ตอนที่ 1857 หินวิญญาณเร้นฟ้าใส

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ฟ้าเพิ่งสางก็มีเงาร่างของผู้ฝึกปราณมากมายจากทั่วสารทิศ รวมตัวมุ่งตรงไปที่หอสมบัติทุ่งบูรพาแล้ว

หอสมบัติทุ่งบูรพาเป็นกิจการที่อยู่ภายใต้การดูแลของ ‘สำนักยุทธ์ทุ่งบูรพา’ สำนักอันดับหนึ่งแห่งแคว้นเขียว กระจายอยู่ทั่วทุกเมืองในแคว้นเขียว

และครั้งนี้สมบัติที่ใกล้จะเปิดประมูลในหอสมบัติทุ่งบูรพาของเมืองหลินอันก็เรียกได้ว่าหายาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังมีเจตวัตถุที่มาจากแดนแห่งปริศนาก้อนหนึ่งด้วย ย่อมดึงดูดผู้ฝึกปราณมากมายเป็นธรรมดา

ถึงขั้นที่ว่ามีผู้ฝึกปราณไม่น้อยรีบเร่งมาจากที่อื่นก่อนล่วงหน้า

เมื่อหลินสวินและจินเทียนเสวียนเยวี่ยออกเดินทาง ตลอดทางยังเจอบุคคลระดับอริยะมากมาย ทั้งอริยะแท้ มหาอริยะ ราชันอริยะ…

ภายในนั้นยังมีพวกร้ายกาจที่เหยียบย่างในมกุฎบางส่วนด้วย!

นี่ทำให้หลินสวินไม่อาจไม่ทอดถอนใจ โลกใหญ่หงเหมิงสมเป็นโลกใหญ่อันดับหนึ่งของทางเดินโบราณฟ้าดาราจริงๆ

เมืองหลินอันนี้เป็นแค่หนึ่งในเมืองเรือนหมื่นของแคว้นเขียวเท่านั้น แต่ยังรวบรวมบุคคลระดับอริยะไว้มากเช่นนี้ เหตุการณ์นี้ในโลกอื่นคงไม่อาจพบเห็นได้อย่างสิ้นเชิง

‘คุณชาย ข้าก็สังเกตเห็นว่าตั้งแต่พวกเราก้าวออกจากโรงเตี๊ยมจนถึงตอนนี้ ตลอดทางมีคนไม่น้อยลอบจับจ้องพวกเราอยู่’

ข้างๆ จินเทียนเสวียนเยวี่ยสื่อจิตเสียงเบา

นางอยู่ในชุดเรียบง่าย ร่างระหงและสูงโปร่งเป็นอย่างยิ่ง มวยผมยาวดุจสีหมึกทั้งศีรษะเอาไว้ ลำคอระหงขาวดุจหิมะ ผิวพรรณเกลี้ยงเกลา มีเพียงใบหน้างามดั่งเซียนที่ผ่านการปลอมตัว ดูไปแล้วก็เพียงแค่ชดช้อย ไม่อาจพูดได้ว่าชวนตะลึง

แต่กลิ่นอายสูงส่งที่แผ่ออกมายามนางเคลื่อนไหว ยังคงดึงดูดความสนใจไม่น้อยตลอดทาง

นี่ก็คือท่วงท่าสง่างามของหญิงงามแห่งยุค ไม่ได้งามแค่เรือนร่าง ยังมีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์และบุคลิกเฉพาะตัวแผ่ออกมาด้วย

หลินสวินขานรับว่าอืมคำหนึ่งแล้วกล่าว ‘ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ’

เมื่อมาถึงหอสมบัติทุ่งบูรพา ก็มีคนเยอะมากจนคึกคักเป็นพิเศษอยู่ก่อนแล้ว

ทว่ายามจินเทียนเสวียนเยวี่ยหยิบป้ายผ่านประตูสองแผ่นออกมา ทั้งสองคนก็เข้าไปข้างในได้อย่างราบรื่น

ภายในลานประมูลกว้างใหญ่เป็นอย่างยิ่ง ปกคลุมด้วยกระบวนผนึกทบเป็นชั้นๆ ราวกับชามยักษ์ที่คว่ำลงมา

“แขกพิเศษทั้งสองเชิญตามข้ามา”

หญิงรับใช้งามงดคนหนึ่งนำทางอยู่ข้างหน้า

หลินสวินเพิ่งรู้ว่าป้ายผ่านประตูสองแผ่นที่จินเทียนเสวียนเยวี่ยซื้อมาก็คือที่นั่งของแขกพิเศษ มีห้องส่วนตัวโดยเฉพาะ สามารถตัดขาดการตรวจสอบของจิตรับรู้ได้

และแค่ป้ายผ่านประตูสองแผ่นนี้ก็มีมูลค่าถึงสองหมื่นผลึกมรรคแล้ว!

