ตอนที่ 3534

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 3534 : ผู้นนําเผ่าภูต หมี่ชวน!

 

    เป็นธรรมดาว่าถึงแม้จะมีผู้คนมากมายหาญกล้าเข้าไปแสวงโชคในโลกแห่งความตาย แต่ส่วนใหญ่แล้วก็กล้าที่จะผจญภัยบริเวณรอบนอกเท่านั้น น้อยคนนักที่จะกล้าล่วงลึกเข้าไปในโลกแห่งความตาย

 

  เพราะหากล่วงลึกเข้าไปล่ะก็ มีโอกาสสูงที่จะพบเจ้าถิ่น อันเป็นชนพื้นเมืองของโลกแห่งความตาย!

 

  หากพลัดหลงไปยังถิ่นของชนพื้นเมืองโลกแห่งความตายเผ่าใดเข้าล่ะก็ ต่อให้เป็นเทพแล้วก็มีโอกาสตายสูง!

 

  และยิ่งหากพลัดหลงเข้าไปในเขตของชนพื้นเมืองที่เป็นเผ่าพันธุ์ระดับสูงๆในโลกแห่งความตายล่ะก็ อย่าว่าแต่ขอบเขตเทพเลย ต่อให้เป็นราชาเทพ หรือแม้กระทั่งจอมราชันเทพ ก็อาจต้องตายไร้ทางรอด!

 

  เพราะในส่วนลึกของโลกแห่งความตาย ไม่ขาดตัวตนในขอบเขตพลังจักรพรรดิเทพ!

 

  ส่วนอริยะเทพนั้นไม่มีผู้ใดยืนยันได้ จะมีหรือไม่มีก็ไม่อาจทราบ

 

  อันที่จริงเผ่าพันธุ์ภูตของพระอาจารย์หมี่เยี่ยนนั้น ไม่ถือว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่ยิ่งใหญ่อะไรในโลกแห่งความตาย เรียกว่าไม่ติดอันดับเผ่าพันธุ์อันตรายด้วยซ้ำ เพราะตัวตนที่ทรงพลังที่สุดในเผ่าก็เป็นแค่ราชาเทพเท่านั้น

 

  หนึ่งเลยถูกจำกัดไว้ด้วยพรสวรรค์และศักยภาพ สองคือขีดจำกัดของร่างวิญญาณ

 

  ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของเผ่าพันธุ์ภูต ตัวตนในเผ่าพันธุ์ภูตดั้งเดิมที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เคยมีมาก็เป็นแค่ราชาเทพขั้นสูงเท่านั้น ไม่มีแม้แต่จอมราชันเทพโผล่มาสักคน

 

  กล่าวให้ชัดก็คือหากไม่ใช่เผ่าพันธุ์ภูตที่ไปชิงร่างกายยผู้อื่นมาแล้วล่ะก็ ขีดจำกัดของด่านพลังก็คือราชาเทพขั้นสูง และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันเทพ

 

  ในประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์ภูต มีคนของเผ่าภูตบางคนได้ทำการช่วงชิงร่างผู้อื่น และทะลวงไปถึงขอบเขตจอมราชันเทพ อนิจจาแต่โดยทั่วไปแล้วตัวตนเช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นคนของเผ่าพันธุ์ภูตอีกต่อไป

 

  เพราะในเผ่าภูตก็มีกฏเหล็กตราเอาไว้ชัดเจน ว่าเผ่าพันธุ์ภูตคนใดที่ไปปล้นชิงยึดครองร่างกายผู้อื่นมา ไม่ว่าจะร่างมนุษย์ก็ดี ร่างสัตว์อสูรก็ดี ไม่เว้นสิ่งมีชีวิตใดๆ จะถูกขับออกจากเผ่าพันธุ์ภูตทันที

 

  และนี่เป็นกฏเหล็กที่เข้มงวดที่สุดของเผ่าพันธุ์ภูตที่ดำรงสืบต่อมาอย่างยาวนาน ไม่ยกเว้นให้ใครทั้งสิ้น

 

  เหตุผลที่ไฉนตั้งกฏนี้ขึ้นมาก็เพราะ…

 

  เพราะไม่ว่าใครก็ตามที่ไปปล้นชิงยึดครองร่างสิ่งมีชีวิตมาแล้ว สามารถอาศัยร่างกายเป็นสื่อกลางในการกลืนกินเผ่าพันธุ์ภูตคนอื่นๆเพื่อยกระดับพลังของตัวเองได้!

