ตอนที่ 1934 : จักรพรรดิซี (1)

เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god)

ตอนที่ 1934 : จักรพรรดิซี (1)

“เจี้ยนเฉิน โสเภณีน้อยนั่นเป็นใครกัน ? ทำไมนางถึงได้สนใจเจ้า ? ” นางฟ้าเฮายู่จ้องมองไปที่หย่าซีเหลียนและเอ่ยถามขึ้นมา

“นางคือแม่ทัพกองทัพที่เจ็ดของลัทธิปีศาจชั้นฟ้า…” – หลังจากนั้นเจี้ยนเฉินก็บอกรายละเอียดคร่าว ๆ เรื่องสงครามระหว่างอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ปิงเทียนกับลัทธิปีศาจชั้นฟ้า แต่เขาปิดบังความจริงที่ว่ามีราชาเทพจากลัทธิเต๋าเมฆกระจ่างมาซุ่มโจมตีเขา

“ข้าไม่คิดว่านางจะเป็นถึงแม่ทัพของลัทธิปีศาจชั้นฟ้า ครั้งนี้ลัทธิปีศาจชั้นฟ้าคงต้องเคลื่อนไหวครั้งใหญ่แน่ พวกนั้นแยก 9 กองทัพออกเป็น 3 ส่วนเพื่อโจมตีทางใต้, เหนือและตะวันตก การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่แบบนี้รองหัวหน้าทั้งสามในสาขาที่ราบเมฆาคงไม่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้”

“นั่นเพราะหากพวกเขาไม่ควบคุมมันให้ดี ผลลัพธ์ที่ออกมาคงจะหนักหนา รองหัวหน้าทั้งสามคนนั้นไม่อาจจะถือโทษได้ นี่คงเกี่ยวข้องกับผู้อาวุโสสูงสุดของลัทธิปีศาจชั้นฟ้า” เทียนซวงเอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

นางฟ้าเฮายู่มองไปที่เทียนซวงเมื่อได้ยินแบบนั้น “น้องสาวเทียนซวง เจ้าน่าจะเข้าใจข้า เจ้าคิดว่าข้าคือคนที่กลัวตายหรือไร ? ตอนที่ข้าต้องการจะทำอะไร มันก็ไม่มีใครหยุดข้าได้ แม้แต่พ่อของข้าก็ตาม”

เมื่อพูดจบ เฮายู่ก็ได้มองไปที่เจี้ยนเฉินอีกครั้งและพูดขึ้นว่า “เจี้ยนเฉิน แผลบนร่างกายเจ้ามีพลังของกฎขั้นราชาเทพอยู่ด้วย แต่มันเหมือนไม่ได้มาจากนังโสเภณีนี่ ไม่ใช่ว่าข้าดูถูกเจ้า แต่ด้วยความแข็งแกร่งที่เจ้ามีตอนนี้ นังโสเภณีนี่ก็สามารถกำจัดเจ้าได้และเจ้าคงไม่อาจจะดิ้นรนได้เลย แต่แผลบนตัวเจ้าน้ชัดแล้วว่ามากจากการต่อสู้กับราชาเทพ มีราชาเทพคนอื่นจากลัทธิปีศาจชั้นฟ้ามาสู้กับเจ้ารึ ? ” สายตาเคียดแค้นปรากฏขึ้นมาในแววตาของนางฟ้าเฮายู่แต่ไม่มีใครรับรู้ถึงมันได้

เจี้ยนเฉินส่ายหน้าและพูดขึ้นด้วยสีหน้าสลด “ มันไม่ใช่ลัทธิปีศาจชั้นฟ้า แต่เป็นคนจากฝั่งข้าเอง ข้าจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง”

นางฟ้าเฮายู่ไม่คิดจะเข้าไปยุ่งในเรื่องที่เจี้ยนเฉินไม่อยากให้นางยุ่ง นางยื่นมือออกไปและหย่าซีเหลียนที่ลอยอยู่กลางอากาศก็ได้บินมาอยู่ตรงหน้านาง หย่าซีเหลียนได้มองมาที่เฮายู่ด้วยความอายและโกรธแค้น

