“ช่างเป็นเทือกเขาวายุเปราะที่น่ากลัวเสียจริง!”

เมื่อจีเสี่ยวจื่อเห็นสภาพที่น่าอนาถของหลัวซิวแล้ว ก็ตกใจอย่างควบคุมไม่ได้ แต่ทว่านางก็ไม่ได้เป็นห่วงความปลอดภัยและความอันตรายของหลัวซิวเช่นกัน เนื่องจากนางเข้าใจดีมาก ๆ ว่าศิษย์พี่ท่านนี้ของตนได้ฝึกกฎชีวิต สภาพอาการบาดเจ็บแค่นี้สำหรับเขา มันไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใด

สิ่งที่วิถีแห่งการกลั่นร่างให้ความสำคัญก็คือพิชิตกฎดั้งเดิมถึงจะสร้างกฎใหม่ขึ้นมาได้ ดังนั้นเส้นทางการเดินบนวิถีแห่งการกลั่นร่างนั้น พอจะพูดได้เลยว่าเป็นสิ่งที่ทุกข์ทรมานมาก ซึ่งเป็นการทดสอบปณิธานตัวธรรมของนักยุทธ์คนหนึ่งมากถึงมากที่สุด

หลัวซิวเคยชินกับความเจ็บปวดที่ร่างเนื้อได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสตั้งนานแล้ว ถึงแม้ทั่วทั้งร่างกายจะอาบท่วมเต็มไปด้วยเลือด พลังวายฉีกกระชากร่างกาย สายฟ้าผ่าลงกระดูก สีหน้าเขาก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ

จีเสี่ยวจื่อไม่เคยฝึกวรยุทธ์กลั่นร่าง ดังนั้นนางจึงไม่กล้าใช้ร่างเนื้อฝืนต้านทานอย่างหลัวซิว เสี้ยววินาทีที่เข้ามาในเทือกเขาวายุเปราะ นางก็เริ่มโคจรพลังแห่งกฎเพลิงอัคคีและปริภูมิ เพื่อคุ้มกันทั่วทั้งร่างกายตนเอาไว้

ทุกจุดในเทือกเขาวายุเปราะอัดแน่นไปด้วยกฎอัสนีวายที่บ้าระห่ำ เมื่ออยู่ภายในเขตพื้นที่แห่งนี้ กฎทั้งปวงล้วนถูกจำกัดและได้รับผลกระทบอย่างมาก

ด้วยเหตุนี้ เมื่ออยู่ภายในนี้จีเสี่ยวจื่อจึงอยู่ในภาวะที่ลำบากมาก การสูญเสียผลการฝึกตนเมื่อโคจรพลังแห่งกฎ มากกว่าการสูญเสียภายใต้สภาวะปกติหลายเท่าตัวมาก

หลัวซิวไม่ได้ลงมือช่วยจีเสี่ยวจื่อต้านทานพลังแห่งอัสนีวายแต่อย่างใด เนื่องจากสาเหตุที่เขาให้จีเสี่ยวจื่อเข้ามาในสถานที่แห่งนี้นั้น ก็เพื่อขัดเกลาการยึดกุดและการตระหนักรู้ในกฎของนาง

“เจ้าเองก็ระวังตัวหน่อย ข้าไปตามหาพวกนางก่อน”

หลัวซิวพูดกับจีเสี่ยวจื่อคำหนึ่ง จากนั้นเงาร่างเขาก็กระพริบทีหนึ่ง ก่อนจะพุ่งเข้าไปในส่วนลึกของเทือกเขาวายุเปราะ

ยิ่งเข้าไปลึกเท่าไหร่ กฎอัสนีวายก็ยิ่งบ้าระห่ำมากเท่านั้น และร่างเนื้อของหลัวซิวก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสมากยิ่งขึ้น ภายใต้การโคจรร่างอมตะ บาดแผลตามร่างกายเขาก็สมานกันอย่างรวดเร็วเช่นกัน แต่ทว่าระดับความเร็วในการฟื้นฟูกลับไม่เร็วเท่าความเร็วในการทำลายล้างของพลังแห่งอัสนีวายอยู่ดี ดังนั้นจึงทำให้ภายนอกเขาดูน่าสยดสยองมาก ทั่วทั้งร่างกายเต็มเปี่ยมไปด้วยบาดแผล