 

  หากเกิดเรื่องทำนองนี้ขึ้น เกรงว่าคงเป็นหายนะอันร้ายแรงของเผ่าพันธุ์ภูต ถึงขั้นอาจทำให้เผ่าพันธุ์ภูตถึงกาลอวสานได้ง่ายๆ!

 

  และในประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์ภูต ก็เคยเกิดเรื่องทำนองดังกล่าวขึ้นมาแล้ว ครั้งนั้นนับเป็นหายนะร้ายแรงจริงๆ จนคนเผ่าพันธุ์ภูตแทบจะสิ้นสูญไปจากสวรรค์และโลก

 

  สุดท้ายก็ได้อาวุโสสูงสุดในเผ่าพันธุ์ภูต เลือกจะเผาผลาญวิญญาณตนเองและอาศัยสมบัติที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานของเผ่าพันธุ์ภูต แลกมาด้วยชีวิตเพื่อฆ่าเผ่าพันธุ์ภูตที่ปล้นชิงร่างสิ่งมาชีวิตและคิดกลืนกินพวกเดียวกันเองทิ้ง

 

  ตั้งแต่เกิดเรื่องครั้งนั้น เผ่าพันธุ์ภูตจึงอ่อนไหวกับเรื่องการยึดครองชิงร่างนัก!

 

  แน่นอนว่าร่างเลือดเนื้อมันหอมหวาน ทำให้นานๆครั้งก็มีเผ่าภูตที่แหกกฏแล้วถูกค้นพบ ก่อนจะถูกยอดฝีมือของเผ่าพันธุ์ภูตตามล่าสังหารทันที

 

  เว้นเสียแต่จะหลบหนีออกจากโลกแห่งความตาย

 

  อย่างไรก็ตาม แม้จะหลบหนีออกจากโลกแห่งความตายแล้ว แต่ถ้ามีใครมาแจ้งที่เผ่าภูตว่า ท่านชิงร่างคนอื่นมาล่ะก็ เผ่าภูตจะส่งคนมาตามล่าท่านไปจนสุดล่าฟ้าเขียวเพื่อฆ่าท่านให้จงได้! ด้วยเหตุนี้เองหลังจากพระอาจารย์หมี่เยี่ยนเข้าครอบงำร่างยูไลแล้ว ถึงไม่คิดจะกลับไปยังเผ่าพันธุ์ภูต…

 

  เพราะมันรู้ดีว่าหากเรื่องที่มันครอบงำร่างยูไลแดงขึ้นมาจนเผ่าภูตล่วงรู้ ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เผ่าพันธุ์ภูตจะปล่อยมันไป

 

  คราวนี้ที่มันกลับมายังโลกแห่งความตาย มันก็ไม่คิดจะขอความช่วยเหลือหรือแม้แต่กระทั่งติดต่อเผ่าภูต มันแค่จะติดต่อขอความช่วยเหลือจากพี่ใหญ่ของมันคนเดียวเท่านั้น

 

  และพี่ใหญ่ของมัน ก็คือผู้นำคนปัจจุบันของเผ่าภูต

 

  ด้วยความผูกพันระหว่างมันกับพี่ชาย มันเชื่อว่าพี่ชายมันไม่ถึงขั้นใจร้ายตัดญาติขาดมิตรและฆ่ามันได้ลงคอแน่นอน กระทั่งไม่มีทางบอกเผ่าภูตคนอื่นๆถึงเรื่องที่มันกำลังจะชิงร่างผู้คนด้วยซ้ำ

 

  เพราะหากเรื่องของมันแพร่ออกไป ไม่เพียงแต่ตัวมันจะถูกเผ่าพันธุ์ภูตทั้งหมดไล่ฆ่าเท่านั้น แม้แต่พี่ชายของมันก็จะพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย ไม่เพียงแต่จะถูกปลดออกจากตำแหน่งผู้นำเผ่า เผลอๆยังจะถูกขับไล่ออกมาเพราะอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับมันก็เป็นได้

