“ผู้อาวุโส ตรวจสอบได้แล้วขอรับ ในห้องรับรองห้องนั้นเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ยามนี้ได้จากไปแล้ว”

ชายคนหนึ่งรายงานอย่างรีบเร่ง

ผู้อาวุโสเพลิงขมวดคิ้ว ไอสังหารแผ่ซ่าน “ชายหญิงสุนัขคู่นี้ฉลาดจริงๆ แต่พวกเขาจะจากไปเช่นนี้รึ ไม่มีทาง!”

“ผู้อาวุโส ศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นๆ ต่างลอบจับตามองพวกเขาไว้แล้ว”

ชายคนนั้นกล่าวอย่างรวดเร็ว

“ดี พวกเราก็ไปกัน”

ผู้อาวุโสเพลิงสูดหายใจลึก ตัดสินใจแล้วหันหลังจากห้องรับรองไป

เกือบจะเวลาเดียวกัน

ในห้องรับรองอื่นบางส่วนในลานประมูล ทยอยมีคนใหญ่คนโตได้รับข่าว

“ท่านผู้เฒ่าจะไปขวางหรือไม่”

“อาจารย์ หนึ่งชายหนึ่งหญิงคู่นั้นเป็นคนแปลกหน้า ไม่อาจแยกแยะความเป็นมา”

“ท่านลุง ครั้งนี้มีผู้คนไม่น้อยจับจ้องชายหญิงคู่นั้น พวกเราก็ตามไปด้วยไหม”

สุดท้ายคนใหญ่คนโตในห้องรับรองพวกนี้ก็ตัดสินใจออกมาเหมือนกันโดยไม่ได้นัดหมาย

“ตามพวกเขาไป ลองหยั่งเบื้องลึกของพวกเขาดู ถ้าสบโอกาสก็ลงมือ!”

ในลานประมูลบรรยากาศยังคงคึกคักอึกทึก ผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่ต่างไม่สังเกตเห็นว่าการจากไปของหลินสวินและจินเทียนเสวียนเยวี่ย ได้ชักนำกระแสน้ำหลากที่โหมกระหน่ำในที่ลับขึ้นมาแล้ว!

บนแท่นประมูล ผูหลันจือที่รู้ข่าวลอบถอนใจ เรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้นอีกแล้ว หวังว่าชายหญิงคู่นั้นจะจากไปได้อย่างปลอดภัยเถอะ

พอสงบใจ ผูหลันจือก็ไม่คิดมากอีก “ต่อไปจะประมูลสมบัติชิ้นที่สามสิบหก…”

นอกหอสมบัติทุ่งบูรพา

ทันทีที่ก้าวออกมาหลินสวินก็สัมผัสได้ในพริบตา ว่าในพื้นที่ใกล้เคียงมีสายตามากมายลอบมองตนอยู่

ในขณะเดียวกัน ทางด้านหลังที่ห่างไปไม่ไกลก็มีผู้ฝึกปราณตามตนออกมาเช่นกัน

‘คุณชาย ดูท่าว่าครั้งนี้จะมีคนไม่น้อยจ้องมาที่พวกเราแล้ว’

จินเทียนเสวียนเยวี่ยสื่อจิตเสียงเบา นัยน์ตาของนางมีไอสังหารที่ยากสังเกตเห็นวาบผ่าน

แม้ว่าตอนนี้นางจะเป็นผู้ติดตาม แต่อย่าลืมว่านางก็เป็นผู้กล้าแห่งยุคที่ก้าวขึ้นไปอยู่ในอันดับที่สี่สิบเก้าของกระดานราชันอริยะปวงสวรรค์คนหนึ่งเช่นกัน!

ต่อให้อยู่ในหมู่คนรุ่นเดียวกันของโลกใหญ่หงเหมิงนี้ ก็เรียกได้ว่าเป็นคนที่อยู่ในระดับยอดบุคคล

‘อืม ไปกันเถอะ’

หลินสวินไม่แสดงอารมณ์ ไพล่หลังเดินไปทางประตูเมืองที่ห่างออกไป

ตลอดทางเขาและจินเทียนเสวียนเยวี่ยไม่ได้เคลื่อนไหวรวดเร็ว เหมือนไม่เห็นสายตามากมายที่ลอบสะกดรอยสักนิด

“เรียนผู้นำตระกูล อวี่เสวียนและหญิงข้างกายเขาออกมาจากหอสมบัติทุ่งบูรพาแล้ว กำลังมุ่งหน้าไปทางประตูเมือง คล้ายว่าจะจากไป!”

