ตอนที่ 1950 : ปลดผนึก

เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god)

ตอนที่ 1950 : ปลดผนึก

ในวันต่อมาจำนวนคนที่มาหาเจี้ยนเฉินก็น้อยลงไป มันทำให้เจี้ยนเฉินใช้ชีวิตสงบได้มากขึ้น

แต่ระหว่างนั้นจักรพรรดิของจักรวรรดิเสิ่นเตาได้มาหาเจี้ยนเฉิน เขาต้องการจะให้เจี้ยนเฉินแต่งงานกับลูกสาวทั้งสองคนของเขา ซิงเอ๋อและหลานเอ๋อ

เป็นธรรมดาที่เจี้ยนเฉินจะคัดค้านเรื่องนี้ เขาปฏิเสธโดยไม่ลังเล

แม้ว่าเขาจะรู้ว่าองค์หญิงทั้งสองจะมีร่างกายที่พิเศษจากนางฟ้าเฮายู่ แต่เขาก็ไม่ได้มีความคิดในด้านนั้นเลยแม้แต่น้อย

นอกจากนี้แล้วสำนักฟ้าพยับเมฆ หนึ่งในสำนักระดับสูงของจักรวรรดิเสิ่นเตาก็ยังส่งราชาเทพมาที่พระราชวัง ราชาเทพนั้นไม่ได้ขอคำอธิบายที่เจี้ยนเฉินทำให้เฟ่ยฮีและซูชูบาดเจ็บ กลับกันแล้ว ราชาเทพได้นำของขวัญมูลค่าสูงมาพร้อมกับขอโทษเจี้ยนเฉิน หวังที่จะลบล้างความบาดหมางที่เจี้ยนเฉินมีกับสำนักไป

เจี้ยนเฉินเข้าใจว่ามันเป็นเพราะนางฟ้าเฮายู่ที่อยู่เบื้องหลังเขา ด้วยความแข็งแกร่งนี้ทำให้สำนักฟ้าพยับเมฆยอมก้มหัวให้

มันไม่มีอะไรน่าแค้นเคืองระหว่างเขากับสำนักฟ้าพยับเมฆ เขาไม่ได้คิดจะเป็นศัตรูกับพวกนั้น ดังนั้นเจี้ยนเฉินจึงเต็มใจรับคำขอโทษเอาไว้

มีอีกสองเรื่องที่ทำให้ภาคเหนือสั่นคลอนได้เกิดขึ้นมาระหว่างนั้น

เรื่องแรกคือกองทัพที่หนึ่ง, สองและสามของลัทธิปิศาจชั้นฟ้าได้ฆ่าคนไปจำนวนมากใกล้กับภาคเหนือ ซึ่งทำให้จักรพรรดินีของจักรพรรดิซีหงุดหงิด

จักรพรรดินีได้ออกเดินทางออกไปเองและทำให้รองหัวหน้าที่ดูแลกองทัพพวกนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส

เพราะแบบนั้นการเคลื่อนไหวของลัทธิปิศาจชั้นฟ้าจึงชะงักลงในภาคเหนือ

เรื่องที่สองนั้นน่าตกใจกว่า หลังจากที่โดนล้อมโดยจักรพรรดิซีมาหลายวัน บรรพชนของนิกายแยกสวรรค์ก็ได้ออกมาตกลงกับจักรพรรดิซีเพื่อจะส่งตัวผู้อาวุโสทั้งสองคนให้

ข่าวนี้ได้สร้างผลกระทบอย่างมากในหมู่องค์กรใหญ่ในเขตเหนือ พวกเขาต่างก็พากันตะลึง

นิกายแยกสวรรค์นั้นมีผู้ที่อยู่ขั้นบรรพกาล แม้แต่ราชวงศ์ของจักรพรรดิซีก็ยังต้องเคารพพวกนั้น

แต่บรรพชนนิกายแยกสวรรค์กลับเลือกที่จะทำตามความต้องการของจักรพรรดิซีโดยจะส่งตัวผู้อาวุโสสูงสุดที่อยู่ขั้นอสงไขยให้

ทั้งนิกายแยกสวรรค์นั้นมีผู้อาวุโสสูงสุดแค่เพียง 3 คน

“ไม่มีใครกล้าปฏิเสธจักรพรรดิซีด้วยความแข็งแกร่งที่เขามี”

ชื่อเสียงของจักรพรรดิซีโด่งดังยิ่งกว่าเดิมหลังจากเรื่องนี้ ผู้คนต่างก็พากันชื่นชมจักรพรรดิซีไปทั่วภาคเหนือ

