ตอนที่ 3512

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 3512 : ของขวัญ

       หลังจากที่ฐานะของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเปิดเผยออกมา ก็ทำให้อารมณ์ความรู้สึกของเหล่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์ทั้งหลายพุ่งพล่านขึ้นมาไม่น้อย

  ตอนนี้คนเดียวที่ไม่ได้ตกใจก็คือต้วนหลิงเทียนกับฟงชิงหยาง เพราะต้วนหลิงเทียนนั้นล่วงรู้ชาติกำเนิดของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแต่แรก ส่วนฟงชิงหยางก็ได้รับทราบจากต้วนหลิงเทียนแล้วว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นมาจากตระกูลในระนาบเทพ

  ระนาบเทพ ยิ่งตัวตนระดับสูงยิ่งรู้ข้อมูล ต่างจากเหล่าเซียนอมตะที่ไม่ได้มีฐานะสูงส่งอะไร อีกทั้งยังรู้ดีว่าที่นั่นเป็นสถานที่เช่นไร อย่างน้อยๆก็เหนือกว่าระนาบเทวโลกมาก

  ในระนาบเทพนั้น ไม่ว่าระนาบเทพแห่งไหน ก็ล้วนแล้วแต่มีตัวตนขอบเขตเทพเดินกันให้ว่อน…

  “จะอย่างไรก็ช่างเถอะ…แต่ในเมื่อมันเป็นถึงคุณชายของตระกูลในระนาบเทพ การมาเข้าร่วมศึกอัจฉริยะสวรรค์แบบนี้ยังไม่ใช่การรังแกผู้คนหรือไร?”

  หลังรับทราบความเป็นมาของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแล้ว เหล่าอัจฉริยะหลายคนก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วกล่าวคำด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ เห็นชัดว่าพวกมันรู้สึกเสมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม! หลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่เป็นคุณชายนายน้อยของตระกูลบนระนาบเทพ การลงมาแข่งขันในระนาบเทวโลกแบบนี้…ไยไม่ใช่ผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย?!

  “ไม่! เจ้าอย่าได้ลืมว่าปีนี้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นยังมีอายุไม่ถึง 700 ปี! และตอนนี้ช่องทางเชื่อมต่อระหว่างระนาบเทวโลกกับระนาบเทพก็ถูกปิดกั้นมา 600 กว่าปีแล้ว…กล่าวได้ว่าตอนที่มันออกจากระนาบเทพนั้น อายุของมันก็ไม่น่าจะถึงร้อยปีด้วยซ้ำ! และมันก็ไม่มีโอกาสกลับไปไม่ใช่รึไง?”

  ขณะเดียวกัน หลายคนที่ฉุกคิดถึงอายุหลิงเจวี๋ยอวิ๋นขึ้นมาได้ ก็โยงไปถึงเรื่องการปิดตัวของช่องทางระหว่างระนาบเทวโลกและระนาบเทพทันที

  เพราะช่องทางดังกล่าวเมื่อปิดตัวลงแล้ว ก็จะกินเวลาทั้งสิ้น 1,000 ปี!

  ระหว่างนั้นผู้คนก็ไม่อาจสัญจรไปมาระหว่างระนาบเทพกับระนาบเทวโลกได้…

  “ถ้างั้นหมายความว่า…หลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั่นมันก็เติบโตขึ้นมาบนระนาบเทวโลกน่ะสิ?”

  “ถึงมันจะเติบโตมาบนระนาบเทวโลกแล้วยังไงเล่า? เบื้องหลังมันมีตระกูลสูงส่งของแดนเทพส่งเสริม ทรัพยากรที่มันมีไม่ทราบเหนือล้ำกว่าพวกเราเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ข้าเกรงว่าของในแหวนพื้นที่มันสมควรล้ำค่าสุดที่พวกเราจะจินตนาการได้ออกด้วยซ้ำ! ในสถานการณ์แบบนี้…ความเร็วในการฝึกฝนบ่มเพาะของมันจะรวดเร็วเหนือพวกเราก็ไม่แปลกอะไร!”

  …

  ถึงแม้จะรู้แล้วว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นสมควรเติบโตขึ้นบนระนาบเทวโลก แต่หลายคนยังรู้สึกว่าด้วยฐานะของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่อย่างไรก็มีพื้นเพมาจากระนาบเทพ แม้จะไม่ได้อยู่ในระนาบเทพ แต่ไหนเลยจะไม่มีทรัพยากรบ่มเพาะที่พกติดตัวมาด้วย? ซึ่งของพวกนั้นน่ากลัวจะไม่ใช่อะไรที่คนในระนาบเทวโลกจะจินตนาการได้ออก!!