ที่ตระกูลสิง มีข่าวส่งมาให้ผู้นำตระกูลสิงสิงหลิวสุ่ยทราบทันที

“คุณชาย จะเคลื่อนไหวเลยหรือไม่”

สิงหลิวสุ่ยรีบขอคำแนะนำจากข่งอวี้

“เหลวไหล! ไป!”

ข่งอวี้ผุดลุกขึ้น สาวเท้าก้าวใหญ่เดินออกไป ด้านหลังเขามีผู้แข็งแกร่งของเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่งและเรือนมรรคดึกดำบรรพ์มากมายติดตามไปด้วย

เขารอมาหลายวันจนทนไม่ไหวแล้ว

สิงหลิวสุ่ยก็ไม่กล้าชะล่าใจ เรียกชุมนุมเหล่าคนใหญ่คนโตในตระกูลให้เคลื่อนไหวพร้อมกัน

ในเมืองหลินอันมีคลื่นใต้น้ำซัดโหมในชั่วขณะ พายุกำลังตั้งเค้า!

ตลาดมืดใต้ดิน

เงาร่างของชายชราแคระแหวกอากาศมาปรากฏอยู่หน้าเรือนสีดำนั้น ก้มหน้ากล่าวอย่างนอบน้อม “คุณหนู เมื่อครู่มีข่าวส่งมาว่าอวี่เสวียนและหญิงผู้ร่วมทางกับเขากำลังจะจากเมืองหลินอันไป”

“หืม?” ในเรือนสีดำมีเสียงอ่อนหวานเฉพาะตัวดังขึ้น

“จากข่าวของหอสดับวาโย อวี่เสวียนจะจากไปครั้งนี้ เกรงว่าจะประสบอันตรายใหญ่ ขุมอำนาจที่รู้ในที่แจ้งก็มีพวกข่งอวี้ผู้สืบทอดของเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ บุคคลสำคัญระดับสูงมากมายที่รวมถึงผู้นำตระกูลสิงสิงหลิวสุ่ย”

ชายชราแคระกล่าวอย่างรวดเร็ว “นอกจากนี้ผู้แข็งแกร่งของขุมอำนาจใหญ่บางส่วนในแคว้นเขียวก็ลอบจับจ้องพวกอวี่เสวียนด้วย”

“สิงหลิวสุ่ยร่วมเคลื่อนไหวกับข่งอวี้ก็เข้าใจได้ แต่พวกคนใหญ่คนโตในแคว้นเขียวนั่นมันเรื่องอะไร”

ในเรือนสีดำ มือหยกขาวดุจหิมะของชิงอิงกุมทวนสีแดงเข้มเล่มหนึ่ง กำลังเช็ดปลายทวนที่แหลมคมประหลาดนั่นอยู่

“ในงานประมูลอวี่เสวียนนี่แสดงตัวสะดุดตาอยู่บ้าง จ่ายเงินที่สูงเหนือความคาดหมายเพื่อประมูลสมบัติสองชิ้นติดต่อกัน จึงชักนำเรื่องยุ่งยากมาไม่น้อย”

ชายชราแคระตอบตามความจริง แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ที่นั่น แต่กลับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในงานประมูลเป็นอย่างดี

“ที่แท้เป็นเช่นนี้ ว่ากันตามจริงก็แค่ ‘คนตายเพราะทรัพย์ นกตายเพราะอาหาร’ เท่านั้น”

น้ำเสียงของชิงอิงเจือความหยามเหยียด ทั้งมีความดูถูก

เรื่องราวบนโลกแต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นเช่นนี้ เกิดขึ้นมาตั้งแต่อดีต เห็นบ่อยจนชินตา

