“ฮ่าๆๆ”
เมื่อหมี่เทียนได้ยินเรื่องราวที่เก้านายน้อยไปท้าทายเย่หยวนเขาก็ต้องหัวเราะลั่นขึ้นมา “ไอ้เจ้าเย่หยวนนั่นนะ อย่าว่าแต่ตำแหน่งนายน้อยอะไรเลย ต่อให้ข้าจะยกมันขึ้นมาเป็นบรรพบุรุษมันก็คงไม่คิดสนใจจะรับไว้หรอก!”
หลงเหอและพวกนั้นกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ต่อหน้าหมี่เทียนอย่างไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้า
ที่แท้คำพูดของเย่หยวนนั้นมันเป็นคำพูดจากใจจริง!
แต่พวกเขาทั้งหลายกลับไม่มีใครเชื่อ!
นอกจากนั้นแล้วบรรพบุรุษท่านยังไม่คิดยกแต่งตั้งเย่หยวนเป็นนายน้อยใดๆ ด้วย
นี่มัน…หาเรื่องใส่ตัวอย่างไร้ประโยชน์โดยแท้ พวกเขามีแต่ต้องเสียหน้าเปล่าๆ
“บ…บรรพบุรุษ โปรดอภัยเราด้วย!” หลงเหอกล่าวขึ้นมาด้วยเหงื่อเย็นเหยียบไหลท่วมกาย
“พวกเจ้าทั้งหลายเอาเวลาไปคิดเรื่องการบ่มเพาะให้ดีเถอะ! ตอนนี้หายนะเผ่าเลือดมันใกล้เข้ามาทุกทีและเมื่อถึงเวลาทุกสวรรค์คงเดือดร้อนสิ้น เรามีเวลาอีกไม่มากแล้ว!” หมี่เทียนกล่าวขึ้นอย่างจริงใจ
“ขอรับบรรพบุรุษ!” หลงเหอและพวกตอบรับและขอตัวกลับออกไป
เมื่อคนทั้งหลายจากไปแล้วหลงเจี้ยนก็กล่าวขึ้นรายงานบ้าง “บรรพบุรุษ เจ้าเด็กเย่หยวนนี่มันหลงตัวเองเกินไป! ข้าส่งคนไปเรียกมันบอกว่าท่านกลับมาแล้วแต่มันกลับบอกว่าให้ท่านไปหามันเอง! เอาแต่อยู่กับพวกสัตว์ประหลาดทั้งหลายนั้นทั้งวัน นั่งเล่นกับโอสถของเล่นมัน ช่างโง่เง่านัก!”
หมี่เทียนยิ้มขึ้นมาเมื่อได้ยิน “ฮ่าๆ ถ้าไอ้เด็กนี่เริ่มลงมือหลอมโอสถเมื่อไหร่แล้วแม้แต่หน้าพ่อหน้าแม่มันก็ยังแทบจำไม่ได้! แต่เจ้าเด็กนี่มันเป็นคนรักษาคำพูด มันได้สัญญานักยุทธสายเลือดทั้งหลายนั้นไว้แล้วว่าจะช่วยเหลือ มันจะต้องทำให้สุดความสามารถแน่นอน! นอกจากนั้นแล้วมันยังผสานเลือดสี่เผ่าภูตแท้ไปด้วย ตอนนี้มันอาจจะเข้าใจอะไรได้มากขึ้นกว่าแต่ก่อน ไปเถอะ ไปหามันกัน”
หลงเจี้ยนได้แต่ต้องเดินคอตกเพราะบรรพบุรุษท่านนั้นช่างตามใจเย่หยวนเสียเหลือเกิน
เจ้าเด็กนี่มันเป็นพวกที่ได้คืบเอาศอกอย่างไม่ต้องสงสัย
หากไว้หน้ามันแล้ววันหน้ามันคงไม่เห็นหัวใครอีก!
และไม่คิดบ่มเพาะเอาแต่เสียเวลานั่งเล่นกับโอสถมันจะมีประโยชน์อะไร?