 

  ในเผ่าพันธุ์ภูต ผู้นำเผ่าก็เพียงมีอำนาจในระดับหนึ่งเท่านั้น

 

  สุดท้ายในเผ่าพันธุ์ภูต ผู้ที่มีอำนาจที่แท้จริงก็คืออาวุโสสูงสุดที่ถือครองสมบัติที่สืบทอดต่อๆกันมาของเผ่าพันธุ์ภูต และเป็นขุมพลังหลักของเผ่าภูต ด่านพลังบรรลุถึงราชาเทพขั้นสูง…

 

  “พี่ใหญ่…”

 

  หลังมาถึงโลกแห่งความตาย พระอาจารย์หมี่เยี่ยนก็เดินทางผ่านพื้นที่รอบนอกของโลกแห่งความตาย จนมาถึงสถานที่ใกล้เคียงกับที่ตั้งของเผ่าภูต และส่งข้อความไปหา ‘หมี่ซวน’ พี่ชายของมันทันที

 

  การสื่อสารระหว่างเผ่าพันธุ์ภูตไม่จำเป็นต้องใช้ลูกแก้ววิญญาณ เพราะหากอยู่ในระยะที่เหมาะสม สามารถติดต่อผ่านการสั่นพ้องของวิญญาณได้ทันที หลักการก็คล้ายกับคลื่นวิทยุในโลกเก่าของต้วนหลิงเทียน ขอเพียงหาช่วงคลื่นความถี่ของวิญญาณที่เหมาะสมเจอ ก็สามารถติดต่อสื่อสารได้ทันที

 

  “น้องเยี่ยน!?”

 

  หลังได้ยินการติดต่อของหมี่เยี่ยน ผู้นำเผ่าภูตหมี่ซวนที่อยู่ในที่พัก ร่างพลังงานในรูปลักษณ์มนุษย์สีเขียวหม่นของมันก็สั่นไหวทันที เผยให้เห็นว่ามันเองก็มีอารมณ์ความรู้สึกไม่น้อย “นี่เจ้าหายไปอยู่ที่ใดมากันแน่!? ไฉนถึงขาดการติดต่อไปหลายปีนัก?”

 

  “แล้วไฉนตอนนี้เจ้าไม่มาหาข้า ไม่กลับมาเผ่าภูตของเรา?”

 

  จากการสื่อสาร หมี่ซวนย่อมระบุตำแหน่งคร่าวๆของหมี่เยี่ยนได้ น้ำเสียงยามกล่าวถามออกไปรอบนี้ จึงเป็นกังวลนัก

 

  สุดท้ายแล้วญาติพี่น้องมันในโลก ก็มีแค่หมี่เยี่ยนแค่คนเดียว

 

  ถึงแม้ว่าวิธีการสืบพันธุ์ของเผ่าพันธุ์ภูตจะแตกต่างจากมนุษย์ แต่หมี่เยี่ยนนั้นก็ได้ปลุกสติปัญญาขึ้นมาพร้อมกันกับมัน ตามวิถีของเผ่าพันธุ์ภูตแล้ว พวกมันทั้งคู่ก็คือพี่น้องกัน ไม่เหมือนพี่น้องของสิ่งมีชีวิตอื่นที่เกิดจากพ่อแม่เดียวกัน

 

  ด้วยเหตุนี้หมี่ซวนจึงรู้สึกผูกพันกับหมี่เยี่ยนนัก เพราะในโลกอันกว้างใหญ่ไพศาล มันก็ถือกำเนิดเกิดมาพร้อมกันกับหมี่เยี่ยนแค่ 2 คน

 

  “พี่ใหญ่ ท่านออกมาหาข้าหน่อย…หากข้าเข้าไป ข้าต้องถูกอาวุโสสูงสุดพบเจอแน่ และถ้าอาวุโสสูงสุดพบเจอกระทั่งล่วงรู้สถานการณ์ของข้าในตอนนี้ มีหวังได้รีบแจ้นมาฆ่าข้าทิ้งทันทีแน่”

 

  พระอาจารย์หมี่เยี่ยนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงทอดถอนใจ

 

  และแทบจะพร้อมๆกันกับที่เสียงของหมี่เยี่ยนดังจบคำ ร่างพลังงานของหมี่ซวนก็สั่นไหวขึ้นมาอย่างรุนแรง ราวกับจะถูกสายลมพัดหายได้ทุกเวลา

 

  “เจ้า…เจ้าอย่าบอกนะ ว่าเจ้าชิงร่างผู้อื่นไปแล้ว!?”