  ไม่ว่าจะอย่างไร สุดท้ายตัวตนของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ได้รับการยืนยันจากฉีคงไห่เรียบร้อย

  ถึงแม้จะมีหลายคนที่รู้สึกไม่ยุติธรรมที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นมาแข่งขันกับพวกมัน แต่พวกมันก็ไม่อาจพูดอะไรได้

  ล้อกันเล่นหรือไร?

  ไม่เห็นเหรอว่าฉีคงไห่รองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักแทบจะกอดต้นขาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอยู่แล้ว!?

  ตอนนี้ต่อให้มีคนยกประเด็นเรื่องไม่ยุติธรรมขึ้นมา เกรงว่าฉีคงไห่จะปัดตกทั้งออกตัวคัดค้านแน่นอน และผู้อื่นก็มีอำนาจจะทำแบบนั้นด้วย เพราะสุดท้ายแล้วในบรรดาคนของวิหารเฟิงฮ่าวที่มา ฉีคงไห่ ก็มีอำนาจสูงสุด!

  “แต่คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าในระนาบเทพกลับมีตระกูลเช่นนี้ดำรงอยู่ด้วย…สายเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในสมาชิกของตระกูล กลับมีกฏแห่งความตายแฝงอยู่ เช่นนั้นกล่าวได้ว่าการเข้าใจกฏแห่งความตายก็ง่ายดายเสมือนมีมือของทวยเทพผลักดันอยู่ด้านหลัง แถมยังมีความสามารถสลับสับเปลี่ยนระหว่างร่างจริงกับร่างแยกแห่งความตายแสนโกงนั่นอีก…”

  หลังได้รับทราบ ‘ต้นตอ’ ความสามารถของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแล้ว เหล่าอัจฉริยะไม่เว้นเหล่าจักรพรรดิสวรรค์หลายก็อดไม่ได้ที่จะแตกตื่นฮือฮา และที่มากที่สุดแน่นอนว่าคือความอิจฉา!

  เป็นธรรมดาว่ายังมีคนที่เข้าใจระนาบเทพดี และไม่ได้แปลกใจอะไรมากมาย

  อย่างเช่น ฉีคงไห่ ฟงชิงหยาง ตี้หวง รวมถึงอาวุโสของเผ่ากิเลนที่มาด้วย ก็แลดูเฉยๆทั้งนั้น “ชนพื้นเมืองของระนาบเทพ ปกติแล้วก็สืบสายเลือดมาจากผู้แข็งแกร่งที่สุดด้วยกันทั้งนั้น…แล้วสายเลือดของผู้แข็งแกร่งที่สุดไหนเลยจะธรรมดาได้? ความสามารถพิสดารเหนือจินตนาของสายเลือดแทบทุกประเภทถือเป็นเรื่องปกติที่นั่น”

  ฉีคงไห่ในฐานะรองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก ก็ล่วงรู้เรื่องนี้ดี

  ตี้หวงในฐานะที่เป็นคนของเผ่ากิเลน และเผ่ากิเลนก็มีผู้แข็งแกร่งที่สุด ดังนั้นก็ย่อมรู้เป็นธรรมดา

  สำหรับฟงชิงหยาง ได้รับทราบเรื่องราวของระนาบเทพมาจากนรกอสุรา 1 ใน 7 แดนต้องห้ามของระนาบเทวโลก

  ไม่ว่าฐานะความเป็นมาของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะเป็นอย่างไร แต่สุดท้ายแล้วมันก็ถือว่าอาชนะหวงเฉวียนอันได้อย่างราบคาบ

  “ข้าล่ะยอมเจ้าเลย…”

  จังหวะนี้ หวงเฉวียนอัน ที่ได้รับทราบ ‘สาเหตุ’ ของความพ่ายแพ้ หลังจากอึ้งไปพักหนึ่ง ก็ได้แต่คลี่ยิ้มแหยๆปานเคี้ยวข้าวเจอบอระเพ็ด กล่าวว่า “ต่อไปวันหน้า หากข้าเจอคนจากตระกูลของเจ้า ก็คงต้องเดินหลบๆหน่อย…”

  “ผู้ใดใช้ให้สายเลือดของพวกเจ้าเป็นดาวข่มข้ากันเล่า…”

