อันดับแรกได้รึยัง?”
หลังซูหลี่กลับมานั่งที่ ต้วนหลิงเทียนก็เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“หากข้าไม่ติด 30 อันดับแรก เช่นนั้นที่อาวุโสฟงชิงหยางอุตส่าห์ให้คําชี้แนะข้าก็คงสูญเปล่าแล้ว”
ซูหลี่คลี่ยิ้ม
“โอ้?”
คําพูดของซูหลี่ก็ทําให้ตัวนหลิงเทียนตาลุกวาวทันที “นี่ที่เจ้าก้าวหน้าเกี่ยวข้องกับท่านอาจารย์ข้าด้วยหรือ?”
“ใช่”
ซูหลี่พยักหน้า “ความก้าวหน้าของข้าครั้งนี้ เกิดจากการเข้าใจคําชี้แนะของอาวุโสฟงชิงหยาง…แต่แน่ล่ะว่าเรื่องที่ข้าไม่อยากแพ้รวมถึงแรงกดดันจากทั่วป๋าผิงก็มีส่วนเช่นกัน”
กล่าวถึงประโยคท้าย มุมปากซูหลี่ก็อดไม่ได้ที่จะยกยิ้มเบาๆ
จากนั้นมันก็หันไปมองลึกที่ต้วนหลิงเทียนพลางถาม “ต้วนหลิงเทียน พลังข้าตอนนี้ ให้เทียบกับเจ้ายังอ่อนด้อยกว่าอยู่กระมัง?”
ในปัจจุบันความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนยังเป็นอะไรที่ลึกลับมากสําหรับซูหลี่
ก่อนบังเกิดความก้าวหน้า มันไม่แม้แต่จะกล้าถามต้วนหลิงเทียนด้วยซ้ํา เพราะมันรู้สึกว่าช่องว่างระหว่างมันกับต้วนหลิงเทียนไม่น่าจะน้อยนิด…แต่ตอนนี้กฏทําลายล้างของมันก้าวหน้าแล้ว พลังฝีมือยังเพิ่มขึ้นแตะขอบเขตเทพสงคราม 4 ดารา แต่สุดท้ายมันก็ยังไม่อาจหยั่งถึงตื้นลึกหนาบางต้วนหลิงเทียนได้อยู่ดี จึงอดไม่ได้ที่จะถามออกมา
“เดี๋ยวเจอกันก็รู้เองไม่ใช่รึ?”
คําถามดังกล่าวของซูหลี่ ต้วนหลิงเทียนก็เลือกจะยักคิ้วพลางยิ้มกล่าวกระตุ้นความสนใจ
“เหอะๆ เช่นนั้นข้าจะรอ!”
ซูหลี่พยักหน้า แววตาก็ฉายชัดถึงจิตต่อสู้เช่นกัน
ตอนนี้เองถังซานเปาก็หันไปกล่าวกับซูหลี่พลางยกนิ้วให้ “พี่น้องซูหลี่ ท่านร้ายกาจมาก ไม่คิดเลยว่าจะสามารถบังเกิดความก้าวหน้าได้ในเวลาคับขันเช่นนั้น…ด้วยระดับพลังเทพสงคราม 4 ดาราเช่นนี้ พี่น้องท่านคงไม่มีปัญหาเรื่องติด 30 อันดับแรกกระมัง?”
“ก็น่าจะ”
ซูหลี่หันไปพยักหน้ากล่าวตอบถังซานเปาด้วยรอยยิ้ม “เจ้าก็เหมือนกัน หากเจ้าสามารถติด 30 อันดับแรกได้ บางที่พวกเราทั้ง 4 คนอาจติด 30 อันดับแรกเหมือนกันหมด”
“30 อันดับแรก?”
ถังซานเปาผงะไปเล็กน้อยหลังได้ยินคําพูดของซูหลี่ จากนั้นมันก็ส่ายหัวไปมา “พี่น้องซูหลี่ ข้าเข้าร่วมศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้ ไม่ได้มาเพื่อติด 30 อันดับแรกเท่านั้น”
“เป้าหมายของข้าคือติด 3 อันดับแรก!”
หลังถังซานเปากล่าวตอบออกมา สองตามันก็ทอประกายวูบวาบ ขณะเดียวกันความขี้เล่น และลักษณะเหมือนคนเฮฮาของมันก็สาบสูญไปจากร่าง ความรู้สึกของมันคล้ายกลับกลายเป็นคนละคนไปเลย
“3 อันดับแรก!?”