 

  กล่าวออกอีกครั้ง น้ำเสียงของหมี่ซวนยังสั่นไปไม่น้อย

 

  การช่วงชิงร่างคนอื่น เป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามของเผ่าภูตอยย่างร้ายแรง บทลงโทษคือทำลายวิญญาณให้ดับสูญสถานเดียว!

 

  หากเป็นคนอื่นในเผ่าพันธุ์ภูตกระทำเรื่องนี้ มันคงรีบไปแจ้งผู้อาวุโสสูงสุดเพื่อเริ่มต้นกระบวนการไล่ล่าสังหารทันทีแน่นอน เพื่อกำจัดคนที่ฝ่าฝืนข้อห้ามให้เร็วที่สุด!

 

  แต่ตอนนี้ผู้ที่ฝ่าฝืนกฏกลับเป็นน้องชายของมัน น้องชายเพียงคนเดียวของมัน!

 

  เผชิญหน้ากับเสียงกล่าวถามสั่นเครือของหมี่ซวน หมี่เยี่ยนก็เลือกที่จะเงียบ

 

  อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ร่างหมี่ซวนได้สั่นไหวอย่างแรง สุดท้ายก็อันตรธานหายไปราวสายลมกรรโชก พริบตาความเร็วของมันก็บรรรลุถึงขั้นอัศจรรย์!

 

  ฟุ่บบบ!!

 

  ไม่ทันไร ร่างหมี่ซวนก็มาปรากฏตัวเบื้องหน้าพระอาจารย์หมี่เยี่ยน พอมองไปยังร่างปัจจุบันของหมี่เยี่ยนแล้ว ร่างหมี่ซวนก็สั่นเทิ้มขึ้นมาไม่หยุด “เลอะเลือน! เจ้ามันเลอะเลือน! เจ้ามันเลอะเลือนไปแล้ว!!”

 

  หมี่ซวนตะคอกออกมาเสียงสั่น นิ้วที่ยกขึ้นชี้ยังสั่นระริกนัก น้ำเสียงยังเต็มไปด้วยโทสะอันรุนแรงและความอัดอั้นตันใจถึงขีดสุด “เจ้าจะออกจากเผ่าภูต หรือออกจากโลกแห่งความตายเพราอยากไปชมดูโลกภายนอก ข้าไม่เคยหยุดเจ้า ทั้งไม่ว่าอะไรสักคำ เพียงแค่ปล่อยเจ้าไปให้เจ้าทำตามใจ!”

 

  “แต่ดูเจ้าทำเข้า ไม่ทันไรเจ้าก็ไปช่วงชิงร่างผู้อื่นเขามาแล้ว!!”

 

  “เจ้าเองก็สมควรรูกฏของเผ่าภูตเราดี! ข้อห้ามที่ไม่อาจฝ่าฝืนนั้นมีโทษสถานใดเจ้าก็รู้ เจ้าท่องกฏขอนั้นกี่รอบแล้ว? จำได้หรือไม่ ว่าห้ามมิให้ช่วงชิงร่างผู้ใดเด็ดขาด!!”

 

  “เพราะทันทีที่เจ้าช่วงชิงร่างผู้อื่นมา เจ้าก็สามารถกลืนกินผู้คนในเผ่าพันธุ์เดียวกันเพื่อเพิ่มระดับพลังบ่มเพาะ ทั้งยังยกระดับความเข้าใจในกฏของตัวเองได้ง่ายๆ…เจ้าเองก็รู้ดีว่าเผ่าพันธุ์ภูตเราเกือบล่มสลายเพราะเรื่องนี้มาแล้ว!!”

 

  “แล้วนี่เจ้าทำบ้าอันใดของเจ้า ทั้งเจ้ายังจะกลับมาทำอะไร!?”