สำหรับเหล่าภูตแท้ทั้งหลายนั้นพวกเขาไม่ต้องพึ่งพาพลังของโอสถสวรรค์มากมาย
เพราะสายเลือดของพวกเขานั้นทรงพลังอย่างมาก หากเป็นคนมีพรสวรรค์แล้วย่อมสามารถจะบ่มเพาะได้อย่างรวดเร็วไม่ต้องพึ่งโอสถใดๆ
คนทั้งสองนั้นเดินเข้ามายังห้องเก็บตัวของเย่หยวนอย่างไม่คิดส่งเสียงใดๆ ตอนนี้เย่หยวนกำลังปลดปล่อยพลังภายในออกมาหนักแน่นดั่งขุนเขา ยอดเต๋าจุติลงท่ามกลางเพลิงของเผ่าหงส์แดงมันมีโอสถสวรรค์กำลังค่อยๆ ก่อตัว
ตอนนี้การหลอมโอสถของเย่หยวนมันไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์อะไรมากมายแล้ว
เพราะตอนที่เขาได้เห็นหยุนซานหลอมโอสถด้วยความคิด มันก็ได้เปิดประตูบานใหม่แห่งการโอสถให้แก่เย่หยวน
อย่างที่ว่ากันว่าโลกหล้านี้มันไม่มีสิ่งใดที่ไม่อาจถูกหลอมเป็นโอสถ เย่หยวนได้เข้าใจแนวคิดนั้นในเบื้องต้นแล้ว
และสวรรค์ศาลโมฆะส่องสว่างนี้มันยังเป็นเหมือนดั่งแดนสวรรค์ของนักหลอมโอสถสวรรค์ด้วย
บนเกาะมังกรสวรรค์นี้มันมีสมุนไพรสวรรค์มากมายหลายชนิดจนเกินกว่าจะนับ คุณภาพของพวกมันนั้นสูงล้ำเย่หยวนสามารถหยิบมาใช้ได้ไม่รู้จักหมดจักสิ้น
หลายวันที่หมี่เทียนไม่ได้อยู่บนเกาะนั้นเย่หยวนได้เก็บตัวอยู่ในห้องศึกษาสายเลือดของตัวเองจนตอนนี้เริ่มจะเข้าใจและเห็นทางแก้ไขสายเลือดแล้ว
“หลอม!”
เย่หยวนร้องขึ้นมาพร้อมโอสถที่หลอมเป็นรูปในที่สุด!
ด้านหลังของเขานั้นจ้าวเยว่และพวกต่างกำลังนั่งหลังตรงเหมือนเป็นแค่สัตว์เลี้ยงของเย่หยวน
พวกเขานั้นย่อมไม่เหลือสติปัญญาพอจะเข้าใจได้ว่าเย่หยวนนั้นทำอะไร
เพราะดวงตาของพวกเขาทั้งหลายนั้นดูว่างเปล่า
แต่วินาทีนี้จ้าวเยว่กลับเบิกตากว้างขึ้น
เขานั้นยังคงมีเสี้ยวของสติปัญญาหลงเหลือในตัวและยังมีความหวังลึกๆ ว่าจะสามารถกลับมาได้
เพราะฉะนั้นตอนนี้ดวงตาของเขาจึงเปล่งประกายขึ้นอย่างมาก
“สายเลือดในร่างของพวกเขานี้มันถูกทำลายลงสิ้น วิญญาณดั่งเดิมของพวกเขาเองก็เสียหายอย่างหนักหน่วง มันคงไม่อาจจะเรียกเป็นคนได้อีกแล้ว! ไม่ว่าโอสถสวรรค์นั้นจะเหนือล้ำทรงพลังแค่ไหนมันก็คงไม่มีทางช่วยเหลือพวกเขาได้หรอก! ไอ้หนู เจ้าเสียเวลาเปล่าแล้ว!” หลงเจี้ยนกล่าวขึ้นขัด
เย่หยวนไม่คิดสนใจตอบกลับใดๆ และยื่นโอสถสวรรค์ไปให้นักยุทธสายเลือดคนหนึ่งกิน
นักยุทธสายเลือดคนนั้นยื่นลิ้นออกมารับและเอาตัวเข้ามาถูกับขาของเย่หยวน ท่าทางราวกับหมาน้อย
แต่เย่หยวนที่ได้เห็นนั้นต้องรู้สึกปวดขึ้นมาที่กลางอก เพราะสำหรับตัวเย่หยวนแล้วศักดิ์ศรีคือทุกอย่างของชีวิต!
ลูกผู้ชายฆ่าได้หยามไม่ได้!
