ระหว่างทาง กู้ชิวอี๋ไม่ได้พูดอะไรเลย ราวกับว่ามีเรื่องบางอย่างอยู่ในใจ

เมื่อเย่เฉินเห็นคิ้วที่สวยงามของเธอขมวดคิ้วอยู่ตลอด จึงอดไม่ได้ที่จะถามเธอว่า หนานหนาน คุณคิดอะไรอยู่?”

กู้ชิวอี๋กลับมารู้สึกตัวอีกครั้งและพูดว่า “พี่เย่เฉิน พี่กับเซียวชูหรันคนนั้น มีความรักความผูกพันที่ดีต่อกันมากจริงๆ เหรอคะ?”

เย่เฉินถามด้วยความประหลาดใจ: “ทำไมคุณถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมาในทันใด?”

กู้ชิวอี๋พูดว่า “ฉันแค่สงสัย และรู้สึกกังวลนิดหน่อย”

“กังวลเรื่องอะไรล่ะ?”

กังวลว่าถ้าความสัมพันธ์ของพวกพี่ดีมากจริงๆ ต่อไปฉันควรจะทำยังไงดี… ”

เย่เฉินยิ้ม พร้อมกับถามเธอว่า “ก่อนที่จะเจอผมคุณเคยคิดบ้างไหมว่าต่อไปนี้ตัวเองควรทำยังไง?”

กู้ชิวอี๋พยักหน้า “เคยคิดค่ะ ก่อนที่จะเจอคุณ ฉันก็รู้สึกว่าฉันจะต้องหาคุณเจอ ถ้าหาคุณไม่เจอ ฉันคงจะอยู่เป็นโสด ต่อไปเพราะไม่ว่ายังไงฉันก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับผู้ชายคนอื่นด้วย”

เย่เฉินถาม “ถ้าหาผมไม่เจอจริงๆ คุณคงจะไม่สามารถอยู่เป็นโสดไปจนอายุสามสิบสี่สิบหรอก?”

กู้ชิวอี๋พูดอย่างจริงจังว่า “อย่าพูดว่าสามสิบสี่สิบเลย ถ้าต้องห้าสิบหกสิบแล้วจะทำไม? เพราะฉันใช้ชีวิตเต็มที่แล้วและมันก็ไม่ถึงกับต้องน้อยใจในตัวเองเพียงเพราะต้องการการมีตัวตนของผู้ชายคนเดียวหรอก ดังนั้นฉันจึงยอมขาดแคลนดีกว่ามีของด้อยคุณภาพและแม้ว่าจะหาคุณไม่เจอ ฉันก็อาจใช้เวลาทั้งชีวิตต่อจากนี้เดินทางไปเที่ยวรอบโลกและเมื่อฉันแก่ตัวลงฉันก็จะหาที่ที่ชอบไว้สำหรับตั้งเป็นถิ่นฐานที่แน่นอน จะปลูกพันธุ์ไม้ ปลูกหญ้า และเลี้ยงสัตว์ ก่อนตายฉันจะบริจาคทรัพย์สินทั้งหมดออกไป ซึ่งการใช้ชีวิตแบบนี้ไปทั้งชีวิตต่อจากนี้ก็ไม่เลวนะ”

เย่เฉินเกือบจะพูดคำพูดช่วยเตือนออกไป แต่กลับเลือกที่จะกล้ำกลืนมันกลับไป

และในขณะนั้นเอง เขาก็ตระหนักได้ทันทีว่าตัวเขาเองได้ทิ้งมิตรภาพที่ลบไม่ออกไว้ในชีวิตของกู้ชิวอี๋แล้ว ไม่ว่าในอนาคตเขาจะอยู่กับเธอหรือไม่ก็ตาม มิตรภาพนี้จะไม่สามารถลบออกไปได้

นี่คือสิ่งที่ตัวเขาติดค้างเธอ และมันก็เป็นหน้าที่ที่ไม่สามารถปฏิเสธได้

เพียงแต่ว่า เขาในขณะนี้ จะยังไม่เข้าใจว่าในที่สุดแล้วตัวเองควรจะแก้ไขความสนิทสนมระหว่างตัวเองกับหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเขามาตลอด 20 นี้ได้ยังไงกัน

