ตอนที่ 1842 คัมภีร์ร้อยสมุนไพรทั่วหล้า

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

สำหรับชายชราในชุดคลุมแล้ว คำพูดของชายชาวนาก็เหมือนค้อนหนักๆ อันแล้วอันเล่า ทุบหัวใจของเขาจมดิ่งไม่หยุด

จวนจะลึกลงก้นบึ้งหุบเหว!

เห็นได้ชัดยิ่ง ชายชาวนาไม่คิดจะปล่อยเขาไปทั้งอย่างนี้

รสชาติที่ถูกคนกำชะตา ได้แต่เป็นฝ่ายยอมรับคำพิพากษา ทำให้จิตใจชายชราในชุดคลุมได้รับความทุกข์ทนหาใดเปรียบ

นับตั้งแต่แจ้งมรรคกลายเป็นจักรพรรดิเป็นต้นมา เขาไม่ได้สัมผัสกับรสชาติเช่นนนี้มานานมากแล้ว

ใครก็ไม่สังเกตเห็น ตรงแขนเสื้อของชายชาวนา กุหลาบสีชมพูขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือดอกหนึ่งค่อยๆ เบ่งบาน

พร้อมกันนั้น เสียงนุ่มนวลอ่อนหวานสายหนึ่งดังขึ้นในใจชายชาวนา

‘ศิษย์พี่สิบเอ็ด สมัยดึกดำบรรพ์ จักรพรรดิขาวบรรพบุรุษตระกูลจินเทียนเคยร่วมสู้เคียงไหล่กับศิษย์พี่เสวี่ยหยา ในเมื่อคนผู้นี้เป็นทายาทของจักรพรรดิขาว แจ้งมรรคไม่ง่าย ปล่อยเขาไปสักครั้งเถิด’

ชายชาวนาเกาหัว ตอบกลับในใจ ‘จวินฮวน…’

ไม่รอให้พูดจบก็ถูกน้ำเสียงนุ่มนวลดุจสายน้ำนั่นตัดบทเสียก่อน ‘ไม่ต้องมาพูดเหตุผลของท่านกับข้า ข้าไม่มีแก่ใจฟังหรอก’

ชายชาวนายิ้มขื่นในใจ

‘แล้วก็ อย่าทำให้ข่าวที่ท่านปรากฏตัวที่นี่รั่วไหล ข้าถูกเจ้าเฒ่าเฮงซวยพวกนั้นเพ่งเล็งแล้ว ท่านจะถูกเพ่งเล็งอีกคนไม่ได้เด็ดขาด’

เสียงกล่าวถึงตรงนี้ก็หายไปอย่างสิ้นเชิง

กุหลาบสีชมพูที่ปรากฏอยู่ในแขนเสื้อของชายชาวนาก็ร่วงโรยหายไปด้วยเช่นกัน

ชายชาวนาทอดถอนใจเบาๆ

หลังจากนั้นสายตาของเขามองไปทางชายชราในชุดคลุมที่อยู่ในสภาพปล่อยให้ฆ่าแกงตามใจ กล่าวว่า “เจ้ามีบรรพบุรุษที่ดีคนหนึ่ง”

ประโยคเดียว เห็นได้ชัดว่าปุบปับและพิลึกอย่างมาก

ทว่ากลับทำให้ชายชราในชุดคลุมแววตาทอประกาย

ดังคาด ครู่ต่อมาชายชาวนาก็กล่าวว่า “แต่ว่า โทษตายละเว้นได้ โทษเป็นยากจะหลีกหนี”

ชายชราในชุดคลุมเอ่ยอย่างไม่ลังเลสักนิด “ไม่ว่าจะให้ชดเชยและลงโทษอย่างไร ข้าล้วนยินดีน้อมรับ!”

ชายชาวนาล้วงเมล็ดสีเทาหม่นออกมาหนึ่งเม็ด กล่าวว่า “นี่คือเมล็ดหญ้านรกกักจิต เจ้าสาบานว่าจะไม่เปิดเผยเรื่องในวันนี้ จากนั้นก็กลืนมันลงไปก็พอ”

หญ้านรกกักจิต!