ราคานี้สามารถซื้อสมบัติอริยะที่มีคุณภาพค่อนข้างดีชิ้นหนึ่งได้เลยทีเดียว

ไม่ทันไรทั้งลานงานประมูลก็มีผู้ฝึกปราณนั่งจนเต็ม ตามการประเมินโดยคร่าวของหลินสวิน เพียงแค่ขายป้ายผ่านประตูก็ทำให้หอสมบัติทุ่งบูรพาได้เงินเกือบสามล้านผลึกมรรคแล้ว!

ผ่านไปอีกประมาณครึ่งเค่อหลังจากหลินสวินและจินเทียนเสวียนเยวี่ยเข้าไปนั่งในห้องรับรองแล้ว

หญิงสาวงามงดที่แต่งกายเหมาะเจาะ อากัปกิริยาคล่องแคล่วคนหนึ่งเดินขึ้นไปบนแท่นประมูล ริมฝีปากแดงเม้มเบาๆ นัยน์ตายิ้ม

“ยินดีต้อนรับทุกท่านสู่หอสมบัติทุ่งบูรพา ผู้น้อยผูหลันจือ เป็นผู้ดูแลงานประมูลในครั้งนี้”

ยังไม่ทันสิ้นเสียง ในที่นั้นก็มีเสียงร้องอุทานดังขึ้น

“ที่แท้ก็เป็นนาง ผู้อาวุโสผูหลันจือแห่งสำนักยุทธ์ทุ่งบูรพา มกุฎราชันอริยะคนหนึ่งที่ชื่อเสียงโด่งดังทั่วแคว้นเขียว”

ใครต่างไม่คาดคิดว่าแค่งานประมูลเท่านั้น แต่ถึงกับเชิญมกุฎราชันอริยะคนหนึ่งมาทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลงานประมูล! เพียงแค่นี้ก็ชวนตะลึงมากเกินไปแล้ว

แต่ก็ด้วยเหตุนี้ที่ทำให้ผู้คนเฝ้ารอการประมูลที่ใกล้จะเริ่มหลังจากนี้ยิ่งกว่าเดิม

“งานประมูลครั้งนี้จะมีสมบัติสามสิบเจ็ดชิ้นเปิดประมูลทีละอัน แม้ว่าจำนวนจะน้อยไปบ้าง แต่ผู้น้อยกล้ารับรองว่าสมบัติแต่ละอย่างจะไม่ทำให้ทุกท่านผิดหวัง”

“เอาเถิด ขอไม่พูดพร่ำทำเพลง ตอนนี้ก็เริ่มนำสมบัติชิ้นแรกขึ้นมาได้”

เมื่อเสียงของผูหลันจือดังขึ้น สาวใช้คนหนึ่งก็ประคองกล่องสำริดใบหนึ่งไว้ด้วยสองมือและก้าวขึ้นมาบนแท่นประมูล

ทั้งที่นั้นเปลี่ยนเป็นเงียบสงบลง ทุกสายตาต่างมองตามไป

หอสมบัติทุ่งบูรพาไม่ทำให้คนผิดหวังดังคาด แค่เพียงเริ่มต้นก็จุดชนวนความกระตือรือร้นของผู้ฝึกปราณในที่นั้นจนนำมาซึ่งความปั่นป่วนแล้ว

“ดาบหงส์มังกรตะวันจันทรา สมบัติหายากแห่งบรรพกาล ระดับคุณภาพเหนือกว่าสมบัติอริยะทั่วไป สิ่งที่หาได้ยากคือนี่เป็นสมบัติล้ำค่าคู่หนึ่งที่ส่งเสริมกันอย่างเด่นชัด ได้รับการกล่าวขานว่าทลายปราการของห้วงอากาศว่างเปล่าได้ พลานุภาพเกินคาดเดา”

เสียงของผูหลันจือเพิ่งแผ่วลงก็ชักนำมาซึ่งความฮือฮา ทุกคนล้วนไหวสะท้าน แววตาต่างเปลี่ยนเป็นเร่าร้อนขึ้นมา

ต้องรู้ว่าสิ่งใดที่ถูกเรียกว่าสมบัติหายากแห่งบรรพกาล ย่อมผ่านการตกตะกอนของกาลเวลามาแสนปีขึ้นไปทั้งสิ้น ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นสมบัติล้ำค่าคู่หนึ่งที่เสริมส่งกันและกันด้วย!