ประตูใหญ่ของเรือนสีดำเปิดออก ชิงอิงสวมชุดกระโปรงเขียว กางร่มโลหิตคันหนึ่ง ก้าวออกมาด้วยเงาร่างเลือนรางเหมือนหมอกควัน

นัยน์ตาของนางมองออกไปไกลก่อนพูดเรียบๆ “ข้าจะไปแล้ว ก่อนจะไปข้าอยากทำการค้ากับคุณชายอวี่เสวียนคนนี้อีกครั้งจริงๆ”

นอกเมืองฟ้าสูงเมฆแผ่กว้าง ในจุดที่ห่างออกไปคือหมู่เขาไร้ขอบเขต แผ่กลิ่นอายรกร้างดั้งเดิม

ตลอดทางหลินสวินและจินเทียนเสวียนเยวี่ยไม่ถูกขวางอะไร เดินออกจากประตูเมืองมาอย่างราบรื่น

ห่างไปไม่ไกลคือค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณแห่งหนึ่ง

ค่ายกลเคลื่อนย้ายเช่นนี้มีอยู่ทั่วทุกเมืองในแคว้นเขียว ทุกหนึ่งชั่วยามจะเปิดออกครั้งหนึ่ง

แต่ละครั้งสามารถเคลื่อนย้ายผู้ฝึกปราณได้นับร้อยคน เพียงแต่ค่าใช้จ่ายในการใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายนั้นแพงเป็นอย่างยิ่ง

อย่างน้อยก็ต้องจ่ายหนึ่งแสนผลึกมรรค

และถ้าอยากมุ่งหน้าไปยังเมืองที่อยู่ห่างออกไปหน่อยก็ต้องเคลื่อนย้ายหลายครั้ง จำนวนของผลึกมรรคที่ต้องจ่ายนั้นก็ไม่อาจประเมินได้แล้ว

ด้วยเหตุนี้ในสถานการณ์ทั่วไป หากไม่มีเรื่องเร่งด่วนก็ไม่มีใครเลือกใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณออกเดินทาง

เพียงแต่สิ่งที่ไม่เหมือนที่ผ่านมาคือ

นอกเมืองในวันนี้ไม่คึกคักและอึกทึกเหมือนอดีต ดูเงียบเหงาเป็นอย่างยิ่ง

ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณนั้นก็ถูกผนึกไว้ แม้ว่าไม่มีคนเฝ้า แต่ก็ไม่มีใครเปิดใช้มันได้

เหตุผลนั้นง่ายมาก การเปิดใช้งานค่ายกลเคลื่อนย้ายต้องมี ‘จานกระบวน’ พิเศษ จานกระบวนนี้มักจะอยู่ในมือขุมอำนาจใหญ่อันดับหนึ่งของแต่ละเมือง

อย่างเมืองหลินอันนี้ จานกระบวนก็มีตระกูลสิงยึดกุมไว้

เห็นภาพนี้ด้วยตาตนเอง มุมปากของหลินสวินยกขึ้นเล็กน้อยกล่าว “ดูท่าว่าคนของตระกูลสิงก็เหมือนจะเข้าร่วมด้วย ข้าอยากรู้นักว่าพวกเขาวางแผนจะทำอะไรกันแน่ ทั้งเหตุใดถึงจับจ้องข้า”

จินเทียนเสวียนเยวี่ยก็สงสัยเป็นอย่างยิ่ง

ตั้งแต่พวกเขาเข้าเมืองมาถึงตอนนี้ ไม่เคยหาเรื่องตระกูลสิงมาก่อน

“สหายยุทธ์ทั้งสองโปรดหยุดก่อน”

ทันใดนั้นมีเงาร่างกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาจากทางประตูเมือง ผู้นำคือชายร่างองอาจคนหนึ่ง สวมเสื้อผ้าหรูหรา ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายชวนตระหนก

“มีเรื่องอะไร”

หลินสวินแววตาล้ำลึก คล้ายกำลังขบคิด

“พวกเรามาจากอารามสยบมารแห่งแคว้นเขียว อยากเชิญท่านทั้งสองไปเป็นแขก”