 

  “หรือเจ้าคิดว่าชีวิตเจ้าอยู่มานานเกินพอแล้ว? เจ้าเบื่อชีวิตแล้วงั้นรึ!?”

 

  หมี่ซวนตะคอกคำออกมาระรัวด้วยความโมโห

 

  “พี่ใหญ่…”

 

  เมื่อเผชิญกับโทสะอารมณ์ของหมี่ซวน แต่ต้นจนจบพระอาจารย์หมี่เยี่ยนเลือกที่จะเงียบไม่พูดไม่จา สุดท้ายพอพี่ชายมันกล่าวจบ มันก็ทิ้งตัวลงคุกเข่า กล่าวออกเสียงอ่อน “ข้ารู้ว่าข้าทำผิด ข้าผิดไปแล้วจริงๆ…แต่ข้ามีเหตุผลที่ข้าเลือกจะปล้นร่างของคนผู้นี้”

 

  “เพราะตอนนั้นหากข้าไม่เลือกที่จะพยายามครอบครองร่างของคนผู้นี้ ข้าไม่พ้นต้องโดนมันฆ่าตายไปแล้วแน่”

 

  “เพื่อปกป้องตัวเอง ข้าก็ได้แต่พยายามยึดร่างของมันเป็นการเสี่ยงดวงครั้งสุดท้ายเท่านั้น”

 

  “พี่ใหญ่หากเป็นท่านเล่าท่านจะทำอย่างไร? ท่านจะปล่อยให้ผู้อื่นเข่นฆ่าท่านทิ้งไปเสีย หรือจะเลือกไขว่คว้าฟางเส้นสุดท้าย ฉกฉวยทางรอดสายหนึ่ง เลือกจะฮึดสู้ด้วยการพยายามยึดร่างศัตรูของท่าน?”

 

  พระอาจารย์หมี่เยี่ยนก้มหัวกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจนปัญญา ราวกับการกระทำของมัน ล้วนแล้วแต่เป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ…

 

  แน่นอนว่าทั้งหมดที่มันพูดมา สามารถกล่าวได้ประโยคเดียว…ตอแหลทั้งเพ!

 

  ตอนนั้นที่มันพบเจอยูไล ยูไลยังไม่ได้บรรลุถึงขอบเขตเทพด้วยซ้ำ ส่วนมันเป็นเทพแล้ว กล่าวได้ว่ายูไลไม่มีหนทางต่อต้านขัดขืนมันได้เลย แต่ต้นจนจบทั้งหมดล้วนเกิดจากการตัดสินใจของมันคนเดียว

 

  ไม่ว่าจะครอบงำร่างยูไล หรือทุกสิ่งอย่างที่กระทำภายหลัง ล้วนแล้วแต่เป็นมันตัดสินใจกระทำตามความพอใจของมันเองทั้งสิ้น ไม่มีใครมีอิทธิพลต่อความคิดมัน และไม่มีใครบีบบังคับอะไรมัน!

 

  เหตุผลที่มันเลือกจะปั้นน้ำเป็นตัวตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จออกมา ทั้งหมดเพียงเพราะมันหมายใช้ไพ่ ‘ความห่วงใย’ เพื่อไม่ให้พี่ชายของมันถือโทษโกรธมัน กระทั่งนำไปสู่การร้องขอความช่วยเหลือให้พี่ชายออกจากโลกแห่งความตาย ไปช่วยให้มันชิงร่างต้วนหลิงเทียนที่ต้องการ

 

  “อย่างไรเสียเจ้าก็ไม่ควรย้อนกลับมา…”

 

  พอหมี่ซวนกล่าวออกมาอีกครั้ง น้ำเสียงก็อ่อนลงอย่างมาก ไม่ได้ฟังดูดุร้ายเอาเรื่องเหมือนก่อนหน้า “เจ้าไม่จำเป็นต้องกลับมาด้วยตัวเอง เพียงจ้างผู้ใดให้มาส่งข้อความถึงข้าก็ได้ หากข้าคิดจะพบเจ้า ข้าย่อมมีวิธีออกไปหาเจ้าได้…”

 

  “เจ้ากล้ากลับมาถึงที่นี่ มันเสี่ยงเกินไป อันตรายยิ่งนัก”

 

  และแทบจะพร้อมๆกันกับที่กล่าวจบคำ ร่างหมี่ซวนก็สั่นไหวอีกครั้ง จากนั้นก็ปรากฏพลังสายหนึ่งหอบหิ้วร่างหมี่เยี่ยน ก่อนจะปรากฏประกายแสงหนึ่งพุ่งห่างออกไปจากเผ่าภูตด้วยความเร็วสูง จนเมื่อห่างจากเผ่าภูตมากเกินพอแล้วประกายแสงดังกล่าวค่อยหยุดลง…

 

  “พี่ใหญ่ ท่าน…นี่ท่านทะลวงถึงราชาเทพขั้นกลางแล้ว!?”

