ตอนที่ 1882 เข็มวิญญาณพิฆาตจิต

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

คมประกายที่สำแดงออกมาของกู่เจี้ยนสิงก็ไม่ด้อยกว่าฉู่ชิว เอาชนะคู่ต่อสู้คนหนึ่งภายในสิบกระบวนท่าได้!

ในขณะเดียวกันกับที่หลินสวินเอาชนะตงหลิวซื่อ คู่ต่อสู้คนที่สามก็ถูกกระบี่เดียวของเขาซัดกระเด็นออกไปจากสังเวียน

คู่ต่อสู้บาดเจ็บเจียนตาย

เขากลับไม่ได้รับบาดเจ็บ

ทั้งที่นั้นต่างหน้าเปลี่ยนสีเพราะเขา!

บนสังเวียนอื่นก็มีบุคคลที่ความสามารถน่าจับตามองบางคนเช่นกัน

โดยเฉพาะคนรุ่นอาวุโสคนหนึ่งนาม ‘สือหลง’ เพียงครู่สั้นๆ ก็โจมตีมกุฎราชันอริยะรุ่นเยาว์คนหนึ่งให้บาดเจ็บสาหัส ความกล้าแข็งของมรรควิถี ความดุดันของพลังต่อสู้ เรียกเสียงฮือฮาได้ไม่น้อย

ตามที่ปรากฏในข้อมูลที่ได้รับการเปิดเผยทั่วไป สือหลงหยุดอยู่ที่ระดับมกุฎราชันอริยะขั้นต้นมาหกร้อยปีแล้ว นับเป็นเพียงผู้อาวุโสของสำนักซึ่งเป็นขุมอำนาจชั้นรองแห่งหนึ่ง

คนรุ่นอาวุโสเช่นนี้ก็ถูกคนเพิกเฉยได้ง่าย

แต่ตอนนี้ พลังต่อสู้ของสือหลงกลับทำให้ทุกคนตกตะลึงยกใหญ่!

เช่นนี้แล้ว แม้ภาพหลินสวินเอาชนะตงหลิวซื่อจะดึงดูดให้ชายตามองอยู่บ้าง แต่เทียบกันแล้วยังไม่ถือว่าสะเทือนเลื่อนลั่น

อย่างน้อย เถาซงถิงจากสำนักยุทธ์ว่างเปล่าก็คิดเช่นนี้

นี่ทำให้หญิงชุดเขียวถูกเรียกว่า ‘อวี๋ฮูหยิน’ นิ่วหน้าเล็กน้อย แต่นางยังไม่ทันเอ่ยปาก หงอวี่จากสำนักยุทธ์เสวียนจีก็เอ่ยเนิบๆ ขึ้นมาแล้วว่า

“พี่เถา ข้ากลับถือหางจินตู๋อีคนนี้นัก คิดว่าเขาต้องชนะสิบครั้งรวด ผ่านการคัดเลือกรอบแรกได้แน่”

“เช่นนั้นหรือ”

เถาซงถิงยิ้มหยัน “น้องหงอวี่ ข้ายังพูดตามนั้น เกิดจินตู๋อีคนนี้ทำไม่ได้ล่ะ”

ระหว่างเจ็ดสำนักใหญ่มีการประชันอันไร้รูปกันเองอยู่

แต่ในช่วงหลายปีนี้ สำนักยุทธ์ว่างเปล่าอยู่บนบัลลังก์ของสำนักอันดับหนึ่งแห่งแคว้นเมฆาอย่างมั่นคงมาตลอด ดังนั้นจึงทำให้ยามเถาซงถิงเผชิญหน้ากับพวกหงอวี่จึงมีท่าทางเป็นผู้นำผู้สูงส่งอยู่กลายๆ

อวี๋ฮูหยินชื่นชมจินตู๋อีก็ช่างเถอะ หงอวี่ดันมาขัดคอตนเอาตอนนี้อีก นี่ทำให้ในใจเถาซงถิงก็ออกจะไม่ชอบใจอยู่บ้าง

“เหอะๆ แบบนี้ดีไหม ข้ากับพี่เถาก็พนันกันสักตั้งเป็นอย่างไร ถ้าจินตู๋อีถูกคัดออกในการคัดเลือกรอบแรกนี้ ข้าก็จะมอบสิ่งนี้ให้พี่เถา”

หงอวี่พูดพลางพลิกฝ่ามือ แล้วหยกสมบัติสีเทามอซอก้อนหนึ่งก็ปรากฏขึ้น บนนั้นมีสายเลือดเป็นริ้วๆ ปรากฏอยู่รางๆ กลิ่นอายคลุมเครือ

หยกประดับโลหิตจักรพรรดิ!

บุคคลระดับกึ่งจักรพรรดิอย่างหญิงชุดเขียวล้วนมีสีหน้าแตกต่างกันไป นี่เป็นสมบัติที่มีโลหิตสมบัติมหาจักรพรรดิอยู่ชิ้นหนึ่ง มูลค่าควรเมือง เพียงพอจะทำให้กึ่งจักรพรรดิใจเต้นและตาลุกวาวได้

เถาซงถิงก็ชะงักไป ในใจยิ่งไม่พอใจ นี่หงอวี่อยากจะขัดคอเขาจริงๆ ใช่ไหม

หงอวี่คล้ายไม่ได้สังเกตเห็นความไม่พอใจของเถาซงถิง ยิ้มเอ่ยว่า “ถ้าข้าชนะแล้ว พี่เถาก็ต้องมอบปิ่นที่ปักผมอยู่ให้ข้าเป็นอย่างไร”

“ได้!”