“เรื่องระหว่างจักรพรรดิซีและนิกายแยกสวรรค์ได้บทสรุปแล้ว ข้าหวังว่าผนึกในภาคเหนือจะถูกปลดในไม่ช้า” เจี้ยนเฉินนั่งอยู่ในพระราชวังและมองไปยังค่ายกลบนท้องฟ้าด้วยความร้อนใจ

“ข้าดึงเอาพิษจากแก่นพืชและสัตว์อสูรออกมาแล้ว” ตอนนั้นเอง เจี้ยนเฉินก็ได้ยินเสียงของนางฟ้าเฮายู่ นางเดินเข้ามาช้า ๆ ในชุดขาวและพูดขึ้นว่า “ มันจะดีหากเจ้าไม่แสดงมันออกมาในภาคใต้ เบื้องหลังพวกนั้นมีราชาของจักรวรรดิตะวันโลหิต ฐานะของจักรวรรดิตะวันโลหิตในภาคใต้นั้นเท่าเทียบกับจักรพรรดิซีในภาคเหนือ เจ้าต้องรู้ว่าจะมีผลกระทบยังไง”

เจี้ยนเฉินรับแก่นพืชและสัตว์อสูรมาจากนางฟ้าเฮายู่ พวกมันมีขนาดเท่ากับกำปั้นและโปร่งใส หลังจากที่พิษในตัวพวกมันถูกสกัดออกไป เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังงานบริสุทธิ์ที่ไหลวนอยู่ในแก่น มันดูมีชีวิตชีวาอย่างมาก

นางฟ้าเฮายู่เงยหน้าขึ้นมองฟ้า นางมองไปยังแสงที่ปิดผนึกภาคเหนือและพูดขึ้น “เมื่อเรื่องระหว่างจักรพรรดิซีและนิกายแยกสวรรค์จบลงแล้ว ผนึกนี้น่าจะคงอยู่อีกไม่นาน พรุ่งนี้จะมีคนจากจักรวรรดิเสิ่นเตาทำการโจมตีนิกายที่เป็นศัตรูกับพวกเขา เมื่อเสร็จสิ้นเรื่องนี้แล้ว ข้าจะออกจากที่ราบเมฆาและกลับไปยังโถงเทพจันทรา“

นางฟ้าเฮายู่ยังคงใจเย็นตอนที่พูดถึงโถงเทพจันทราความรู้สึกของนางสั่นไหวไปเล็กน้อย

“มันผ่านมาหลายปีแล้ว ข้าสงสัยว่าโถงเทพจันทราในตอนนี้จะเป็นยังไง พ่อข้ารู้ถึงแผนการของหนานป้อเทียน รึยัง ? ” น่าเสียดายที่ที่ราบเมฆานั้นอยู่ห่างจากโถงเทพจันทราเกินไป มันเป็นไปไม่ได้ที่จะหาข้อมูลเกี่ยวกับมันที่นี่ได้” สีหน้าของนางฟ้าเฮายู่แสดงความกังวลออกมาเล็กน้อย

“นางฟ้าเฮายู่ หนานป้อเทียนผู้นี้คงแข็งแกร่งอย่างมากสินะ ? หากมันพัฒนาจนมาถึงจุดที่ทุกฝ่ายต่างก็หันมาเป็นศัตรูกับเจ้า เจ้าก็กลับมาได้เลย” เจี้ยนเฉินพูดขึ้นด้วยความลังเล แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับโถงเทพจันทรา แต่มันก็ง่ายที่จะพอเดาออกจากคำพูดของเฮายู่

“ในอดีตนั้น หนานป้อเทียนได้เข้าถึงขั้นบรรพกาลช่วงสูงสุดแล้ว แต่เขาอ่อนแอกว่าพ่อของข้ามาก ถ้าหนานป้อเทียนมายังที่ราบเมฆา บางทีคงไม่มีใครเทียบเขาได้ตราบใดที่อัครสูงสุดไม่ปรากฏตัว ในอดีตแล้วมันเพราะข้ารู้ถึงแผนการที่เขามีต่อโถงเทพจันทราจนข้าต้องตกที่นั่งลำบากไปเพราะเขา สุดท้ายร่างของข้าก็ถูกทำลาย วิญญาณของข้าได้หนีมายังโลกด้านล่าง” นางฟ้าเฮายู่พูดด้วยสายตาอาฆาต