สิ่งที่น่าอัศจรรย์ที่สุดกลับเป็นอานุภาพของมันที่ทลายปราการของห้วงอากาศว่างเปล่าได้ นี่ก็หมายความว่าต่อให้ติดอยู่ในสภาพสิ้นหวังบางอย่าง ก็ใช้สมบัตินี้แหวกหนทางรอดออกมาได้ นี่จะไม่ให้ผู้คนใจเต้นได้อย่างไร

ยามผูหลันจือเปิดกล่องสำริดนั่นออกก็เผยให้เห็นดาบคู่หนึ่งที่มีแสงศักดิ์สิทธิ์งามตระการไหลวน วิวัฒน์ออกมาเป็นลักษณ์แห่งตะวันจันทรา มีเสียงมังกรคำรนหงส์คำรามดังก้องอยู่รางๆ เป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจ

เห็นดังนี้หลายคนต่างเผยความรู้สึกหลงใหล เสียงลมหายใจที่กระชั้นถี่ก็ดังขึ้นต่อเนื่องเป็นระลอก

แม้แต่คนใหญ่คนโตบางคนก็ยังเผยความรู้สึกสนใจ

นี่เป็นสมบัติชั้นดีคู่หนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย!

ผูหลันจือยิ้มเล็กน้อย นางพอใจกับการตอบสนองเช่นนี้มาก “ราคาประมูลเริ่มต้นที่สามแสนห้าหมื่นผลึกมรรค ทุกครั้งที่เพิ่มราคาต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่นผลึกมรรค”

“สี่แสน!”

เสียงเพิ่งสิ้นสุดก็มีคนกล่าวอย่างร้อนอกร้อนใจ ทั้งยังเพิ่มราคาอีกห้าหมื่นในชั่วขณะเดียว ชักนำมาซึ่งความอึกทึกทันที

“สมบัติคู่นี้ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง เป็นสิ่งที่ข้าต้องการในตอนนี้พอดี ห้าแสน!”

“ขออภัย สมบัติคู่นี้ข้าต้องเอามาให้ได้ หกแสน!”

ในลานงานประมูล เสียงประชันราคาดังต่อเนื่องเป็นระลอก แค่ชั่วขณะเดียวก็ดันราคาของดาบหงส์มังกรตะวันจันทราคู่นี้จนสูงลิ่ว คึกคักหาใดเปรียบ

สุดท้ายสมบัติคู่นี้ก็ถูกคนใหญ่คนโตที่นั่งอยู่ในห้องส่วนตัวห้องหนึ่งประมูลไปได้ ค่าตอบแทนที่จ่ายคือหนึ่งล้านสามแสนผลึกมรรค

หลินสวินเพิ่งเข้าร่วมงานประมูลเป็นครั้งแรก พอเห็นกระบวนการทั้งหมดที่สมบัติชิ้นแรกนี้ถูกประมูลไปกับตาก็รู้สึกแปลกใหม่เป็นอย่างยิ่ง

แม้ว่าดาบหงส์มังกรตะวันจันทรานั้นจะอัศจรรย์ แต่ยังไม่เข้าตาเขา ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่ต้นจนจบจึงไม่เคยประชันราคา

จินเทียนเสวียนเยวี่ยก็สงบผ่อนคลายอยู่ตลอด นางมีความรู้ที่กว้างขวาง ยังอธิบายเคล็ดลับยามประมูลบางอย่างแก่หลินสวินเป็นครั้งคราวด้วย

“ของร่วมประมูลชิ้นที่สอง เป็นคราบของอริยบุคคลบรรพกาลที่สมบูรณ์”

ไม่นานผูหลันจือก็นำสมบัติชิ้นที่สองออกมา

“คราบอริยบุคคลบรรพกาล! นี่ไม่ใช่ซ่อนนัยเร้นลับของการกลายเป็น ‘อริยบุคคล’ ไว้หรอกรึ”

“ในที่สุดก็ไม่ได้มาเสียเที่ยว! มีเพียงกลายเป็นอริยบุคคลจึงจะก้าวสู่ระดับมกุฎราชันอริยะได้ มีคราบนี้แล้วก็เพียงพอจะเพิ่มความสำเร็จบนหนทางสักการะอริยมรรคไปกว่าครึ่ง”