ด้วยสถานะของนางในลัทธิปีศาจชั้นฟ้าแล้ว แม้แต่แม่ทัพอีก 8 คนก็ยังต้องสุภาพกับนาง แต่นางกลับโดนดูหมิ่นเช่นนี้ได้

แม้ว่านางจะเป็นจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางและเป็นธรรมดาที่จะมีเสน่ห์ แต่นางกลับไม่ได้ดูยั่วยวนแบบที่คนอธิบายเอาไว้ นางไม่เคยเปิดเผยเรือนร่างกับใครมาก่อน แม้แต่ตอนที่ดูดซับพลังชีวิตของผู้ชายคนอื่น นางก็แค่ต้องโน้มหน้าไปใกล้ก็เท่านั้น

มีแค่เจี้ยนเฉินที่เป็นข้อยกเว้น เพราะพลังงานที่อยู่ในตัวเขามันทรงพลังและเต็มไปด้วยพลังทำลายล้าง ดังนั้น หย่าซีเหลียนจึงไม่กล้าที่จะกลืนกินมันดังเดิม นางไม่อาจจะหาวิธีอื่นได้ ดังนั้นนางจึงต้องดูดซับผ่านการทำให้หยินและหยางสมดุลกัน นางต้องการควบคุมความคิดของเจี้ยนเฉินด้วยการใช้เสน่ห์ของนางในฐานะจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง เพื่อที่นางจะทำให้เขาร่วมมือได้

ผลก็คือแม้ว่าหย่าซีเหลียนจะเป็นจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง แต่นางก็มักจะรักษาความบริสุทธิ์และเกียรติของตนเองเอาไว้

แต่ตอนนี้เฮายู่กลับปล่อยให้นางเปลือยกายต่อหน้าผู้คนมากมายซึ่งได้ชื่นชมเรือนร่างของนาง มันเป็นไปไม่ได้ที่นางจะรับเรื่องแบบนี้ได้ เนื่องจากนางไม่เคยเปิดเผยเรือนร่างให้กับชายใดมาก่อนยกเว้นแค่เจี้ยนเฉิน

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้แน่นอนว่าจะเป็นบาปติดตัวนางไปตลอดกาล

แต่เฮายู่อยู่ในขอบเขตตั้งต้นที่น่ากลัว แม้ว่านางจะหงุดหงิดแต่นางก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา นางได้แต่มองเฮายู่ด้วยความแค้นเท่านั้น

แต่เฮายู่ไม่ได้สนใจสายตาของหย่าซีเหลียน นางเอ่ยถามเจี้ยนเฉินว่า “เจ้าต้องการให้นางตายยังไง ? ”

“พี่สาวเฮายู่… ” เทียนซวงลังเลและเริ่มกังวลขึ้นมา นางไม่อยากให้นางฟ้าเฮายู่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องความแค้นกับลัทธิปีศาจชั้นฟ้า

ลัทธิปีศาจชั้นฟ้านั้นแข็งแกร่ง แค่สาขาที่ราบเมฆก็สร้างเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ได้แล้ว แม้แต่พวกเขาที่เป็นจักรวรรดิก็ยังไม่กล้าที่จะกำจัดพวกนั้นโดยตรง พวกเขาได้แต่รับมือกับพวกนั้นและปกป้องจักรวรรดิของตัวเอง

แม้แต่องค์กรระดับสูงของที่ราบเมฆาก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรกับลัทธิปีศาจชั้นฟ้า

เจี้ยนเฉินมองไปที่เทียนซวงและขบคิด หลังจากนั้นสักพักเขาก็พูดขึ้นมาว่า “นางฟ้าเฮายู่ ข้าต้องการให้นางมีชีวิตต่อไปก่อน ลัทธิปีศาจชั้นฟ้าตอนนี้กำลังทำสงครามกับอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ปิงเทียน การเก็บตัวแม่ทัพพวกนั้นไว้อาจจะมีประโยชน์อย่างมาก”

นางฟ้าเฮายู่มองไปที่เจี้ยนเฉินและยิ้มออกมา “ได้ เมื่อเจ้าอยากให้เก็บนางไว้ ข้าก็จะปล่อยนางไป ข้าผนึกการบ่มเพาะของนางเอาไว้แล้ว ดังนั้นนางจึงไม่อาจจะใช้พลังในฐานะราชาเทพได้ เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องภัยจากนาง เจ้าเอานางไว้เคียงข้างกายได้เพื่อที่จะให้นางรับใช้เจ้า เจ้าสนุกกับนางได้ตามใจชอบ”