เจี้ยนเฉินจมอยู่กับความคิด หลังจากนั้นสักพักเขาก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “นางฟ้าเฮายู่ ข้าแนะนำให้เจ้าไปยังโถงเทพจันทราในภายหลัง เพิ่มความแข็งแกร่งให้ได้มากที่สุดที่เจ้าทำได้ก่อน หากโถงเทพจันทราล่มสลายเพราะแผนการของหนานป้อเทียน เจ้าคงช่วยอะไรไม่ได้แม้ว่าเจ้าจะกลับไปก็ตาม ดูจากความแข็งแกร่งที่เขามี “

เฮายู่พยักหน้า “แน่นอน ข้าเข้าใจเรื่องนี้แต่ข้าหมดความอดทนแล้ว มันผ่านมาหลายปีแล้ว ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นยังไงข้าก็ต้องกลับไปยังโถงเทพจันทราเพื่อตรวจสอบ ไม่งั้นแล้วข้าคงนิ่งนอนใจไม่ได้” ในคำพูดของนางฟ้าเฮายู่แฝงความมั่นใจเต็มเปี่ยม

เจี้ยนเฉินจนปัญญาเมื่อเห็นว่าจะกล่อมนางยังไงนางก็ไม่ฟัง หลังจากเงียบไปสักพัก เขาก็ถามขึ้นมา “ โถงเทพจันทราอยู่ไหนกัน ? “

นางฟ้าเฮายู่มองไปที่เจี้ยนเฉิน และพูดขึ้นว่า “บนที่ราบน้ำแข็งขั้วโลก ที่นั่นคือที่หนึ่งในเจ็ดจอมปราชญ์สูงสุดของโลกเซียน เทพธิดาน้ำแข็งพำนักอยู่ มันคือหนึ่งในเจ็ดสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของโลกเซียน” นางฟ้าเฮายู่เงียบไปก่อนจะพูดต่อ “ที่ราบเมฆาห่างจากที่ราบน้ำแข็งขั้วโลกอย่างมาก มันต้องใช้เหรียญผลึกห้าสีจำนวนหนึ่งเพื่อจะเคลื่อนย้ายไปที่นั่น เหรียญผลึกพวกนั้นเพียงพอที่จะทำให้จักรวรรดิโบราณยอมคุกเข่าให้ได้ แม้แต่เทียนซวงก็ไม่อาจจะหามาได้ขนาดนี้ “

“มันเพราะข้าได้ตกลงกับจักรวรรดิเสิ่นเตาไว้แล้ว ข้าจะจัดการกับศัตรูกลุ่มหนึ่งของพวกนั้นให้ จากนั้นพวกนั้นก็จะให้เหรียญผลึกกับข้า “

เช้าวันต่อมา นางฟ้าเฮายู่ได้ออกไปพร้อมกับเทียนซวงและบรรพชนขั้นอสงไขย 2 คน

ไม่นานหลังจากนั้นค่ายกลที่ผนึกภาคหนือก็หายไป จักรพรรดิซีได้ลบผนึกของตนในวันนั้น

ตอนที่ผนึกถูกปลดออก เจี้ยนเฉินก็ลุกขึ้นยืนขึ้นทันที เขารีบพุ่งออกไปมองท้องฟ้าภายนอก เขารอวันนี้มานานแล้ว

“วิเศษ ข้าออกจากภาคเหนือได้แล้ว” เจี้ยนเฉินพูดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น เขามองขึ้นไปบนฟ้า เขารีบไปหาจักรพรรดิทันทีเพื่อต้องการจะใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายของอาณาจักร

ตอนนี้เขากังวล เมื่อผนึกถูกลบออกไปแล้ว เขาจึงไม่ได้มีเลาไปบอกลานางฟ้าเฮายู่ เขาต้องการกลับไปยังภาคใต้ให้เร็วที่สุด

“ข้าสงสัยว่าองค์หญิงไทอันจะเอากล่องให้กับจักรพรรดิซีหรือยัง แต่ข้าไม่มั่นใจว่าซีหยูนั้นคือลูกสาวของพวกนั้นจริงรึไม่ มันแค่สิ่งที่ข้าคาดเอาไว้แต่ชัดเจนแล้วว่าข้ารออยู่ที่นี่ไม่ได้ หากนางไม่ใช่ลูกสาวของพวกเขา การรออยู่ที่นี่ก็เท่ากับเสียเวลาเปล่า มันจะทำให้ทุกคนในตระกูลเทียนหยวนตกอยู่ในอันตราย หากนางเป็นลูกสาวของพวกเขาจริง ๆ จักรพรรดิซีต้องไปยังภาคใต้เพื่อไปหาลูกสาวที่เขารัก” ตอนที่เจี้ยนเฉินคิดแบบนั้น เขาก็ได้เข้าไปพบกับจักรพรรดิของจักรวรรดิเสิ่นเตา