ชายร่างองอาจสายตาวูบไหว

“ไม่ใช่ญาติไม่ใช่มิตร ทำไมต้องไปเป็นแขกให้สำนักของพวกเจ้าด้วย”

หลินสวินอดยิ้มไม่ได้ เหตุผลนี้… เส็งเคร็งเกินไปแล้ว

ชายร่างองอาจกล่าวเสียงขรึม “สหายยุทธ์ เจ้าก็น่าจะสังเกตเห็น ตลอดทางมานี้มีคนไม่น้อยจับจ้องพวกเจ้าอยู่ พวกข้าก็แค่ไม่อยากเห็นพวกเจ้าประสบเคราะห์ จึงเจาะจงมาที่นี่เพื่อเชิญพวกเจ้าไปเป็นแขก เช่นนี้… ก็อาจสลายภัยร้ายได้”

แววตาของหลินสวินเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ฟังคำเตือนของข้าสักครั้ง เก็บความละโมบในใจแล้วหายไปจากตรงหน้าข้าโดยดี มิฉะนั้นคงไม่รู้ว่าตัวเองจะตายอย่างไร”

สีหน้าของพวกชายร่างองอาจเปลี่ยนเป็นไม่น่าดูขึ้นมา

หลินสวินกลับไม่ใส่ใจพวกเขาอีก ทะยานห่างออกไปพร้อมจินเทียนเสวียนเยวี่ย

“สหายยุทธ์ พวกเจ้าสุราคำนับไม่ยอมดื่ม อยากดื่มสุราลงทัณฑ์รึ”

ชายร่างองอาจตวาดลั่น

จินเทียนเสวียนเยวี่ยหันหลังขวับ นิ้วมือกรีดวาด ปราณกระบี่ที่บาดตาหาใดเปรียบสายหนึ่งฟันออกมา

ตูม!

ห้วงอากาศแตกระเบิด ปราณกระบี่ไร้ใดเปรียบดิ่งลงมา ตรงหน้าพวกชายร่างองอาจถูกทะลวงเป็นหลุมมหึมาที่ลึกยากหยั่งถึง ฝุ่นควันตลบอบอวล

พวกชายร่างองอาจมือเท้าเย็นเยียบ สีหน้าซีดขาว

เมื่อครู่พวกเขาต่างไม่ทันตั้งตัว!

หากกระบี่นี้ดิ่งลงมาบนร่างของพวกเขา เกรงว่าคงต้านทานไม่ทัน!

นึกถึงตรงนี้พวกเขาก็สั่นไปทั้งตัวอย่างควบคุมไม่ได้

และตอนนี้จินเทียนเสวียนเยวี่ยก็หันหลังกลับไปนานแล้ว ก้าวตามเงาร่างของหลินสวินไป ยามอยู่ในสายตาของคนพวกนั้น ร่างสูงระหงทรงสง่านั่นเต็มไปด้วยสีสันที่ดุดันและลึกลับ

ในบริเวณใกล้เคียง ผู้คนนับไม่ถ้วนเห็นภาพนี้แล้วก็อดหน้าเปลี่ยนสีไม่ได้ สูดหายใจเย็นเยียบ สุดท้ายก็ตระหนักได้ว่าชายหญิงคู่นี้ไม่ใช่ผู้ที่ต่อกรได้ง่าย!

“พวกหน้าโง่ อวี่เสวียนนั่นมีหรือจะเป็นคนที่สวะอย่างพวกเจ้าต่อกรได้ ช่างไม่ประมาณตนเองจริงๆ ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วสินะ”

เสียงเยาะหยันเสียงหนึ่งดังขึ้น พวกข่งอวี้ปรากฏตัวด้วยกระบวนรบเกรียงไกร

มีมากถึงหลายสิบคน ภายในนั้นแค่มกุฎราชันอริยะก็มีสิบกว่าคนแล้ว บุคคลระดับกึ่งจักรพรรดิก็มีอยู่สองคน

ผู้นำตระกูลสิงอย่างสิงหลิวสุ่ยก็เป็นมกุฎราชันอริยะขั้นสมบูรณ์คนหนึ่ง แต่ตอนนี้กลับมีท่าทีฟังคำสั่งของข่งอวี้คนเดียว

เห็นภาพนี้แล้ว ผู้แข็งแกร่งบางคนที่ตามออกมาจากหอสมบัติทุ่งบูรพาพวกนั้นต่างตกใจจนลูกตาเกือบหลุดออกมา

กำลังพลน่ากลัวยิ่งนัก!