เจี้ยนเฉินถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อได้ยินแบบนั้น อันที่จริงเขาไม่คิดจะให้เฮายู่เข้ามามีส่วนพัวพันกับลัทธิปีศาจชั้นฟ้าเพราะเขา มันหมายความว่าเขาจะพานางซวยไปด้วย

แต่คำพูดของเฮายู่ทำให้เจี้ยนเฉินหมดคำพูด เขาพบว่าหลังจากที่เฮายู่ได้ฟื้นฟูความแข็งแกร่งกลับมาแล้ว นางเหมือนจะมีงานอดิเรกคือการปั่นหัวคนอื่น ซึ่งมันต่างจากท่าทีเย็นชาและเคร่งขรึมดังเดิม

เทียนซวงมองไปที่นางฟ้าเฮายู่ด้วยสีหน้าประหลาดใจ ถ้าไม่ใช่เพราะนางได้ยินด้วยตัวเอง งั้นนางคงไม่เชื่อว่า นางฟ้าเฮายู่จะพูดแบบนี้ออกมา

“เจี้ยนเฉิน พูดคุยกับคนขอบเขตตั้งต้นได้อย่างเป็นกันเอง เขามีภูมิหลังยังไงกัน ? ” จักรพรรดิที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็เริ่มคาดเดาตัวตนของเจี้ยนเฉิน เขาเริ่มคิดถึงองค์กรระดับสูงทั้งหมดที่เขารู้จักบนที่ราบเมฆา

คำพูดของนางฟ้าเฮายู่ก่อนหน้านี้ฝังอยู่ในหัวเขา

ถ้าดึงตัวเจี้ยนเฉินเข้ามาได้ อาณาจักรจะรุ่งเรืองขึ้นมา จากนั้นเขาจะได้รับผลประโยชน์จากการยกธิดาทั้งสองให้กับเจี้ยนเฉิน

ทันใดนั้นสีหน้าของจักรพรรดิก็เปลี่ยนไป เขาเอาเครื่องรางหยกออกมาจากแหวนมิติและส่งการรับรู้วิญญาณเข้าไปทันที

หลังจากนั้นสีหน้าของเขาก็แสดงความหมดหนทางออกมา

“บรรพชน ได้โปรด” จักรพรรดิส่งเครื่องรางให้กับเทียนซวง

เทียนซวงแผ่การรับรู้เข้าไปในเครื่องราง “ใครจะไปรู้ว่าจักรพรรดิซีคิดอะไรอยู่ ทำตามที่เขาขอ เราไม่อาจจะขัดคำสั่งเขาได้กับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้”

“น้องสาวเทียนซวง มีเรื่องอะไรรึ ? ” นางฟ้าเฮายู่ถามขึ้นด้วยความสงสัย

“มีข้อความจากจักรพรรดิซีแห่งจักรวรรดิซี เขาต้องการให้จักรวรรดิทางเหนือทั้งหมดปิดค่ายกลเคลื่อนย้าย เฮ้อ ตั้งแต่เขาได้เป็นจักรพรรดิ ใครจะไปรู้ว่าเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นมากี่ครั้งกันแล้ว แต่ทุกครั้งที่เขาขอให้เราปิดค่ายกลเคลื่อนย้าย มันจะต้องมีการตายของนักสู้จากราชวงศ์, และนักสู้อื่นที่โดนจักรพรรดิซีฆ่า และมีพวกขอบเขตตั้งต้นอยู่มากมายในหมู่พวกนั้นด้วย” เทียนซวงถอนหายใจออกมา เมื่อนางพูดถึงจักรพรรดิซี สายตาของนางก็แสดงความโกรธออกมา

“อะไรนะ ? จักรพรรดิซี จะฆ่าแม้แต่พวกขอบเขตตั้งต้นของราชวงศ์รึ ? ” นางฟ้าเฮายู่ตกตะลึงนิดหน่อย