ต้องบอกเลยว่าคําตอบของถังซานเปาไม่เพียงทําให้ซูหลี่สะดุ้ง กระทั่งต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆก็อดไม่ได้ที่จะผงะไปอยู่บ้าง ด้วยไม่คิดเลยว่าถังซานเปาผู้นี้จะมีความทะเยอทะยานสูงถึงเพียงนั้น
3 อันดับแรก!
“ศิษย์พี่ถึงท่านก็นะ…”
ตอนนี้เองจางเทียนโย่วอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปตบไหล่ถังซานเปาพลางหัวเราะกล่าว “ความทะเยอทะยานใฝ่สูงย่อมเป็นเรื่องดี…แต่ท่านก็ไม่อาจคิดเรื่องหนึ่งก้าวถึงฟ้าแบบนี้ได้ ข้าว่าแค่ท่านตั้งเป้าหมายให้ติดอยู่ใน 100 อันดับแรกก็พอแล้ว เพราะข้าเกรงว่ายิ่งท่านหวังไว้มากเท่าไหร่ ยามผิดหวังก็เสียใจมากเท่านั้น”
ถึงแม้จางเทียนโย่วจะไม่ทราบความเป็นมาของถังซานเปา แต่ดูจากลักษณะท่าที่เฮฮาช่างจ้อแล้ว จางเทียนโย่วก็รู้สึกว่าถังซานเปาไม่น่าจะใช่ชนชั้นสุดยอดฝีมืออะไร
ปกติแล้วผู้ที่แข็งแกร่งมากๆมักจะสงบและมีมาดขรึม ไม่ก็นิ่งๆไม่ใช่รึไง?
ถังซานเปาผู้นี้แลดูเฮฮามากอัธยาศัย เจอใครก็ยิ้มคุยด้วยไปทั่ว แม้ตอนแรกจะพูดกับแค่ต้วนหลิงเทียน แต่ตอนนี้ก็คุยเล่นกับพวกมันราวเป็นเพื่อนกันมานาน
ทําให้จางเทียนโย่วรู้สึกว่าถังซานเปาไม่น่าจะใช่อัจฉริยะระดับเดียวกับพวกต้วนหลิงเทียน ซูหลี่ และหลิงเจวี่ยอขึ้นไปได้
“ปัดโธ่! นี่ข้าจริงจังนะ ไฉนพี่น้องจางไม่เชื่อข้าเล่า?”
ถังซานเปาหันไปมองทุกคนตาปริบๆ ร่ําร้องโอดครวญออกมา “เอาล่ะๆ เดี๋ยวพี่น้องท่านทั้งหลายรอให้วิหารเฟิงฮ่าวจัดคู่ประลองให้ข้าก่อน ต่อให้เป็นเทพสงคราม 4 ดารา แซ่ถังผู้นี้จะทุบตีมันให้ร้องในท่าเดียวเลย!”
แม้แต่ถังซานเปาก็ไม่เคยคิดฝัน ว่าคนที่ 2 ที่ต้องงออกไปประลองในบรรดาทุกคน จะเป็นตัวมันเอง
หลังจากที่ผ่านการประลองของซูหลี่ไปแล้ว ก็มีคน 10 คนออกไปประลองอีก 2-3 ชุด จากนั้นก็เห็นชื่อถังซานเปาปรากฏขึ้นเหนือฟ้า และคู่ต่อสู้ของมันก็คือ อวี้หลันเชิง
“ช้าก่อน อวี้หลันเชิง นั่นมัน”
พอเห็นชื่ออวี้หลันเชิง ในใจต้วนหลิงเทียนคล้ายมีแสงสว่างหนึ่งวาบขึ้น เขาหวนนึกถึง 1 ใน 300 ชื่อของอัจฉริยะที่เคยอ่านข้อมูลขึ้นมาทันที
“ให้ตายเถอะ! อวี้หลันเชิงงั้นเรอะ!”
และก่อนที่ถังซานเปาจะลุกขึ้นยืน จางเทียนโย่วที่นั่งข้างถังซานเปาก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นยืนพรวด จากนั้นก็หันไปมองถังซานเปาข้างๆโดยไม่รู้ตัว “ศิษย์พี่ถึงท่านปากอีกาแท้ๆ ให้ตายเถอะ พูดยังไงท่านเจอยังงั้นจริงๆ!”
“ข้ากลัวท่านแล้ว!”
จางเทียนโย่วมองไปยังถังซานเปาด้วยสีหน้าราวกับมองเทพแห่งโรคห่า “ศิษย์พี่ถังท่านบอก มาตามตรง ท่านไม่มีวิชาทํานายทายทักอะไรแบบนั้นใช่ไหม? เพราะข้าดูอย่างไรท่านก็ไม่น่าจะใช่ผู้เชี่ยวชาญกฏเวลา 1 ใน 4 กฏสูงสุดได้”
แน่นอนว่ากฏที่ถังซานเปาเก่งไม่ใช่กฎเวลา
“โฮ เป็นคนดังอวี้หลันเชิงผู้นั้นรึ?”