ในลานประมูลมีเสียงเซ็งแซ่ดังขึ้น คึกคักเป็นอย่างยิ่ง ผู้คนไม่น้อยต่างตื่นเต้นเป็นอย่างมาก นี่เพิ่งเริ่มประมูล สมบัติชิ้นที่สองก็ยากจะได้พบเห็นเช่นนี้แล้ว จินตนาการได้เลยว่าหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร

แต่ก็มีคนลอบทอดถอนใจ ด้วยกำลังทรัพย์ในมือของพวกเขาไม่มีทางเข้าร่วมการประมูลได้แต่แรก

แรกเริ่มหลินสวินยังสนใจเป็นอย่างมาก แต่นานเข้าก็รู้สึกว่าจืดชืดไร้รสชาติอยู่บ้าง

ด้วยสมบัติที่ถูกนำมาประมูลพวกนั้นแทบไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับเขา

ตามเวลาที่ล่วงเลย สมบัติที่ปรากฏก็ชวนตะลึงขึ้นเรื่อยๆ

“หืม?”

ขณะที่หลินสวินรู้สึกว่าเบื่อหน่ายอยู่บ้าง ทันใดนั้นก็สังเกตเห็นว่าดาบหักที่ถูกหล่อเลี้ยงไว้ในร่างถึงกับส่งเสียงครวญคร่ำ กระเหี้ยนกระหือรือขึ้นมาทันใด

และบนแท่นประมูลตอนนี้ ผูหลันจือได้นำหินแร่ขนาดเท่ากำปั้นออกมา ปรากฏสีฟ้าใสราวภาพฝัน พื้นผิวมีลายมรรคสีเงินสายแล้วสายเล่า แผ่แสงใสเย็นดั่งดวงดาวหลายสายออกมาตามธรรมชาติ

“หินวิญญาณเร้นฟ้าใส ควบรวมลายมรรควิญญาณเร้นเจ็ดสิบสองสาย เป็นเจตวัตถุชั้นหนึ่งที่ใช้หลอมศาสตราอริยะบริสุทธิ์ ราคาประมูลเริ่มต้นที่สี่แสนผลึกมรรค ทุกครั้งที่เพิ่มราคาต้องไม่น้อยกว่าห้าหมื่นผลึกมรรค”

ผูหลันจือกล่าว

“ราคานี้สูงเกินไปแล้ว”

มีคนส่ายหัว

หลายคนต่างคล้อยตาม

ไม่เหมือนสมบัติอริยะทั่วไป เดิมทีศาสตราอริยะบริสุทธิ์ก็ยากจะได้พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง มีแค่สำนักโบราณใหญ่บางแห่งที่ถ่ายทอดวิชาลับในการหลอมศาสตราอริยะบริสุทธิ์

อีกทั้งต่อให้มีวิชาหลอม ยามหลอมขึ้นมาก็ยังยากลำบากหาใดเปรียบ ต้องมีวาสนาและจุดเปลี่ยนจึงจะทำให้ศาสตราอริยะบริสุทธิ์แปรสภาพได้ในแต่ละครั้ง

แม้ว่าหินวิญญาณเร้นฟ้าใสนี้จะล้ำค่า แต่ก็เป็นได้แค่เจตวัตถุเท่านั้น ผู้ฝึกปราณทั่วไปย่อมไม่อยากจ่ายเงินจำนวนมหาศาลเพื่อซื้อของสิ่งนี้แน่

ทว่าในงานประมูลครั้งนี้ไม่ขาดผู้ยิ่งใหญ่ที่ฐานะมั่งคั่ง ไม่นานก็มีคนเสนอราคา

“สี่แสนห้าหมื่นผลึกมรรค”

“ห้าแสน”

“ห้าแสนห้าหมื่น”

… เพียงแต่เสียงที่ประชันราคากลับดังกระจัดกระจายเป็นจุดๆ ทั้งยามที่ราคาเหินทะยานถึงแปดแสนผลึกมรรคก็ไม่มีใครประชันราคาแล้ว

เมื่อเห็นว่าสมบัตินี้จะถูกประมูลไป ในที่สุดหลินสวินก็เอ่ยปาก “แปดแสนห้าหมื่น”

“ฮึ!”

