เพื่อประจบเย่เฉิน กู้เหว่ยเลี่ยงจึงเก็บความรู้สึกเห็นใจต่อขงเต๋อหลงที่มีอยู่น้อยนิดนั้นไว้ในก้นบึ้งของจิตใจ

เขาพูดน้ำเสียงเฉียบขาดด้วยสีหน้าท่าทางไร้ความรู้สึกว่า “ขงเต๋อหลง ทุกคนต่างโตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว เมื่อลงเดิมพันได้ก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ได้ ฉันว่านายก็อย่ามัวพิรี้พิไรอยู่ที่นี่เลย รีบกลืนหยกก้อนนี้เข้าไปเถอะ!”

สีหน้าท่าทางของขงเต๋อหลง พลันเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวจนไม่อาจจะบิดเบี้ยวไปกว่านี้ได้อีก

กู้เหว่ยเลี่ยงกล่าวเสียงเย็นว่า “ฉันจะบอกนายให้ ในใจนายควรจะดีใจนะ ที่คราวก่อนนายกลืนสร้อยคอลงไป หินนี้จึงเป็นเพียงอัญมณี โชคดีที่นายไม่ได้ให้อัญมณีพร้อมกับสร้อย ไม่อย่างนั้นนายได้กลืนสร้อยลงท้องไปพร้อมกันแน่!”

ขงเต๋อหลงหน้าเบ้ มองไปทางต่งรั่งหลินลูกพี่ลูกน้องสาว แล้วเอ่ยขึ้นอย่างร้องขอความเมตตาว่า “รั่งหลิน น้องสาวที่แสนดีของฉัน เธอรีบขอความเมตตาจากคุณเย่เร็วเข้า บอกให้คุณเย่ปล่อยฉันไปสักครั้งเถอะ ฉันสำนึกผิดแล้วจริงๆ ตั้งแต่นี้ไปฉันจะไม่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาอีกแล้ว ต่อไปฉันจะเป็นสุนัขให้เขา เขาให้ฉันทำอะไรฉันก็จะทำ ต่อให้เขาให้ฉันกัดคน ฉันก็จะทำโดยไม่ลังเล ขอเพียงครั้งนี้เขาปล่อยฉันไป…”

เวลานี้ภายในใจของต่งรั่งหลินก็พันกันยุ่งเหยิงเช่นเดียวกัน

เมื่อกี้ญาติผู้พี่ทำกับเย่เฉินแบบนั้น ทำให้ในใจเธอไม่พอใจอย่างมากจริงๆ

ผู้หญิงล้วนเป็นเช่นนี้ อย่าว่าแต่ขงเต๋อหลงจะเป็นญาติผู้พี่ของต่งรั่งหลิน ทั้งสองคนความสัมพันธ์สมัยเด็กก็ไม่เลวเช่นกัน

แต่อย่างไรเย่เฉินก็เป็นชายในดวงใจที่ต่งรั่งหลินแอบรักมานาน ดังนั้น หากวางสองคนนี้ไว้ตรงหน้าเธอ ในใจเธอย่อมจะเอนเอียงไปทางเย่เฉินอย่างแน่นอน

ตอนนี้ขงเต๋อหลงให้เธอขอร้องเย่เฉิน ในเวลาสั้นๆ เธอจึงยังไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดีจริงๆ

พอตงซิ่วหัวเห็นเช่นนี้ ก็รีบวิ่งมาหยุดตรงหน้าต่งรั่งหลิน ร้องไห้ต้องการจะคุกเข่า ปากก็พร่ำพูดว่า “รั่งหลิน ไว้หน้าป้าสักครั้ง ขอร้องคุณเย่ให้หน่อยเถอะ ขอความเมตตาให้เขาปล่อยญาติผู้พี่ของแกไปสักครั้ง ป้าคุกเข่าให้แกแล้ว!”