วัตถุดิบเทพที่สุดวิเศษอย่างหนึ่ง ปิดผนึกคำสาบานเอาไว้ภายในนั้น สามารถงอกงามอยู่ในจิตใจผู้ฝึกปราณ หากผิดคำสาบาน หญ้านรกกักจิตจะเหี่ยวเฉากลายเป็นเถ้าถ่านชนิดพิเศษ กัดเซาะและแปดเปื้อนจิตใจของผู้ฝึกปราณ

ข้อเรียกร้องนี้ง่ายดายเกินไป ชายชราในชุดคลุมลั่นคำสาบานอย่างไม่ลังเลสักนิด หลังจากนั้นก็กลืนเมล็ดนี้เข้าสู่ร่าง

ชายชาวนาเมื่อเห็นเช่นนี้ก็พยักหน้ากล่าวว่า “ทางศิษย์น้องของข้า ก็ต้องชดเชยให้ด้วยเช่นกัน”

ส่วนจะชดเชยอย่างไร เขายังไม่ได้บอก

แต่ชายชราในชุดคลุมก็รับปากอีกครั้ง ชดเชย? ได้ ต่อให้หลินสวินเรียกร้องเกินพอดีแค่ไหน เขาก็ยอมรับได้ทั้งนั้น!

เห็นเขามีความสุขเช่นนี้ ชายชาวนากล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ขอเตือนเจ้าว่าภายหน้าทำการใด อย่าได้ทำให้บรรพชนตระกูลเจ้าต้องอับอายขายหน้า”

ชายชราในชุดคลุมอึ้งไป ในสมองผุดความคิดหนึ่งขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ หรือว่าคนผู้นี้… จะรู้จักกับบรรพบุรุษ

และยามนี้ชายชาวนาล้วงเมล็ดหญ้านรกกักจิตออกมาอีกครั้ง ยื่นให้จินเทียนเสวียนเยวี่ย

มีหรือจินเทียนเสวียนเยวี่ยจะยังไม่เข้าใจว่าควรทำอย่างไร รีบกล่าวคำสาบานแล้วกลืนกินของสิ่งนี้ลงไปเช่นกัน เพียงแต่สีหน้าค่อนข้างมืดมัว

นางผู้หยิ่งผยองลำพองตน ความกระทบกระเทือนที่ได้รับในวันนี้มากเกินไปและหนักหน่วงเกินไป

จัดการสิ่งเหล่านี้เสร็จ ชายชาวนาก็ชี้ไปยังที่ไกลๆ “พวกเจ้าไปได้แล้ว”

ชายชราในชุดคลุมค้อมกายคารวะ กล่าวขอบคุณคราหนึ่ง ก่อนจะหันตัวเดินออกไปพร้อมกับจินเทียนเสวียนเยวี่ย กลัวเพียงว่าขืนยังอยู่ต่อชายชาวนาอาจเปลี่ยนใจขึ้นมา

“ยังเหลือเจ้า”

ชายชาวนามองไปทางเหลียงชวนที่อยู่ไกลๆ ฝ่ายหลังสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง เกือบทรุดลงกับพื้น

“จิตใจบกพร่อมเช่นนี้ มิน่าถึงไร้วาสนาแจ้งมรรคระดับจักรพรรดิ”

ชายชาวนาส่ายหน้า

สุดท้ายเหลียงชวนเองก็กล่าวคำสาบานและกลืนเมล็ดหญ้านรกกักจิตด้วยเช่นกัน ไม่ได้โต้แย้งแม้แต่น้อย ตรงข้ามกลับรู้สึกโชคดีที่รอดพ้นจากความตาย

ชายชาวนาโบกแขนเสื้อหนึ่งครา เหลียงชวนก็อันตรธานหายลับไปจากเขารับแขก

“ศิษย์น้อง ข้าไม่ได้ฆ่าเจ้าเฒ่านั่น เจ้าคงจะไม่โทษข้ากระมัง”

ใบหน้าคล้ำแดดของชายชาวนาฉายแววขอโทษ

ไม่ว่าใครพบเข้า กลัวว่าคงคิดว่าเขาเป็นแค่ชาวไร่ชาวนาคนหนึ่ง ไม่เหมือนพวกน่าสะพรึงที่เพิ่งฆ่าระดับจักรพรรดิคนหนึ่ง ซ้ำยังบีบบังคับระดับจักรพรรดิอีกคนจนไม่อาจไม่ก้มหน้ายอมรับชะตา

“ในใจข้าเบิกบานยิ่งแล้ว บรรลุความตั้งใจ”

หลินสวินกล่าวยิ้มๆ

“เป็นการบรรลุความตั้งใจที่ดีอย่างหนึ่ง”

ชายชาวนาเองก็อีกยิ้มขึ้นมา เบิกบานใจยิ่ง นึกอยากเอ่ยเหตุผลขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้ แต่สุดท้ายก็ยังข่มเอาไว้