คนที่ประชันราคาก่อนหน้านี้ก็เป็นผู้ฝึกปราณที่นั่งอยู่ในห้องรับรองเช่นกัน เสียงหยาบกระด้างทรงพลัง พอเห็นว่าหลินสวินสอดมือเข้ามายุ่งในช่วงสำคัญที่สุดก็เผยความไม่พอใจออกมาทันที

“เก้าแสน” คนผู้นี้เสนอราคาอีกครั้ง

หลินสวินกล่าวโดยไม่ลังเล “หนึ่งล้าน”

เพิ่มราคาหนึ่งแสนผลึกมรรคในครั้งเดียว!

ในลานประมูลมีเสียงสูดหายใจสะท้านดังขึ้นทันที ล้วนคิดไม่ถึงว่าหินวิญญาณเร้นฟ้าใสก้อนหนึ่งจะมีค่าถึงหนึ่งล้านผลึกมรรค นี่คือการใช้เงินเป็นเบี้ยจริงๆ

ต้องรู้ว่าหนึ่งล้านผลึกมรรคสามารถซื้อสมบัติอริยะชั้นยอดชิ้นหนึ่งได้เลย!

“สหาย เจ้าจะช่วงชิงกับข้าจริงหรือ”

เสียงที่หยาบเถื่อนทรงพลังนั้นดูโมโหเดือดดาล

“แค่ประชันราคาเท่านั้น ถ้าเจ้าสู้ไม่ไหวก็ยอมถอยไป ถ้าสู้ไหวก็เสนอราคาต่อ ข้าพร้อมสู้ด้วยถึงที่สุด”

หลินสวินพูดเรียบๆ

ผู้ฝึกปราณในลานประมูลส่งเสียงตื่นเต้น แค่ช่วงชิงหินวิญญาณเร้นฟ้าใสก้อนหนึ่งเท่านั้น ถึงกับต้องยั่วโมโหกันเช่นนี้หรือ

“ฮ่าๆ สู้ไม่ไหวรึ ข้าฝึกปราณมาถึงตอนนี้ ยังไม่เคยมีใครกล้าพูดกับข้าเช่นนี้มาก่อน ถ้าเจ้าอยากสู้ ข้าจะเล่นเป็นเพื่อน!”

เสียงที่หยาบกระด้างนั้นโกรธจัดจนกลายเป็นหัวเราะ “หนึ่งล้านสองแสน!”

ในที่นั้นบังเกิดความปั่นป่วนทันที

มุมปากของผูหลันจือที่ยืนอยู่บนแท่นประมูลยกขึ้นเล็กน้อย คนที่ชอบปรากฏตัวในงานประมูลมากที่สุดก็คือแขกจำพวกนี้ ไม่ว่าจะทำเพื่อหน้าตาหรือใช้อารมณ์ แน่นอนว่าต้องเสนอราคาที่สูงที่สุดออกมา

“คุณชาย ราคานี้มากเกินไปแล้ว ไม่คุ้มค่าอย่างยิ่ง”

ในห้องรับรอง จินเทียนเสวียนเยวี่ยก็เตือนหลินสวิน ก่อนหน้านี้นางยังผิดคาดมาก ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าเหตุใดหลินสวินถึงสู้สุดตัวเพื่อเจตวัตถุก้อนหนึ่งเช่นนี้

กลับเห็นหลินสวินยิ้มกล่าว “เจ้าคอยดูไปเถิด”

จากนั้นเขาก็เสนอราคาต่อ “หนึ่งล้านห้าแสน”

ถ้อยคำลอยๆ ทำให้ทั้งลานประมูลเงียบสงัดในพริบตา ผู้ฝึกปราณทั้งหมดต่างมึนงงทันที เกือบจะแคลงใจว่าตนหูฝาดแล้ว

นี่บ้าไปแล้วหรือ

หนึ่งล้านห้าแสนผลึกมรรค สำหรับบุคคลระดับอริยะทั่วไปล้วนเรียกได้ว่าเป็นจำนวนเหลือคณาแล้ว ต่อให้เป็นราชันอริยะก็เกรงว่าคงไม่จ่ายผลึกมรรคมากเช่นนี้ออกมาในชั่วขณะเดียว

แต่ตอนนี้เพียงเพื่อเจตวัตถุก้อนหนึ่งก็ทุ่มเงินไปถึงหนึ่งล้านห้าแสน นี่ทำให้ผู้คนแทบเป็นบ้าจริงๆ มีความรู้สึกงงงวย

เป็นพวกเขาที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวเกินไป หรือเป็นโลกนี้ที่บ้าคลั่งเกินไปกันแน่

……………..