ที่จริงแล้ว เธอเหมือนกันกับเซียวชูหรัน ก็คือแฟนคลับของกู้ชิวอี๋ หากไม่ใช่เพราะเย่เฉินอยู่ที่นี่ เกรงว่าเธอคงจะพุ่งเข้าไปถ่ายรูปคู่กับกู้ชิวอี๋ตั้งนานแล้ว

ดังนั้น ต่งรั่งหลินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้นอย่างลองหยั่งเชิง “เย่เฉิน คุณรู้จักกับคุณกู้ได้ยังไงกันหรอ?”

เย่เฉินชั่วขณะยังคิดไม่เรียบร้อยว่าควรจะตอบคำถามของต่งรั่งหลินยังไงดี

หากบอกว่ากู้ชิวอี๋เป็นลูกค้าดูฮวงจุ้ยของตนเอง งั้นตนเองจูงมือกับลูกค้ามาเล่นรถสเก็ตน้ำแข็งที่ทะเลสาบโห้วไห่ นี่ไม่สอดคล้องกับเหตุผลอย่างเห็นได้ชัด

แต่หากบอกว่ากู้ชิวอี๋คือเพื่อนเล่นที่ตนเองรู้จักมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ เพียงครู่เดียวก็จะเปิดเผยสถานะของตนเองอีก

ถึงอย่างไร ตนเองในสายตาของต่งรั่งหลิน ก็คือเด็กกำพร้าคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เมืองจินหลิงมาโดยตลอด

เด็กกำพร้าคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ในจินหลิงมาตั้งแต่เล็ก จะรู้จักคุณหนูตระกูลกู้แห่งเย่นจิงได้ยังไงกันอีกล่ะ? นี่ไม่สอดคล้องกับเหตุผลอย่างเห็นได้ชัด

ดังนั้นเย่เฉินคิดว่า ภายใต้เงื่อนไขเบื้องต้นที่จะไม่เปิดเผยสถานะของตนเอง เรื่องนี้ดูเหมือนจะยากมากที่จะอธิบายกับต่งรั่งหลินให้เข้าใจได้

แต่ในขณะที่เขากำลังลังเลอยู่นั้น กู้ชิวอี๋ก็ถือโอกาสเอ่ยปากตอบในเวลานี้พอดี “ฉันกับพี่เย่เฉินรู้จักกันมาตั้งแต่ตอนที่ยังเด็กมากๆแล้วค่ะ!”

ต่งรั่งหลินฟังจบ ตกตะลึงจนอ้าปากค้างในชั่วพริบตา!

เธอสงสัยขึ้นมาในทันที แอบคำนวณในใจ “เย่เฉินใช้ชีวิตอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจินหลิงมาตั้งแต่เด็ก หลังจากที่ออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตอนอายุสิบแปด เขาก็ทำงานอยู่ที่สถานที่ก่อสร้าง จากนั้นพบเข้ากับคุณปู่ของชูหรัน คุณปู่ของชูหรันจัดการให้เขาไปเรียนที่มหาวิทยาลัยจินหลิงหนึ่งปี จากนั้นเขาก็แต่งงานกับชูหรันแล้ว…”

“หากคำนวณเช่นนี้ เส้นทางชีวิตของเย่เฉิน ก็คงจะไม่เคยออกไปจากจินหลิง งั้นเขารู้จักกับคุณหนูตระกูลกู้ได้ยังไงกันล่ะ? สถานะของสองคนนี้พูดได้ว่าคนหนึ่งฟ้าคนหนึ่งดิน ตรงกลางขาดไปไม่รู้กี่ระดับ!”

“หรือว่า ในตัวของเย่เฉินมีความลับอะไรที่ตนเองไม่รู้?”

“เรื่องนี้ ดูเหมือนก็มีคำอธิบายเพียงแค่อย่างเดียวแล้ว…”

ด้วยเหตุนี้ ต่งรั่งหลินก็เลยซักถามต่อโดยจิตใต้สำนึก “คุณกู้ ทำไมคุณถึงได้รู้จักกับเย่เฉินมาตั้งแต่เด็กล่ะคะ? เย่เฉินไม่ได้เติบโตอยู่ที่จินหลิงหรอกหรอ?”