พบกันคราแรก อย่างเพิ่งสร้างภาพจำคร่ำครึเช่นนี้ให้แก่ศิษย์น้องเล็กจะดีที่สุด

“ศิษย์น้องเจ้ารอเดี๋ยว ถึงแม้เรื่องราวจะปิดม่าน แต่มีเรื่องบางอย่างที่ต้องพูดคุยกันสักหน่อย”

ชายชาวนากล่าวพลาง เงาร่างหายลับไปกลางอากาศ

กลางเรือนพัก

เด็กหนุ่มชุดป่านไม่เข้าใจยิ่ง

จากท่าทีที่ชายชาวนาสำแดงออกมา เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่จะปล่อยชายชราในชุดคลุมไปง่ายดายเช่นนี้

แต่เรื่องราวดันยุติลงเช่นนี้

“เรื่องนี้จะต้องมีเงื่อนงำอย่างอื่นอีกเป็นแน่”

ขณะที่เด็กหนุ่มชุดป่านกำลังครุ่นคิด จู่ๆ หญิงชราที่อยู่ด้านข้างก็กล่าวว่า “นายน้อย ท่านรออยู่ที่นี่อย่าขยับ”

เด็กหนุ่มชุดป่านอึ้งไป ในใจพลันบีบรัดรุนแรง หรือว่าชายชาวนาคนนั้นยังไม่คิดจะปล่อยท่านยายไป

เพิ่งคิดถึงตรงนี้เขาก็รู้สึกเพียงว่าเบื้องหน้าพร่าเลือน สูญเสียสติสัมปชัญญะไป

พร้อมกันนั้นชายชาวนาก็ปรากฏตัวอยู่ในเรือนพัก สายตามองไปทางหญิงชรา

หญิงชราชิงเอ่ยปากก่อน “สหายยุทธ์ก็อยากให้ยายเฒ่าอย่างข้ากลืนหญ้านรกกักจิตด้วยหรือ”

ในแววตาขุ่นมัวของนางมีแสงเร้นลับวนเวียน กลิ่นอายทั้งตัวก็พลอยเปลี่ยนไปด้วย

เสียงของชายชาวนาขึงขัง “เจ้างดงามเพียงนี้ ใช่ยายเฒ่าอะไรที่ไหนกัน การปลอมตัวเช่นนี้ตบตาข้าไม่ได้หรอก”

หญิงชราอึ้งไป คนซื่อๆ คนหนึ่งก็สนใจว่าผู้อื่นจะสวยหรือไม่ด้วยหรือ

เพียงแต่ยามที่เอ่ยปากพูดอีกครั้ง รูปร่างหน้าตาของนางก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป จากหญิงชราแก่หงำเหงือกคนหนึ่ง กลายเป็นสาวงามแห่งยุคดุจดั่งเซียน

สวมชุดกระโปรงเขียว เรือนผมงามดำขลับม้วนเป็นมวย ผิวพรรณฉ่ำวาวขาวเนียน นัยน์ตาดุจดั่งจันทร์กระจ่างเหนือฟากฟ้า ริมฝีปากแดงเม้มเบาๆ ยกโค้งเป็นองศาสมบูรณ์แบบ

บริเวณหัวคิ้วเกลี้ยงเกลาแต้มชาดแดงระเรื่อหนึ่งจุด

นางยืนอยู่ตรงนั้น กระโปรงเขียวพลิ้วไหว แสงระเรื่อไหลเวียน เงาร่างดั่งมายา

“ในเมื่อถูกสหายยุทธ์จับได้แล้ว ข้าย่อมไม่จำเป็นต้องปกปิดอีกต่อไป”

หญิงชุดกระโปรงเขียวเอ่ยปาก น้ำเสียงยังกังวานดุจดั่งหยกพกกระทบกัน เสนาะหูดั่งเสียงสวรรค์

นี่คือจักรพรรดิหญิงที่องอาจแห่งยุคคนหนึ่ง!