“ตาม!”

ข่งอวี้คร้านจะใส่ใจคนพวกนั้น นัยน์ตาของเขาเจือความคั่งแค้นที่เยียบเย็นเสียดกระดูก แทบเก็บกลั้นไอสังหารที่พลุ่งพล่านไว้ไม่อยู่

ตู้ม!

ห้วงอากาศแถบนี้สั่นสะเทือน พอพวกเขาเคลื่อนผ่านอากาศก็เห็นหมอกเทพไหลวน แสงเคลื่อนไหวดุจสายฝน เหตุการณ์ชวนตระหนกเป็นอย่างยิ่ง

“สวรรค์ อวี่เสวียนนั่นเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงเรียกเคราะห์สังหารเช่นนี้มาได้”

ผู้ฝึกปราณที่สะกดรอยตามหลินสวินมาพวกนั้นต่างอึ้งงัน จิตใจถูกทำให้หวั่นหวาด

เมืองหลินอันเป็นแค่เมืองท่าแห่งหนึ่งในแคว้นเขียว ยามปกติย่อมไม่ได้เห็นบุคคลที่น่ากลัวมากเช่นนี้

โดยเฉพาะในนั้นยังมีกึ่งจักรพรรดิสองคนบัญชาด้วย!

“เขาชื่อว่าอวี่เสวียนรึ เจ้าสารเลวนี่ ทำไมถึงก่อเรื่องใหญ่ได้เช่นนี้”

ผู้อาวุโสเพลิงก็ปรากฏตัวพร้อมพาชายหญิงกลุ่มหนึ่งมาด้วย เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของพวกข่งอวี้ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นปรวนแปรไม่หยุด

“ผู้อาวุโส เกรงว่าพวกเราคงไม่มีโอกาสแล้ว”

ชายคนหนึ่งกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ถูกทำให้ตื่นตระหนกแล้ว

คนอื่นก็ว้าวุ่นใจ

“พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าจะไปดูหน่อย”

ผู้อาวุโสเพลิงสูดหายใจลึก กัดฟันกล่าว “ไม่พูดถึงเรื่องกวนน้ำจับปลา อย่างน้อยก็ต้องได้เห็นว่าเจ้าสวะนี่จะถูกฆ่าอย่างไร!”

พูดจบเงาร่างของเขาก็วูบไหว ทลายอากาศจากไป

ขณะเดียวกันที่ใกล้ประตูเมือง ก็มีผู้ยิ่งใหญ่หลายคนที่ถือว่าตนใจกล้ามีฝีมือสูงเหมือนผู้อาวุโสเพลิงตามไปอย่างเงียบๆ ด้วย

อวี่เสวียน!

ชื่อที่แปลกใหม่เป็นอย่างยิ่ง อย่างน้อยในแคว้นเขียวนี้ก็ไม่เคยได้ยินว่ามีคนเช่นนี้มาก่อน

แต่ตอนนี้ด้วยการปรากฏตัวของเขา กลับนำมาซึ่งการตามล่าชวนตะลึงเช่นนี้ นี่ทำให้ทุกคนต่างตระหนักได้ว่าความเป็นมาของอวี่เสวียนนี่คงไม่ธรรมดา!

“พวกเขามาแล้ว”

ขณะเดียวกันในหมู่เขาไร้ขอบเขตที่อยู่ห่างเมืองหลินอันไปไกลลิบ บนยอดเขาลูกหนึ่ง

หลินสวินและจินเทียนเสวียนเยวี่ยยืนอยู่เคียงกัน อาภรณ์โบกสะบัด ทะเลหมอกใกล้ๆ ดูเลือนราง ขับเน้นให้ทั้งสองคนเป็นดั่งเซียน

…………………….