จิตใต้สำนึกของกู้ชิวอี๋ก็อยากจะพูดความจริง เย่เฉินรู้สึกตัวขึ้นมา รีบเอ่ยจากด้านข้างในทันทีว่า “เรื่องนี้พูดแล้วยาว…”

ต่งรั่งหลินหันไปทางเย่เฉิน รอคอยประโยคถัดไปของเขา

เย่เฉินรู้ว่า คำพูดของกู้ชิวอี๋เมื่อสักครู่นี้ จะต้องล้มล้างความรู้ความเข้าใจที่ต่งรั่งหลินมีต่อตนเองมาตลอดอย่างแน่นอน ดังนั้นต่งรั่งหลินไม่มีทางยอมวางมือไปง่ายๆ จะต้องทุบหม้อถามจนถึงสิ้นสุดเป็นแน่

หากวันนี้ตนเองไม่ให้คำตอบที่ทำให้เธอพอใจได้ งั้นอนาคตเธอยังจะต้องคิดหาทุกวิธีสืบหาความจริงอย่างแน่นอน ถึงขั้นมีความเป็นไปได้ว่าจะไปพูดเรื่องนี้กับเซียวชูหรัน

คิดถึงตรงนี้ เย่เฉินก็เลยเอ่ยปากขึ้นว่า “ที่จริงแล้ว ตอนที่ผมยังเด็ก คุณพ่อคุณแม่ของคุณกู้ก็เคยพาเธอไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจินหลิง ตอนนั้นพวกเขาบริจาคเงินให้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจินหลิงเยอะมาก ยังบรรลุการอุปถัมภ์แบบ‘หนึ่งช่วยหนึ่ง’กับผม ก็คือหนึ่งครอบครัวช่วยเหลือเด็กกำพร้าหนึ่งคน ตอนนั้น ผมก็รู้จักกับคุณกู้แล้ว อีกทั้งเพราะว่าผมโตกว่าเธอหน่อย ดังนั้นเธอจึงเรียกผมว่าพี่เย่เฉิน พวกเราคบหากันแบบพี่ชายน้องสาวมาโดยตลอด”

กู้ชิวอี๋ได้ฟังคำพูดนี้ รู้ว่าเย่เฉินจะต้องไม่อยากเปิดเผยสถานะคุณชายตระกูลเย่อย่างแน่นอน ก็เลยพยักหน้า เอ่ยกับต่งรั่งหลินว่า “ใช่ค่ะ ดังนั้นฉันกับพี่เย่เฉินรู้จักกันมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้นานมากแล้ว!”

ต่งรั่งหลินเข้าใจขึ้นมาในทันที

คนมีเงินชอบทำบุญทำกุศล อันนี้ก็ไม่ถือว่าแปลก

เหตุผลนี้ที่เย่เฉินพูด โดยรวมฟังแล้วดูเหมือนไม่ได้มีจุดที่ผิดปกติอะไร อีกทั้งค่อนข้างพอดีกับประสบการณ์ทั้งชีวิตของเย่เฉิน

บวกกับกู้ชิวอี๋ที่อยู่ด้านข้างก็ยืนยันในคำพูดของเย่เฉินแล้ว ดังนั้นต่งรั่งหลินก็เลยไม่สงสัยอะไรอีก

เธอเพียงแต่เอ่ยขึ้นอย่างตำหนิเล็กน้อย “เย่เฉิน คุณรู้จักคุณกู้ดาราที่ดังขนาดนี้ ทำไมถึงไม่เคยได้ยินคุณพูดถึงมาก่อนเลยล่ะ?”

เย่เฉินหัวเราะพร้อมกับเอ่ย “คุณก็ไม่ใช่ไม่รู้จักผม ผมคนนี้ไม่เคยชอบโอ้อวด ไม่มีความจำเป็นต้องเอาเรื่องที่ผมรู้จักกับคุณกู้มาพูดอยู่ตลอด อีกอย่าง ในสายตาของทุกคนผมก็คือยาจก ต่อให้ผมพูดแล้ว ทุกคนก็ไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน ในทางกลับกัน ยังจะทำให้ทุกคนหัวเราะเยาะเป็นแน่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นผมจะทำให้ตัวเองลำบากไปทำไมล่ะ?”