เย็นวันนั้นหลินหว่านชิวลงครัวทำกับข้าวด้วยตัวเองและเธอก็ทำอาหารหลากหลายอย่างที่น่าทานจนเต็มโต๊ะ

กู้เย้นจงหยิบเหล้าหมาวถายดีกรีสูงที่เก็บไว้สำหรับเป็นของขวัญงานแต่งงานของกู้ชิวอี๋ออกมาและดื่มกับเย่เฉิน

เย่เฉินกำลังจะไปและพวกเขาทั้งสองสามีภรรยาก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์ไม่อยากให้ไป

แต่พวกเขาทั้งสองก็รู้ดีว่าเย่เฉินไม่เพียงแต่มีครอบครัวเล็กๆ ของตัวเองที่จินหลิงแล้ว เขายังเริ่มธุรกิจของตัวเองที่จินหลิงอีกด้วย

ตี้เหากรุ๊ปที่ตระกูลเย่ให้มานั้น เย่เฉินเคยไปแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้นและเงินของตี้เหากรุ๊ปเขาก็ไม่ได้รับเงินสักบาทเดียว

เงิน1 หมื้นล้านที่ตระกูลเย่มอบให้นั้น เย่เฉินก็ใช้ไปไม่เท่าไหร่และเงินทั้งหมดที่ใช้ในภายหลังแทบจะเป็นเงินที่ตัวเขาหามาได้เอง หรือได้มาจากทางบริษัทผลิตยาโคบายา

ซึ่งบริษัทผลิตยาเก้าเสวียนในตอนนี้มีชื่อเสียงไปทั่วประเทศและด้วยประสิทธิภาพของยาที่ดีอย่างมากนั้น ทำให้บริษัทผลิตยาเก้าเสวียนก็เป็นที่รู้จักไปถึงต่างประเทศด้วยระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น

หลังจากชาวต่างชาติจำนวนมากได้ลองใช้ยากระเพาะที่ปฎิหาริย์นี้แล้ว พวกเขาต่างก็พากันซื้ออย่างบ้าคลั่งและเตรียมซื้อยาดังกล่าวกลับประเทศตัวเอง พร้อมกับแบ่งปันให้กับญาติพี่น้อง

มันจึงทำให้ยากระเพาะเก้าเสวียนเป็นสินค้าที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า

ซึ่งปัจจุบัน ยากระเพาะเก้าเสวียนต้องตกอยู่ในสภาวะการผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการตลอดมา และผู้จัดจำหน่ายทั่วประเทศต่างก็กำลังถือเงินสดกำใหญ่ๆ ไว้ โดยหวังว่าจะได้รับสินค้าในมือมากขึ้น

หากตามการพัฒนาแบบนี้ต่อไป ยากระเพาะเก้าเสวียนมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นยาที่ขายดีที่สุดของโลก และเป็นยากระเพาะที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกอีกด้วย

ความสามารถในการนำไปใช้ได้จริงกับการประยุกต์ใช้ของยากระเพาะนั้นกว้างขวางอย่างมาก และผู้คนทั่วโลก ต่างก็มีความต้องการด้านนี้ โดยไม่มีการแบ่งอายุ เพศ และเชื้อชาติ

ดังนั้น นี่ก็หมายความว่าภาพแห่งอนาคตการพัฒนาของยากระเพาะเก้าเสวียนนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถประมาณการได้

ซึ่งพวกเขาทั้งสองสามีภรรยานั้นเชื่อว่า ถ้ามีวันหนึ่งที่ เย่เฉินสามารถผลิตยาอายุวัฒนะที่น่าอัศจรรย์นั้นออกมาได้ เช่นนั้นเย่เฉินก็จะต้องกลายเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลกแน่นอน และเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น

ดังนั้น พวกเขาก็รู้ด้วยว่าสำหรับเย่เฉินในตอนนี้แล้วจินหลิงเป็นถิ่นฐานของเขาเป็นค่ายฐานขนาดใหญ่ของเขา และเป็นหินรากฐานที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของธุรกิจส่วนตัวของเขา!