“ถูกต้อง ใครจะไปรู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร ตั้งแต่ที่เขาขึ้นครองบัลลังก์มา มันก็ไม่เคยสงบสุขเลย ไม่ใช่แค่เขาฆ่าพวกขอบเขตตั้งต้นไปนับไม่ถ้วน แต่เขาถึงกับฆ่าองค์ชายคนอื่นด้วย มันมีหนึ่งหรือสองคนที่รอดจากหลายสิบคน พวกนั้นต่างก็กลัวจักรพรรดิซี” เทียนซวงพูดขึ้นมา

นางฟ้าเฮายู่เงียบไปหลังจากที่ได้ยินแบบนั้น นางรู้สึกว่าจักรพรรดิซีบ้าคลั่งไปแล้ว เขาถึงกับฆ่าพวกขอบเขตตั้งต้นในตระกูลตัวเอง นักสู้ทั้งหมดพวกนั้นคือบรรพชนที่ได้รับความเคารพบูชาไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม

เจี้ยนเฉินเองก็รู้สึกตกตะลึง ขอบเขตตั้งต้นคือตัวตนที่เขาได้แต่คาดหวังถึง พวกนั้นนคือนักสู้ระดับสูง เมื่ออาณาจักรศักดิ์สิทธิ์มีคนที่อยู่ขอบเขตตั้งต้น พวกเขาจะยกระดับขึ้นมาเป็นจักรวรรดิได้

แต่จากคำพูดของเทียนซวงแล้ว ขอบเขตตั้งต้นเหมือนไม่ได้มีค่าเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากจักรพรรดิซีได้ฆ่าพวกนั้นไปจำนวนมาก

เรื่องนี้มันน่าตกใจเกินไป

ตอนนั้นมีคลื่นพลังอันน่ากลัวแผ่ตัดท้องฟ้าออกมาเหนือเมืองหลวง ม่านพลังสีฟ้าได้ปรากฏขึ้นในท้องฟ้าทันที

ม่านพลังนี้เหมือนจะบางแต่พลังงานที่มันมีนั้นน่ากลัวซะจนแม้แต่เจี้ยนเฉินก็ต้องตกตะลึงนิ่งงัน

เทียนซวงมองไปที่ม่านพลังและเคร่งเครียดขึ้นมา นางได้พูดขึ้นว่า “นี่คือค่ายกลสวรรค์ปั่นป่วน ข้าไม่คิดว่า จักรพรรดิซีจะใช้ค่ายกลนี้ จักรวรรดิซีได้ปิดผนึกภาคเหนือทั้งหมดแล้ว ไม่มีใครออกไปได้และค่ายกลเคลื่อนย้ายก็ไร้ค่ารวมไปถึงแผ่นอาคมเส้นทางสวรรค์ด้วย ดูเหมือนว่าจักรพรรดิซีจะจัดการคนที่สำคัญ”

ตอนนั้นพลังของกฎรอบ ๆ เหมือนจะปั่นป่วนขึ้นมา เสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นด้านนอกพร้อมกับคลื่นกระแทกที่กระจายออกมาดั่งพายุ มันได้ทำให้มิติบิดเบี้ยวและแตกออก

เจี้ยนเฉินมองออกไปภายนอก เขาเห็นร่างแสงสองร่างที่อัดแน่นไปด้วยกฎเข้าปะทะกัน การปะทะแต่ละครั้งนั้นจะทำให้เกิดการระเบิดอันรุนแรงขึ้นมา มันน่าตกใจจริง ๆ

นี่คือการต่อสู้ระหว่างขั้นบรรพกาล” เฮายู่เองก็มองออกไปแล้วพูดขึ้น

“หนึ่งในนั้นคือจักรพรรดิซี ส่วนอีกคนนั้นคืออดีตจักรพรรดิของจักรวรรดิซีที่ซึ่งเป็นพ่อของจักรพรรดิซี” เทียนซวงจำทั้งสองได้ทันทีที่เห็น นางถอนหายใจออกมาเบา ๆ “ทุกครั้งที่จักรพรรดิซีต้องการจะจัดการคนสำคัญ จักรพรรดิคนเก่ามักจะออกมาห้าม ใครจะไปรู้ว่าทั้งสองได้สู้กันไปกี่ครั้งแล้วตั้งแต่ที่เขาได้กลายเป็นจักรพรรดิ”