“คฤหัสถ์เดิมจ้าวเซียน อย่าได้บุกรุก!”

เสียงทางฝั่งนี้ได้ดึงดูดความสนใจของเหล่านักยุทธ์ที่มาขอพร มีนักยุทธ์ที่มีผลการฝึกตนมกุฎยุทธ์คนหนึ่งลุกขึ้นยืนแล้วตวาดด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยือก

“จ้าวเซียนของพวกเจ้าอยู่ที่นี่ หรือว่าจ้าวเซียนแค่กลับบ้านยังทำไม่ได้?”จีเสี่ยวจื่อแบะปากพลางพูด

ภายในเสี้ยววินาที สายตาของทุกคนจึงจับจ้องไปทางหลัวซิวพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

วินาทีนี้บนตัวเขาไม่มีออร่าของนักยุทธ์เลยแม้แต่น้อย เหมือนมนุษย์ธรรมดาทั่วไปคนหนึ่งที่กำลังประคองพ่อที่แก่เฒ่าของตน

จ้าวเซียนในตำนานเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ไร้เทียมทาน เป็นอันดับหนึ่งตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน คนดังกล่าวดูแล้วคือเด็กหนุ่มอายุ 20 กว่าคนหนึ่ง จะมีทางเป็นจ้าวเซียนได้อย่างไร?

“ยัยหนูเจ้ากล้าหาญมากเลยนี่ ท่านจ้าวเซียนเป็นผู้ที่เจ้าสามารถหยอกเล่นได้ตามอำเภอใจอย่างนั้นหรือ?”ยอดฝีมือมกุฎยุทธ์คนนั้นตวาดคำหนึ่ง “เจ้าเป็นลูกศิษย์จากสำนักใด ผู้อาวุโสในสำนักเจ้าไม่เคยบอกกล่าวให้เจ้าหรือว่าลบหลู่ท่านจ้าวเซียนไม่ได้?”

ยอดฝีมือมกุฎยุทธ์คนนี้ดูแล้วเหมือนชายหนุ่มอายุประมาณ 30 กว่า ฝึกตนถึงแดนมกุฎยุทธ์ด้วยช่วงวัยเช่นนี้ ถือเป็นพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมมาก ๆ แล้ว

แต่ทว่าสิ่งที่หลัวซิวสังเกตเห็นกลับเป็นเครื่องแต่งกายบนตัวเขา เพราะมันคือเครื่องแต่งกายของคนในสำนักไท่เสวียน

“หื้ม? นั่นมันเทพธิดาลู่มิใช่หรือ?”

และในเวลานี้เอง ก็มีผู้อาวุโสผลการฝึกตนแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์คนหนึ่งอุทานอย่างตะลึง เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเขาจำตัวตนของลู่เมิ่งเหยาที่ยืนอยู่ด้านหลังหลัวซิวได้

ฝึกตนถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ด้วยช่วงวัยสองร้อยกว่าปี หลังจากหลัวซิวออกจากโลกแสงดาวแล้ว ลู่เมิ่งเหยาก็เป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังเช่นกัน โดยเฉพาะผลการฝึกตนของนางอยู่ที่มหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 ใช้เวลาอีกไม่นานก็สามารถบรรลุเป็นเทพมาร มหาจักรพรรดิยุทธ์ส่วนมากที่อาวุโสกว่ายังต้องเคารพนอบน้อมนาง

“เหมือนจะเป็นเทพธิดาลู่จริง ๆ นะ!”

“ข่าวลือเล่ากันว่าเทพธิดาลู่ถูกผู้คนจากโลกภายนอกจับกุมตัวไปแล้วไม่ใช่หรือ?”