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง หลัวซิวก็เข้าไปในส่วนลึกของเทือกเขาวายุเปราะได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พลังแห่งอัสนีวายที่ตลบฟุ้ง ณ สถานที่ดังกล่าวแทบจะสามารถเทียบทัดพลังแห่งกฎขั้น 6 ช่วงปลาย นี่จึงทำให้เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ ฉียู่หรงและหนิงหานยู่สตรีทั้งสองถึงกับกล้าเข้ามาในส่วนลึกของเทือกเขาวายุเปราะอย่างนั้นหรือ?

และในเวลานี้เอง หลัวซิวก็หรี่ตาลง มองเห็นเงาร่างของสตรีสองนางปรากฏข้างหน้า

เห็นเพียงพวกนางทั้งสองคนนั่งขัดสมาธิหลังชนหลังอยู่บนพื้น สีหน้าของฉียู่หรงขาวซีด พลังออร่าบนร่างกายอ่อนแอมาก ๆ แล้ว รังสีของหอคอยเขียวที่ลอยอยู่เหนือศีรษะก็หม่นหมองเช่นกัน มีรอยแตกที่นับไม่ถ้วน เกรงว่าใช้เวลาอีกไม่นานของขลังระดับมกุฎเทพชิ้นนี้ก็จะแตกสลาย

เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว สถานการณ์ของหนิงหานยู่จะย่ำแน่กว่าหน่อย เนื่องจากส่วนใหญ่พวกนางทั้งสองคนต้านทานกฎอัสนีวายในเทือกเขาวายุเปราะโดยการอาศัยกฎชีวิตของหนิงหานยู่

ในบรรดากฎจำนวนมากของเทียนเต้า สิ่งที่กฎชีวิตเชี่ยวชาญมากที่สุดก็คือการป้องกัน ฟื้นฟูรวมไปถึงคุ้มกัน นางใช้กฎชีวิตสร้างม่านแสงคุ้มกันขึ้นมาหนึ่งชั้น ดังนั้นพวกนางทั้งสองคนถึงสามารถยืนหยัดมาจนถึงบัดนี้

มิเช่นนั้นหากอาศัยเพียงของขลังหอคอยเขียวชิ้นนั้นของฉียู่หรงละก็ พวกนางประคับประคองได้ไม่นานเลยด้วยซ้ำ

เงาร่างของหลัวซิวกระพริบทีหนึ่ง และปรากฏข้างกายสตรีทั้งสองภายในชั่วพริบตา เห็นเพียงเขาชูมือทั้งสองข้างขึ้นมา ม่านแสงสีขาวจึงแผ่ขยายออกไป ซึ่งมีพลังแห่งการคุ้มกันของกฎชีวิตแฝงซ่อนอยู่เช่นกัน ทว่ากลับแวววาว สว่างไสวและแน่นหนากว่าม่านแสงคุ้มกันของหนิงหานยู่

โครมคราม……

อัสนีวายอันมโหฬารพันลึกที่ไร้ขอบเขตม้วนซัดมา ทำให้ม่านแสงคุ้มกันสั่นคลอนเล็กน้อย ทว่าไม่ถูกทลายแต่อย่างใด

“พี่เย่!”

สตรีทั้งสองนางสัมผัสได้ว่าแรงกดดันผ่อนเบาลง จากนั้นก็พบว่าเงาร่างของหลัวซิวปรากฏข้างกาย นี่จึงทำให้ใบหน้าของสตรีทั้งสองนางมีรังสีแห่งความประหลาดใจปรากฏ

บางทีอาจเป็นเพราะการปรากฏตัวของหลัวซิว ทำให้สตรีทั้งสองนางรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาในทันที ดังนั้นร่างกายของฉียู่หรงที่สูญเสียผลการฝึกตนไปจนถึงที่สุดจึงอ่อนระทวยลงไปภายในพริบตา เป็นลมหมดสติไป