แต่หมี่เจิ้นและหลงชานั้นกลับทำลายศักดิ์ศรีของคนทั้งหลายนี้จนไม่เหลือเศษซาก
หมี่เทียนนั้นอยู่กับเย่หยวนมานานและมีหรือที่เขาจะไม่เข้าใจว่าเย่หยวนกำลังคิดอะไร?
เขาได้แต่ต้องถอนใจยาวกล่าวขึ้น “หมี่เจิ้นสมควรตายจริงๆ หากเจ้าอยากสังหารมันแล้วข้าก็คงไม่อาจห้ามได้!”
หลงเจี้ยนที่ได้ยินนั้นต้องผงะไปก่อนจะร้องลั่นขึ้นมา “บรรพบุรุษ เรื่องนั้น…”
หมี่เทียนยกมือขึ้นมาห้ามตัวหลงเจี้ยนไว้ “เกาะมังกรสวรรค์นั้นวางตัวอยู่เหนือโลกหล้าไม่สนชีวิตผู้คน จะไปเข้าใจความยากลำบากของชีวิตได้อย่างไรกัน? ตอนที่บรรพบุรุษผู้นี้เดินทางไปทั่วสวรรค์นั้นข้าเองก็เอาแต่เล่นไม่เคยคิดสนใจคุณค่าของชีวิตเช่นกัน แต่หลังจากได้ตายตกลงไปครั้งหนึ่งแล้วนอนเน่าอยู่ที่ก้นสมุทรเป็นแสนๆ ปีนั้นบรรพบุรุษผู้นี้ก็เริ่มได้เข้าใจเรื่องราวบนโลกขึ้นมาบ้าง บรรพบุรุษผู้นี้ได้เรียนรู้ชีวิตในอีกรูปแบบเพราะเย่หยวน”
เขานั้นเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างจากเย่หยวนไปจริงๆ
เช่นความรับผิดชอบ!
เขานั้นเป็นบรรพบุรุษเผ่ามังกรที่เก่งกาจ แต่เวลาส่วนมากของเขานั้นกลับเอาแต่เดินทางเที่ยวเล่นไปทั่วสวรรค์และโยนหน้าที่ความรับผิดชอบของเผ่ามังกรให้หมี่เจิ้นสิ้น
เขานั้นไม่เคยจะแบกรับเรื่องราวของเผ่ามังกรมาก่อนเลยในชีวิต
แต่เย่หยวนล่ะ?
ในสงครามกับเผ่าเลือดบนสวรรค์สมบูรณ์มหาหยกเจิดนั้นเย่หยวนเป็นแค่มดปลวกที่เพิ่งบรรลุจักรพรรดิเซียน
แต่ว่าเขานั้นกลับก้าวขึ้นมาแบกรับความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่เกินตัวเองไปมากล้น
และก้าวขึ้นมาช่วยเหลือเผ่ามนุษย์ป้องกันข้าศึก
การแบกรับความรับผิดชอบนี้มันทำให้หมี่เทียนต้องยอมรับอย่างสุดใจ
เพราะว่าเย่หยวนเป็นคนเช่นนี้หมี่เทียนถึงกลับมายังเกาะมังกรสวรรค์นี้ได้
หากเป็นคนอื่นพวกเขาจะทำให้หรือ?
คนตรงหน้านี้เองก็ไม่มีใครเกี่ยวข้องลึกซึ้งกับเย่หยวน
เขานั้นสามารถทิ้งพวกเขาลงทันทีที่หมดประโยชน์เพราะว่านั่นคือวิธีที่ง่ายดายและเสียเวลาน้อยที่สุด
แต่หมี่เทียนรู้ดีว่าเรื่องเช่นนั้นเย่หยวนจะไม่มีวันทำ
เพราะว่าคนทั้งหลายนั้นได้รับคำสัญญาจากเย่หยวนและกลายเป็นความรับผิดชอบของเย่หยวนไปแล้ว!
หลงเจี้ยนที่ได้ยินต้องผงะไป!
เพราะเขาพบว่าบรรพบุรุษท่านเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนมากจริงๆ!
เขานั้นคิดเสมอมาว่าเย่หยวนนั้นจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้สืบทอดของบรรพบุรุษ
แต่ตอนนี้ภาพตรงหน้ากลับกำลังบอกเขาว่าบรรพบุรุษและเย่หยวนนั้นเป็นดั่งสหายรักที่ยอมตายแลกชีวิตกันได้
เพียงแค่ว่าเรื่องเช่นนั้นมันช่างน่าตลกขบขัน
เจ้าโลกล้ำสวรรค์นั้นกลับเป็นสหายกับเด็กน้อยมหาจักรพรรดิไร้สุดสวรรค์?