แต่ชายชาวนากลับเหมือนมองไม่เห็น ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ กล่าวว่า “ในเมื่อเจ้ามาจากตระกูลเสวียน ย่อมไม่ต้องใช้หญ้านรกกักจิต”

เขาสีหน้าจริงจัง “ข้ามาคราวนี้เพียงแค่อยากบอกเจ้า ศิษย์น้องเล็กสำนักข้า หนึ่งไม่ขอให้ใครเป็นแพะรับบาป สองไม่คิดลากใครมาลงน้ำด้วย สามไม่เคยได้คืบจะเอาศอก สี่ไม่ใช่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ เจ้าจะมองว่าเขาอ่อนแอเล็กจ้อยก็ได้ แต่ความสำเร็จในภายภาคหน้ามีแต่จะอยู่เหนือเจ้า”

กล่าวจบเขาก็หันตัวจากไป

หญิงชุดกระโปรงเขียวอึ้งงัน

เดิมทีนางประหนึ่งเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ ถึงขั้นเตรียมพร้อมจะลงมือเต็มกำลังหากอีกฝ่ายกล้าบอกให้ตนกลืนหญ้านรกกักจิต

แต่กลับคิดไม่ถึงเป็นอันขาด ว่าอีกฝ่ายมาคราวนี้เพียงเพื่อพูดประโยคเหล่านี้เท่านั้น!

ชั่วขณะนั้นบริเวณอกของนางอึดอัดขึ้นมา

แก้แค้น!

ชาวไร่ชาวนาที่ดูเหมือนซื่อตรงคนนี้ อันที่จริงได้เห็นเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนเขารับแขกวันนี้ตั้งแต่ต้น รู้ว่าตนเคยเอ่ยเตือนเจ้าหนุ่มคนนั้นอย่างไม่เกรงใจ

เขามาครั้งนี้ก็เพื่อเอาคืนแทนเจ้าหนุ่มนั่น!

หญิงกระโปรงเขียวลอบกัดฟัน ความสำเร็จเหนือข้า? ไม่รู้จักดูว่าข้าอยู่มานานแค่ไหน เห็นระดับจักรพรรดิผงาดและร่วงหล่นมาตั้งเท่าไหร่!

นางค่อนข้างหัวเสียอยู่บ้างจริงๆ

เป็นระดับจักรพรรดิเหมือนกัน กลับถูกคนประณามเช่นนี้ รสชาตินี้… ช่างไม่น่าอภิรมย์ยิ่ง

และยามนี้ใบหน้าคล้ำแดดของชายชาวนาก็ฉายรอยยิ้มเบิกบานออกมา เขาคิดว่าสิ่งที่ทำในครั้งนี้สามารถทำให้ศิษย์น้องพึงพอใจได้แล้ว

นี่ก็ถือเป็นความรับผิดชอบที่คนเป็นศิษย์พี่พึงมีด้วยกระมัง

“ศิษย์น้อง ชื่อทางโลกของข้าหยาบกระด้างเกินไป นับตั้งแต่กราบอาจารย์เข้าสำนัก ท่านอาจารย์ก็ตั้งฉายาธรรมให้ข้าว่า ‘ผู่เจิน’ อยู่ลำดับที่สิบเอ็ด”

ยามได้เห็นหลินสวินอีกครั้ง ชายชาวนาก็แนะนำที่มาของตน

“ก่อนข้าจะเข้าสำนักก็เป็นชาวไร่ชาวนาในไร่นาคนหนึ่งจริงๆ ไม่รู้หนังสือสักตัว ต่อมาได้รับการอบรมสั่งสอนจากท่านอาจารย์ ถึงได้เหยียบย่างบนเส้นทางแห่งการฝึกปราณ”

“ข้าต่างจากศิษย์พี่เก้าเก่ออวี้ผู เขาน่ะทึ่มทื่อเหมือนท่อนไม้จริงๆ แต่ข้าคือซื่อตรงเกินไป พูดโป้ปดไม่เป็น แต่ท่านอาจารย์บอกว่าหมื่นวิญญาณโดยกำเนิดล้วนแตกต่างกัน คนซื่อตรงก็มีข้อดีของคนซื่อตรง”

“ข้าถนัดทำไร่ทำนาที่สุด หลังจากเข้าสู่สำนักก็ช่วยดูแลเพาะปลูกวัตถุดิบวิญญาณนานาชนิด”

“ต่อมาข้าสัญจรไปทั่วหล้า สัมผัสกับของจำพวกหุบเขาวิญญาณ พืชวิญญาณ โอสถวิญญาณ ในที่สุดก็ค้นพบมรรคาที่ตนต้องการแสวงหา”

กล่าวพลาง ชายชาวนาที่เรียกตัวเองว่าผู่เจินก็ล้วงม้วนหยกม้วนหนึ่งออกมายื่นให้หลินสวิน