สีหน้าของมหาจักรพรรดิยุทธ์ที่เหลืออีกสองคนก็ต่างดูประหลาด หนึ่งในนั้นยิ่งอ้างว่าพบเห็นภาพเหตุการณ์ครั้นเมื่อลู่เมิ่งเหยาถูกจับกุมตัวไปด้วยสายตาตนเอง

“ทั้งสามอ่อนน้อมเกินไปแล้ว”ลู่เมิ่งเหยาพยักหน้า ถือว่ายอมรับในตัวตนของตนเอง

มหาจักรพรรดิยุทธ์ทั้งสามคนนั้นกำลังจะสอบถามอะไรบางอย่าง แต่ทว่าลู่เมิ่งเหยากลับเอ่ยปากพูดโดยตรง “ทั้งสามท่านกลับไปได้แล้วเจ้าค่ะ ภัยพิบัติที่คนโลกภายนอกรุกราน จ้าวเซียนได้ทำการจัดการด้วยตัวท่านเองแล้ว”

“ว่าอย่างไรนะ?!”

เมื่อพูดคำพูดดังกล่าวออกมา ไม่เพียงแค่มหาจักรพรรดิยุทธ์ทั้งสามคนนั้น ทุกคนที่มาขอพรที่นี่ล้วนตกตะลึงหนักมาก

“หรือว่าจ้าวเซียนสำแดงฤทธิ์แล้วจริง ๆ?”มีคนอุทาน รู้สึกดีใจมากจนน้ำตาไหล

ภัยพิบัติที่คนโลกภายนอกรุกรานทำให้คนจำนวนมากพลัดที่นาคาที่อยู่ สำนักถูกทำลายล้าง จนต้องคุกเข่าก้มกราบต่อหน้าคฤหัสถ์เดิมจ้าวเซียนอย่างอดไม่ได้

“เทพธิดาลู่พูดจริงหรือ? หรือว่า……”แววตาของผู้อาวุโสมหาจักรพรรดิยุทธ์ที่สอบถามในเมื่อครู่นี้เป็นประกายขึ้นมากะทันหัน แล้วมองไปทางเงาหลังของหลัวซิวที่กำลังประคองร่างพ่อแม่มุ่งหน้าเดินตรงไปยังบ้านหลังคาฟาง

ลู่เมิ่งเหยาพยักหน้า ทว่ากลับอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจในใจ

“หยุดเดี๋ยวนี้”มกุฎยุทธ์ที่มาจากไท่เสวียนนั่นตะคอกเสียงดัง เนื่องจากพบว่าทั้งครอบครัวหลัวซิวเดินไปถึงหน้าประตูคฤหัสถ์เดิมจ้าวเซียนแล้ว

ถึงแม้นี่จะเป็นบ้านหลังคาฟางที่ไม่ได้โดดเด่นอะไร ทว่ากลับเป็นที่ที่จ้าวเซียนเคยพักอยู่อาศัยครั้นเมื่อวัยหนุ่ม ซึ่งแสดงถึงความหมายที่ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง

หลัวซิวไม่ได้สนใจเขา ฉียู่หรงและหนิงหานยู่ก็ไม่ได้สนใจเขาเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ในส่วนของพ่อแม่หลัวซิวนั้น ผ่านพ้นความทุกข์ยากลำบากของชีวิตมานานแล้ว แม้นจะเป็นชาวบ้านธรรมดา ทว่าสภาพจิตใจกลับเรียบนิ่งมาก ๆ

ทันใดนั้นเอง ผู้อาวุโสแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์คนหนึ่งก็ดึงตัวเขาเอาไว้ แล้วส่งเสียงผ่านตัวสำนึกพูดอะไรบางอย่างกับเขา

และในเวลานี้ หลัวซิวและหลัวซิ่วเอ๋อร์ก็ประคองตัวพ่อแม่เดินเข้าไปในบ้านหลังคาฟาง ส่วนฉียู่หรงและหนิงหานยู่นั้นเฝ้าอยู่ตรงหน้าประตูบ้านหลังคาฟาง เมื่อหันหน้ากลับมามอง สตรีทั้งสองก็ผงะไปอย่างควบคุมไม่ได้ เนื่องจากผู้คนที่ยังแหกปากตะโกนในเมื่อครู่นี้ ถึงกับคุกเข่าลงบนพื้นแล้วหันมาทางบ้านหลังคาฟางหมดแล้ว