ตอนนี้เอง ถังซานเปาก็ลุกขึ้นยืนด้วยสองตาเป็นประกาย “วิหารเฟิงฮ่าวนับว่ารู้ใจข้าจริงๆ การประลองครั้งแรกของข้าในรอบที่ 4 ก็ใจดีจัดเทพสงคราม 4 ดารามาให้ข้าเลย…แถมยังเป็นศิษย์ที่แท้จริงของจักรพรรดิสวรรค์ออวี้หวงเทียน จักรพรรดิหยกที่ร่ําลือผู้นั้นอีก!”
พอถังซานเปากล่าวออกมา ต้วนหลิงเทียนก็ยืนยันได้ว่าเขาจําข้อมูลของงอวี้หลันเชิงได้ไม่ผิด เพราะอย่างไรเสียอวี้หลันเชิงก็เป็นศิษย์ที่แท้จริงของจักรพรรดิหยก และข้อมูลลงไว้ว่ามันน่าจะเป็นเทพสงคราม 4 ดาราหรืออาจจะเหนือกว่านั้น
“เจ้านั่นน่ะหรือศิษย์ที่แท้จริงของจักรพรรดิหยก…”
และตอนนี้ตัวนหลิงเทียนก็หันไปมองชายหนุ่มคนหนึ่งที่เห็นร่างขึ้นมาจากอัฒจันทร์ที่นั่งอีกฟาก และไปยืนอยู่บน 1 ใน 5 สังเวียนแสง ที่มีชื่อถังซานเปากับอวี้หลันเชิงลอยล่องอยู่ด้านบน
อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มร่างสูงมาในชุดสีเขียว เส้นผมยาวสยายไปด้านหลัง ใบหน้าแลดูหล่อเหลา คิ้วหนาตาโต
มองจากสังเวียนที่อีกฝ่ายไปยืนรอ เขาก็รู้ได้ทันทีว่ามันคืออวี้หลันเชิง ศิษย์ที่แท้จริงของจักรพรรดิหยกไม่ผิดแน่
“นั่นอวี้หลันเชิง!”
“ให้ตายเถอะ! อวี้หลันเชิงที่คาดว่าจะเป็นเทพสงคราม 4 ดาราขึ้นไปผู้นั้นรี! อันที่จริงตั้งแต่หลายสิบปีก่อน ข้าก็ได้ยินแว่วๆมาว่าอวี้หลันเชิงศิษย์ที่แท้จริงของ อวี้ฮ่าวเทียน จักรพรรดิสวรรค์ แห่งอวี้หวงเทียนคนนี้มันมีพลังฝีมือระดับเทพสงคราม 4 ดาราอยู่แล้ว!”
“แล้วผู้ใดคือถังซานเปากัน ไฉนถึงได้ชวยนักล่ะ? เจอใครไม่เจอมาเจอกับอวี้หลันเชิงเสียได้!”
“ถังชานเปาที่ว่าข้าไม่เคยได้ยินชื่อมันมาก่อนเลย…มันคงไม่เหมือนจงกุ้ยอวีหรอกนะ ที่จะพลิกสถานการณ์และเปลี่ยนผลลัพธ์การต่อสู้ที่พวกเราคิดว่าแน่นอนแล้ว?”
“เจ้าก็คิดมากเกินไปแล้ว…ไม่ใช่อัจฉริยะไร้ชื่อเสียงทุกคนจะเป็นม้ามืดเหมือนจงกุ้ยอวี่เสียหน่อย!”
ในขณะที่เสียงของเหล่าอัจฉริยะเริ่มดังขึ้นระงม และไม่มีใครดูดีถังซานเปาเลย ด้านถังซานเปาก็ค่อยๆลอยตัวขึ้น จากนั้นก็หันมากล่าวกับพวกต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มร่า “พี่น้องทั้งหลาย พวกท่านรอดูชมให้ดี…อ้อ อย่าได้กระพริบตาเชียวเล่า เพราะข้าจะตีมันเปรี้ยงเดียวให้หงายเลย!”
“ย้ําอีกครั้ง พี่น้องท่านอย่าได้กระพริบตาเชียว เดี๋ยวจะพลาดดูของดี!”
ถังซานเปากล่าวเป็นมั่นเหมาะอีกครั้ง และก็ไม่รอให้พวกต้วนหลิงเทียนตอบสนองอะไร มันก็เห็นร่างเข้าสู่สังเวียน และไปยืนเผชิญหน้ากับอวี้หลันเชิงเรียบร้อย