“ศิษย์น้อง นี่คือ ‘คัมภีร์ร้อยสมุนไพรทั่วหล้า’ ที่ข้าเรียบเรียงด้วยตัวเอง ในนั้นรวบรวมวัตถุดิบวิญญาณที่ดำรงอยู่ในโลกมากมายบนทางเดินโบราณฟ้าดารา ไม่ใช่การฝึกฝนเคล็ดวิชาอะไร และไม่ถึงขั้นล้ำค่าเท่าใดนัก เจ้ารับเอาไว้เถิด ต่อไปหากพบสมุนไพรวิญญาณ โอสถวิญญาณที่แยกชนิดไม่ออก ก็ลองเอามาอ่านดู”

หลินสวินพลิกอ่านทันที ครู่ใหญ่ให้หลังก็อดสูดหายใจเฮือกไม่ได้

ชนิดของวัตถุดิบวิญญาณที่บันทึกอยู่ใน ‘คัมภีร์ร้อยสมุนไพรทั่วหล้า’ นี้มหาศาลดั่งท้องสมุทรชัดๆ ไม่อาจนับจำนวนได้ วัตถุดิบวิญญาณแต่ละชนิดล้วนบันทึกไว้อย่างละเอียดเจาะจง

เช่นชื่อเรียก รูปร่าง วิธีใช้ แหล่งกำเนิด… ยังมีภาพสมจริงหลายภาพอีกด้วย

คัมภีร์เล่มนี้ สำหรับนักหลอมยาในโลก เรียกได้ว่าเป็นคัมภีร์ล้ำค่าสูงสุดที่ได้แต่พานพบไม่อาจไขว่คว้าอย่างสิ้นเชิง มูลค่าไม่อาจประเมินได้!

แม้จะเป็นผู้ฝึกปราณระดับหลินสวิน เมื่อเปิดอ่านคัมภีร์เล่มนี้ ก็ยังสามารถทำความเข้าใจนัยเร้นลับแก่นแท้ของวัตถุดิบวิญญาณทั่วฟ้าดินอย่างลึกซึ้ง มีประสิทธิยิ่งต่อการฝึกปราณ

ควรรู้ว่าหมื่นวัตถุฟ้าประธาน มรรคฟูมฟักอยู่ภายใน นัยเร้นลับแห่งมหามรรค อันที่จริงก็ซุกซ่อนอยู่ในวัตถุดิบ ในเรื่องราว ในลักษณ์ต่างๆ มากมายทั่วหล้า!

และผู้ฝึกปราณที่หยั่งรู้ฟ้าดิน แสวงหามรรคา สิ่งที่หยั่งรู้ก็คือเรื่องราวและสิ่งต่างๆ ที่ดำรงอยู่กลางฟ้าดิน

“ขอบคุณศิษย์พี่ยิ่งที่มอบคัมภีร์ให้”

หลินสวินโค้งคำนับอย่างจริงจัง

ผู่เจินรีบโบกมือเป็นพัลวัน “เจ้ากับข้าเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้อง อย่าได้เห็นเป็นคนอื่นไกลเช่นนี้”

เขาเงยหน้าขึ้นมองห้วงอากาศไกลๆ ก่อนถอนหายใจเบาๆ กล่าวว่า “เวลาไม่มากแล้ว ขืนข้ายังอยู่ต่อต้องถูกคนอื่นสังเกตเห็นแน่”

“ศิษย์น้อง มหามรรคยาวไกล ข้าตั้งตาคอยวันที่เจ้าแจ้งมรรคบรรลุจักรพรรดิเป็นอย่างยิ่ง”

ในน้ำเสียงเจือรอยยิ้มและแววตั้งตาคอย

“ศิษย์พี่จะไปที่ไหนหรือ”

หลินสวินอดถามไม่ได้

ผู่เจินฉีกยิ้มและกล่าวว่า “ไปที่ที่ผีเร่ร่อนควรจะไป”

กล่าวจบเขาพาดจอบเปื้อนคราบสนิมเล่มนั้นขึ้นบ่า เดินไปเบื้องหน้า เพิ่งจะสาวเท้าก้าวออกไป ตัวคนก็อยู่เหนือวัฏจักรฟ้าดาราแล้ว

“ศิษย์น้อง วันหน้าคงได้พบกัน!”

เสียงหัวเราะจริงใจของผู่เจินดังก้องในจิตใจหลินสวิน เนิ่นนานกว่าจะหายลับไป

“ศิษย์พี่ วันหน้าคงได้พบกัน”

หลินสวินแหงนหน้า เอ่ยปากพึมพำ