ต่งรั่งหลินรีบยื่นมือออกไปต้องการจะประคอง แต่ตงซิ่วหัวกลับดึงดันจะคุกเข่าลงให้ได้ ทั้งสองจึงยื้ดยุดกันอยู่เช่นนี้

ต่งรั่งหลินทำใจให้ป้าคุกเข่าให้ตนเองไม่ได้จริงๆ ดังนั้นจึงรีบมองไปทางเย่เฉิน มีความรู้สึกผิดอยู่เต็มใบหน้า จากนั้นก็ถามอย่างวิงวอนเล็กน้อยว่า “เย่เฉิน ขอร้องคุณช่วยเห็นแก่หน้าฉัน ปล่อยพี่ชายฉันไปสักครั้งเถอะ…”

เย่เฉินลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวกับต่งรั่งหลินว่า “ขอคุยเป็นการส่วนตัวแค่เราสองคนได้ไหม”

ต่งรั่งหลินพยักหน้าอย่างรีบร้อน เดินมาหยุดข้างกายเย่เฉิน พร้อมกับมองเย่เฉินด้วยใบหน้าเคร่งเครียด เกิดกลัวว่าในใจเขาจะโกรธตนเองอยู่

เย่เฉินมองเธอ ก่อนจะเอ่ยปากถามขึ้นว่า “ตอนอยู่ที่จินหลิง มีพี่น้องนักเลงสองหัวไม้เจิ้นหนานคู่หนึ่งวางแผนเพื่อจะลอบฆ่าคุณ มันมีส่วนเกี่ยวข้องกับขงเต๋อหลงหรือเปล่า?”

ต่งรั่งหลินรีบโบกมืออย่างรวดเร็ว “เรื่องนั้นไม่ใช่ฝีมือของญาติผู้พี่ฉัน เป็นลูกพี่ลูกน้องฉัน…”

“ลูกพี่ลูกน้องคุณ?” เย่เฉินขมวดคิ้ว “เขาอยู่ที่นี่ไหม?”

ต่งรั่งหลินส่ายหน้า พลางพูดว่า “ว่ากันว่าหลังจากเรื่องนั้นเมื่อคราวก่อน ก็มีคนภูมิหลังใหญ่โตมากล่าวเตือนตระกูลต่ง ลูกพี่ลูกน้องฉันหวาดกลัว จึงหลบไปอยู่ต่างประเทศแล้ว ไม่ได้กลับมาอีก ครั้งนี้งานวันเกิดคุณย่า ให้เขากลับมาเขาก็ไม่กลับ”

เย่เฉินพยักหน้าเบาๆ แล้วถามอีกว่า “แสดงว่าคุณกับขงเต๋อหลงญาติผู้พี่คนนี้ของคุณไม่ได้ขัดแย้งอะไรกันใช่ไหม?”

“ใช่ค่ะ” ต่งรั่งหลินรีบเอ่ยว่า “ญาติผู้พี่คนนี้ของฉันน่ะ…จะว่าอย่างไรดีล่ะ นิสัยต่ำช้าอยู่บ้าง ทั้งยังไม่ใฝ่หาความรู้ แต่ก็ไม่เคยทำเรื่องที่ไร้มนุษยธรรมอะไร แค่ชอบเสแสร้งเท่านั้น…”

พูดถึงตรงนี้ ต่งรั่งหลินก็เอ่ยขอร้องเสียงหวานว่า “ดังนั้น เย่เฉิน…เรื่องในวันนี้ คุณก็อย่าไปถือสาเขาเลย ไว้หน้าฉันสักครั้งได้ไหมคะ?”

ต่งรั่งหลินทางหนึ่งพูด ทางหนึ่งก็ใช้สองมือจับแขนเย่เฉินไว้ พลางเขย่าเบาๆ อย่างออดอ้อน ใบหน้าเต็มไปด้วยความเขินอายแกมขอร้อง

เย่เฉินจนปัญญา ในเมื่อรู้แก่ใจว่าต่งรั่งหลินขอความเมตตาแล้ว ต่อให้ตนเองเห็นแก่หน้าเพื่อน ก็ไม่อาจสร้างความลำบากใจให้ญาติผู้พี่ของเธอต่อได้อีกเช่นเดียวกัน

แต่ว่า ที่ขงเต๋อหลงทำก่อนหน้านี้อันที่จริงเป็นเรื่องใหญ่อยู่บ้าง หากปล่อยเขาไปทั้งอย่างนี้ จะเป็นการเอาเปรียบเขาเกินไปหน่อยแล้ว

คิดถึงตรงนี้ เขาก็เอ่ยกับต่งรั่งหลินว่า “เอาอย่างนี้เถอะ ในเมื่อเป็นญาติผู้พี่ของคุณ อย่างนั้นผมพูดอะไรก็คงต้องไว้หน้าคุณบ้างเช่นกัน”