  จังหวะนี้หวงเฉวียนอันยังกล่าวหยอกล้อเคล้าเสียงหัวเราะอยู่ได้ เห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้ท้อแท้หรือหดหู่อะไรมากที่แพ้หลิงเจวี๋ยอวิ๋น แลดูไปไม่คล้ายจริงจังกับการแข่งขันสักเท่าไหร่

  ฉีคงไห่มองส่งหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกลับไปนั่งที่ด้วยสีหน้าเคารพยำเกรง จนเมื่อหลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั่งลงดีแล้ว สายตามันก็กวาดมองไปยังอัฒจันทร์รอบๆ ปริปากกล่าวออกมาอีกครั้ง “ต่อไป อันดับ 6 คนใหม่ โจวหย่งฉี เชิญเข้าสังเวียนเพื่อเลือกคู่ต่อสู้ของเจ้า”

  โจวหย่งฉีแรกสุดนั้นถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 4 แต่พอหวงเฉวียนอันท้าประลองเอาชนะจงกุ้ยอวี่ได้สำเร็จ มันก็ร่วงตกงมาอยู่อันดับที่ 5 ทันที

  มาตอนนี้คนที่มีอันดับต่ำกว่ามัน ท้าทายเอาชนะหวงเฉวียนอันได้สำเร็จ เช่นนั้นอันดับของมันก็เลยร่วงตกลงมาถึงอันดับที่ 6

  แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนกับถังซานเป่าที่เดิมอยู่ในอันดับสูงกว่ามันก็พบชะตากรรมเดียวกัน

  ต้วนหลิงเทียนร่วงตกจากอันดับที่ 3 มาอันดับที่ 5

  ถังซานเป่าแรกสุดจากรั้งอยู่ในอันดับที่ 2 ก็ร่วงมาอยู่ในอันดับที่ 4

  ฟุ่บ!

  โจวหย่งฉีเหินร่างเข้าสังเวียนเร็วไว ดึงดูดความสนใจของเหล่าอัจฉริยะให้กลับมาสนใจการประลองอีกครั้ง

  “โจวหย่งฉี ศิษย์ปิดสำนักของจักรพรรดิสวรรค์ฉีหงเทียน โจวปิงหวู่!”

  “พวกเจ้าว่า…โจวหย่งฉีผู้นี้มันจะท้าต้วนหลิงเทียนสู้หรือไม่? สุดท้ายแล้วอาจารย์ของมันอย่างจักรพรรดิสวรรค์ฉีหงเทียน ก็โดนจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน อาจารย์ของต้วนหลิงเทียนหักหน้าในที่สาธารณะ!”

  “ข้าว่ามันเอาคืนแน่!”

  “เหอะๆ อาจารย์โดนรังแก เป็นเรื่องปกติที่ศิษย์เช่นมันจะเอาคืน!”

  “เดี๋ยวๆ เอาคืนอะไรของพวกเจ้า? อย่าได้ลืมไปว่าตอนต้วนหลิงเทียนประมือกับอวี๋ตงฟาง พลังฝีมือที่เผยออกไม่ได้ด้อยไปกว่าเทพสงคราม 5 ดาราชนชั้นยอดฝีมือแม้แต่นิดเดียว…ต่อให้โจวหย่งฉีจะร้ายกาจไม่ใช่ชั่ว แต่มันก็ยังห่างจากเทพสงคราม 5 ชนชั้นยอดฝีมือไม่ใช่รึไง?”

  “จริง ข้าว่ามันยังห่างกว่าจะเรียกได้ว่ายอดฝีมือเทพสงคราม 5 ดารา!”

  “ก็นะในเมื่อมันยังไม่ใช่ยอดฝีมือเทพสงคราม 5 ดารา ใจคิดยืนหยัดให้อาจารย์แค่ไหนแต่ตัวก็ยังไร้กำลังอยู่ดี…”

  เสียงซุบซิบที่ดังระงมจากอัฒจันทร์รอบทิศ ย่อมเข้าหูโจวหย่งฉีเป็นธรรมชาติ พาลให้ร่างโจวหย่งฉีสะท้านสั่นไหวไปเบาๆ มุมปากยังอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มขื่นขมอย่างอับจนออกมา

  หากอวี๋ตงฟางไม่ได้ท้าทายต้วนหลิงเทียน จนต้วนหลิงเทียนสำแดงพลังอันเลิศล้ำชนชั้นยอดฝีมือเทพสงคราม 5 ดาราออกมาล่ะก็ ตอนนี้มันท้าต้วนหลิงเทียนสู้แน่!