 

  หมี่เยี่ยนที่ถูกพี่ชายพาเหินร่างออกมา พอหยุดลงก็หันไปมองถามหมี่ซวนด้วยความประหลาดใจทันที อีกทั้งดวงตาของมันตอนนี้ยังเต็มไปด้วยประกายแห่งความตื่นเต้นยินดี ราวกับมันตัดสินใจถูกแล้วจริงๆที่กลับมาครั้งนี้

 

  ด้วยมีพี่ใหญ่ที่ทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพขั้นกลางแล้วแบบนี้ มันย่อมมั่นใจเรื่องชิงร่างต้วนหลิงเทียนได้เต็มสิบส่วน!

 

  “อืม ข้าพึ่งทะลวงผ่านมาได้ไม่นาน”

 

  หมี่ซวนพยักหน้ารับ ค่อยเอ่ยออกเสียงหนัก “ต่อไปหากเจ้าคิดจะกลับมาหาข้า ก็อย่าได้มาด้วยตัวเองอีก ข้าสามารถปลีกตัวออกไปพบเจ้าได้…หากอาวุโสสูงสุดรู้เรื่องที่เจ้าแย่งร่างผู้คนมา ไม่พ้นต้องออกไปไล่ฆ่าเจ้าด้วยตัวเองแน่!”

 

  “เข้าใจแล้วหรือไม่!”

 

  น้ำเสียงของหมี่ซวนนั้นเต็มไปด้วยความเด็ดขาด ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธ

 

  “ข้าเข้าใจแล้วพี่ใหญ่…”

 

  พระอาจารย์หมี่เยี่ยนก็เร่งขานรับอย่างเชื่อฟังทันที

 

  “เอาล่ะ เจ้าว่ามาเถอะ…ที่เจ้าเสี่ยงกลับมาหาข้าครั้งนี้ ที่แท้มีเรื่องอะไรกันแน่?”

 

  สุดท้ายมันก็เป็นเผ่าพันธุ์ภูตที่เกิดมาพร้อมๆกับหมี่เยี่ยน กล่าวได้ว่ามันเติบโตมาพร้อมกับอีกฝ่าย เช่นนั้นนิสัยใจคออีกฝ่ายเป็นเช่นไรมันย่อมรู้ดีกว่าใคร ลองอีกฝ่ายเสี่ยงชีวิตกลับมาหามันแบบนี้ไม่พ้นต้องมีเรื่องใหญ่ที่ต้องพึ่งมันสถานเดียวแน่นอน

 

  หาไม่แล้วคงไม่มีทางเสี่ยงกลับมา

 

  “พี่ใหญ่…”

 

  พระอาจารย์หมี่เยี่ยนในคราบยูไล คลี่ยิ้มเขินอายยออกมาอย่างกระอักกระอ่วน ค่อยกล่าวแจ้งวัตถุประสงค์การมา “ร่างกายนี้ข้าเพียงเข้าครอบงำเฉยๆ ยังมิได้ช่วงชิงมาโดยสมบูรณ์…แต่ข้ามีร่างกายที่คิดช่วงชิงแล้ว!”

 

  “ที่สำคัญร่างที่ข้าตั้งใจว่าจะช่วงชิงนั้น อายุยังไม่ทันถึง 700 ปี ก็กลายเป็นจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศแล้ว แถมยังเข้าใจมรรคากระบี่มิติกับวิถีควบคุม 2 ใน 4 วิถีแห่งสวรรค์และโลกถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น กระทั่งความเข้าใจในกฏมิติก็สูงล้ำไม่ใช่ชั่ว…”