ในโลกของการบ่มเพาะนั้นอาณาจักรการบ่มเพาะมันคือทุกสิ่ง
มหาจักรพรรดิไร้สุดสวรรค์ขั้นต้นนั้นอาจจะเป็นสหายกับมหาจักรพรรดิไร้สุดสวรรค์ขั้นสุดได้อยู่ แต่มันไม่มีทางใดที่มหาจักรพรรดิไร้สุดสวรรค์จะไปเป็นสหายกับมหาจักรพรรดิพ้นสวรรค์
นี่มันคือความแตกต่างที่ยิ่งกว่าอายุ ไม่มีสิ่งใดจะทดแทน
แต่หมี่เทียนและเย่หยวนนั้นกลับไม่สนใจเรื่องนี้อย่างสิ้นเชิง
เย่หยวนสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะส่ายหัวตอบหมี่เทียนไป “ชีวิตความตายของมันนั้นปล่อยให้พวกจ้าวเยว่ตัดสินจะดีกว่า! ข้านั้นไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินแทนพวกจ้าวเยว่ทั้งหลายหรอก”
หมี่เทียนพยักหน้ารับ “เอาล่ะ แล้วเจ้ามีความมั่นใจแค่ไหน?”
เย่หยวนตอบกลับไปด้วยหน้าเครียด “สภาพของพวกเขานั้นซับซ้อนอย่างมาก มันยากยิ่งแต่ข้าก็ยังพอเข้าใจทิศทางที่ต้องศึกษาอยู่”
หลงเจี้ยนได้แต่ต้องยิ้มส่ายหัวออกมา ดูท่าแล้วเขาคงไม่เชื่อ
การสร้างขึ้นใหม่นั้นมันยากกว่าการทำลายมาก คิดอยากจะให้คนทั้งหลายนี้กลับไปเป็นปกตินั้นมันย่อมจะยากเสียยิ่งกว่าการขึ้นสวรรค์
หากให้พูดแล้วพวกเขาทั้งหลายนี้คงเรียกได้ว่าเป็นอีกเผ่าพันธุ์ที่มิใช่มนุษย์ไปแล้ว
เพราะฉะนั้นแม้ว่าหมี่เทียนจะเข้าใจเย่หยวนมากแค่ไหนเขาก็ยังไม่อาจจะเชื่อได้เต็มร้อยเช่นกัน
แต่ในเวลานั้นเองที่นักยุทธสายเลือดที่กลืนโอสถสวรรค์ลงไปทิ้งตัวลงไปนอนกับพื้นด้วยท่าทางทรมาน
“เอ้ง…” เสียงร้องประหลาดดังออกมาจากตัวนักยุทธสายเลือดผู้นั้น
จากนั้นเขาและกรงเล็บของเขามันก็ค่อยๆ หดตัวลง!
เมื่อหลงเจี้ยนได้เห็นเช่นนั้นเขาก็ต้องเบิกตากว้างขึ้นมาร้องลั่น “นี่มัน…เป็นไปได้อย่างไรกัน?”
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “มันไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ โลกใบนี้มันไม่มีอะไรเที่ยงแท้ ในเมื่อพวกเขากลายเป็นเช่นนี้ มันก็ย่อมจะสามารถกลับไปเป็นเช่นเดิมได้ เพียงแค่ว่าเราจะหาทางทำมันเจอหรือไม่เท่านั้น แต่ว่า…มันดูยังไม่ดีพอ!”
พูดจบคำเย่หยวนก็ต้องถอนหายใจยาวออกมาเช่นกัน
เพราะตอนนี้ร่างของนักยุทธสายเลือดนั้นหยุดการเปลี่ยนแปลงลงไปแล้ว
แต่ว่าถึงจะไม่หายขาดแต่ร่างกายของเขามันก็แทบไม่เหลือร่องรอยของสัตว์ประหลาดแล้ว
เย่หยวนนั้นเดินเข้าไปศึกษามองดูร่างกายของนักยุทธสายเลือดคนนั้นด้วยใบหน้าจริงจัง