  แต่ทุกคนทราบดี ว่ามันยังสู้อวี๋ตงฟางไม่ได้ด้วยซ้ำ

  หากกระทั่งอวี๋ตงฟางยังแพ้พ่าย ให้มันท้าทายต้วนหลิงเทียน ก็รังแต่จะหาเรื่องอับอายเท่านั้น

  “ข้าขอท้า…”

  ท่ามกลางสายตาของทุกคน เมื่อเห็นว่าสายตาของโจวหย่งฉีหันไปมองทางต้วนหลิงเทียน เหล่าอัจฉริยะก็อุทานออกมาด้วยความแตกตื่น “โฮ่!? โจวหย่งฉีนั่น…หรือที่แท้มันปกปิดพลังเอาไว้!? มันคิดจะท้าต้วนหลิงเทียนเรอะ?!’

  “สายตานั่นมัน…มองไปทางต้วนหลิงเทียนชัดๆ! มันจะท้าต้วนหลิงเทียนจริงๆรึ!?”

  “มัน…คงไม่ใช่ว่าเป็นยอดฝีมือเทพสงคราม 5 ดาราด้วยหรอกนะ? หากใช่ ก็น่าดูชมแล้วล่ะ!”

  …

  พอเห็นว่าสายจาของโจวหย่งฉีมองไปตกยังบริเวณอัฒจันทร์ที่นั่งของต้วนหลิงเทียน อัจฉริยะทั้งหลายก็คึกคักอักโขนัก รอดูชมความตื่นเต้นอย่างใจจดจ่อ

  อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เหล่าอัจฉริยะทั้งหลายกำลังคึกคักได้ที่ เสียงที่ดังขึ้นของโจวหย่งฉีก็ทำให้พวกมันอึ้งไปอีกรอบ “อันดับที่ 4 ถังซานเป่า!”

  โจวหย่งฉีกลับท้าทายถังซานเป่า ไม่ใช่ต้วนหลิงเทียน!

  “เหอๆ ดูเหมือนพวกเราจะคิดมากเกินไป…”

  หลังอัจฉริยะอื้ออึงกับเรื่องราวอยู่พักหนึ่ง หลายคนก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา บ้างที่คืนสติก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเอื่อยๆพร้อมรอยยิ้มเชิดๆ “ก็นะ โจวหย่งฉีนั่นดูเหมือนจะรู้ตัวดีว่ามันสู้ต้วนหลิงเทียนไม่ได้…เช่นนั้นจึงเลือกสหายของต้วนหลิงเทียนแทน กล่าวไปก็เสมือนมันหาทางกู้หน้าอาจารย์โดยอ้อมแล้วล่ะ…”

  “แบบนี้ก็ได้หรือ?”

  “แล้วจะให้มันทำอย่างไรได้อีกเล่า?”

  “คนที่มันท้าได้ตอนนี้ ก็เหลือแค่ถังซานเป่ากับจงกุ้ยอวี่เท่านั้น…เว้นเสียแต่มันจะหาเรื่องแพ้ สุดท้ายการเลือกถังซานเป่าย่อมดีที่สุด เพราะพลังฝีมือของถังซานเป่าเท่าก็ไม่แน่ว่าจะร้ายกาจเท่าจงกุ้ยอวี่…”

  “งั้นหมายความว่าการเลือกของมันครั้งนี้ไม่เพียงแต่เพราะต้องการเล่นงานสหายต้วนหลิงเทียนอย่างเดียว…แต่มันจงใจเลือกคนที่คิดว่าเป็นพลับสุกนุ่มนิ่ม?”

  …

  ได้ยินความเห็นของเหล่าอัจฉริยะทั้งหลาย สีหน้าต้วนหลิงเทียนกับซูหลี่แลดูผิดแปลกไปอยู่บ้าง แววตายังแหม่งๆอย่างไรชอบกล

  ถังซานเป่าน่ะหรือ พลับนิ่ม?

  ตอนนี้ทั้งคู่ยืนยันได้แล้วว่าถังซานเป่าก็คือไพ่ตายของวิหารเฟิงฮ่าว ตัวตนที่สมควรเป็นเทพสงคราม 6 ดารา! แต่อัจฉริยะพวกนั้นกลับเห็นเป็นพลับสุกนุ่มนิ่ม?

  “ถังซานเป่า โจวหย่งฉีนั่นมันเห็นเจ้าเป็นพลับสุกนุ่มนิ่มน่าบีบแหนะ…”

  ซูหลี่หันกลับไปมองถังซานเป่า พลางกล่าวด้วยเสียงหยอกล้อ

  “เจ้านั่นมันคงกำลังคิดจะใช้ 1 หินสอย 2 วิหกสินะ…”

  ถังซานเป่าคลี่ยิ้มเฉยเมย วางตัวเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด ขณะเดียวกันมันก็หันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มสดใส “พี่น้องต้วน ไม่ว่าท่านจะคิดข้าว่าข้าเข้าหาพวกท่านด้วยเหตุผลกลใด แต่ข้าบอกได้คำเดียวว่าข้าไม่มีเจตนาร้ายแม้แต่นิดเดียว”

  “เรื่องนี้ท่านจะเชื่อหรือไม่ ก็สุดแล้วแต่พวกท่าน”

  “อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่ข้าปิดบังตัวเอง เพราะข้ามีเหตุผลของข้า”

  “ถือซะว่า ‘โจวหย่งฉี’ นั่น…เป็นของขวัญที่ข้าให้พี่น้องต้วนท่านแล้วกัน”

  กล่าวจบคำ ถังซานเป่าก็เหินร่างออกไปทันที

  “เจ้าถังซานเป่านั่นมันพูดอะไรของมัน ถึงโจวหย่งฉีจะท้าทายมันแล้วมันเอาชนะผู้อื่นได้ ก็ไม่ใช่เพื่อตัวเองหรือไง…ไฉนถึงบอกเจ้าทำนองว่า โจวหย่งฉี นั่นจะเป็นของขวัญให้เจ้าล่ะ?”

  ซูหลี่อดไม่ได้ที่จะกระซิบถามต้วนหลิงเทียนด้วยสายตางุนงง

  “ฟังจากที่มันพูด…ข้าเกรงว่าเรื่องราวคงไม่ง่ายดายเหมือนแค่เอาชนะโจวหย่งฉีแน่”

  ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา

  “เจ้าหมายความว่า…”

  สีหน้าซูหลี่แข็งไปทันที “เจ้านั่นมันคิดฆ่าโจวหย่งฉีงั้นรึ?!”

  “ให้ตายเถอะ…โจวหย่งฉีนั่นจะอย่างไรก็เป็นศิษย์ปิดสำนักของโจวปิงหวู่ และโจวปิงหวู่อย่างไรก็เป็นอันดับที่ 4 ในรายนามจักรพรรดิสวรรค์!”

  ซูหลี่อุทานออกมาอย่างเหลือเชื่อ

  “ก็ถ้ามันเป็นไพ่ตายของวิหารเฟิงฮ่าวจริง…เจ้าว่าวิหารเฟิงฮ่าวจะปล่อยให้โจวปิงหวู่ฟาดงวงฟาดงาอะไรได้หรือไม่เล่า?”

  ต้วนหลิงเทียนย้อนถาม

  ซูหลี่พอได้ยินก็ผงะไป จากนั้นก็อดคลี่ยิ้มเจื่อนๆไม่ได้ “ก็จริงของเจ้า…ดูเหมือนในระนาบเทวโลก ไม่เพียงแต่พลังฝีมือของตัวเท่านั้น แต่ภูมิหลังก็สำคัญอย่างยิ่งยวด…เว้นเสียแต่จะแข็งแกร่งจนไม่จำเป็นต้องให้ใครหนุนหลัง”

  “เรื่องพรรค์นี้ก็ใช่ว่าจะมีแค่ในระนาบเทวโลก”

  ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา “ตอนอยู่ในระนาบเซียนบ้านเกิดของพวกเรา ไม่ใช่ว่าใดๆก็ล้วนเป็นอีหร็อบนี้หรือไร?”

  “บอกได้เลยว่าที่ไหนมีการแข่งขัน สุดท้ายก็เหมือนกันหมดนั่นล่ะ…”

  ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังคุยกับซูหลี่ ด้านถังซานเป่าที่เหินร่างออกไป ในที่สุดก็หยุดลอยเผชิญหน้ากับ โจวหย่งฉี ศิษย์ปิดสำนักของ โจวปิงหวู่ จักรพรรดิสวรรค์ฉีหงเทียนเรียบร้อย ยังมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเฉยชาไร้แยแส