เถาซงถิงหัวเราะหยันรับปาก

เขาสวมชุดแดงดุจเพลิง ผมขาวดั่งหิมะ ปักปิ่นไม้สีหมึกสลักด้วยลายมรรคเป็นริ้วๆ เก่าแก่ลุ่มลึกเล่มหนึ่ง

ปิ่นไม้เล่มนี้เป็นสมบัติอัศจรรย์ชิ้นหนึ่ง มีนามว่า ‘ปิ่นไม้มงคล’ หากประดับไว้กับตัวจะทำให้จิตวิญญาณใสสะอาด หกรับรู้แจ่มกระจ่าง

ตอนฝึกปราณยิ่งมีคุณประโยชน์ป้องกันมารภายนอก เป็นสมบัติหายากที่ผู้แข็งแกร่งใช้ขัดเกลาจิตใจชิ้นหนึ่ง

เพียงแต่เถาซงถิงกลับคิดไม่ถึง ว่าเจ้าหงอวี่นี่ไม่เพียงขัดคอตน ยังออกความคิดเรื่องปิ่นไม้มงคลเล่มนี้ด้วย นี่ทำให้เขาสีหน้าไม่น่าดูเล็กน้อย

เพราะการพนันนี้ทำให้ระดับกึ่งจักรพรรดิคนอื่นต่างสนใจหงอวี่มากขึ้นอย่างอดไม่ได้ หรือเจ้าหมอนี่จะรู้ตื้นลึกหนาบางบางอย่างของจินตู๋อี

“พี่หงอวี่ ต่อให้สุดท้ายเจ้าชนะ จินตู๋อีคนนี้เจ้าก็แย่งข้าไปไม่ได้”

อวี๋ฮูหยินที่แต่งกายชุดเขียวทั้งตัวยิ้มหวาน พูดแหย่ว่า “ถ้าไม่เช่นนั้นข้าคงต้องสู้สุดตัวกับเจ้า”

หงอวี่ยิ้มละไม

เถาซงถิงยิ่งรู้สึกขัดตาหงอวี่

ละครคั่นฉากนี้ก็ทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับกึ่งจักรพรรดิคนอื่นที่อยู่ในที่นั้นเริ่มปันใจมาสนใจการต่อสู้ของหลินสวินบ้าง

และในตอนนี้ คู่ต่อสู้คนที่สองขึ้นสังเวียนมาห้ำหั่นกับหลินสวินแล้ว

คนผู้นี้เป็นคนรุ่นอาวุโส มีนามว่าหวังเจินหยาง ยอดราชันอริยะขั้นสมบูรณ์ แม้ไม่เคยเหยียบย่างขอบเขตมกุฎ แต่ไม่ว่าจะเป็นมรรควิถีหรือว่าฝีมือการต่อสู้ ล้วนใช้คำว่าเจนจัด ลึกล้ำและน่ากลัวมาบรรยายได้

ในระดับเดียวกัน บรรลุขอบเขตมกุฎหรือไม่ก็เหมือนสวรรค์กับผืนดิน นำมาเทียบกันได้ยาก

แต่ความแข็งแกร่งของพลังต่อสู้ที่หวังเจินหยางสำแดงออกมาเหนือความคาดหมายของหลายคนโดยสิ้นเชิง กระทั่งทำให้หน้าเปลี่ยนสี

สาเหตุก็เพราะหวังเจินหยางควบคุมพลังมหามรรคได้อย่างจัดเจนเกินไ เหมือนเข้าขั้นสมบูรณ์แบบล้ำเลิศเป็นที่สุด

โดยเฉพาะ ‘อาภรณ์สวรรค์ไร้ตะเข็บ’ เขตแดนมรรคที่เขาใช้มือเดียวควบรวมขึ้นมา คล้ายตาข่ายสวรรค์ แผ่กระจายแต่ไม่รั่ว เผยลักษณะสมบูรณ์เป็นหนึ่งเดียว

แม้หลินสวินมีวิธีเอาชนะอยู่ก่อนแล้ว แต่กลับร่ำไรออมมือ สาเหตุก็เพราะขณะที่ต่อสู้แลกเปลี่ยนวิชากับหวังเจินหยาง ทำให้เขาได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ไปไม่น้อย ในใจเกิดการหยั่งรู้มากมาย

กระทั่งเขายังออกจะคิดไม่ถึงว่าคนรุ่นอาวุโสที่ไม่ได้ทะลวงขอบเขตมกุฎคนหนึ่ง เหตุใดถึงควบคุมมหามรรคได้อย่างอัศจรรย์ถึงขนาดนี้

เวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป

หวังเจินหยางยิ้มขื่นสายหัว ออกตัวยอมแพ้ “สหายน้อยคนเดียวสามารถกำราบสิบคน ทำลายมรรคและวิชาของข้าได้โดยสมบูรณ์ แต่กลับอ่อนข้อถึงตอนนี้ ข้าคนแซ่หวังสู้ต่อไปก็ไม่รู้ดีชั่วแล้ว”

“วิชาต่อสู้ของผู้อาวุโสอัศจรรย์นัก ถ้ามีพลังขอบเขตมกุฎ เกรงว่าข้าน้อยคงครองความได้เปรียบยากนัก”

หลินสวินเอ่ยพลางกุมมือคารวะ

พอพูดถึงขอบเขตมกุฎ ดวงตาหวังเจินหยางก็ฉายแววหม่นหมอง ถอนหายใจแล้วหันหลังจากไป

นานมาแล้ว เดิมเขาก็เป็นผู้กล้าแห่งยุคที่มีชื่อเสียงเหนือดินแดนแถบหนึ่ง มีคุณสมบัติเพียงพอจะเหยียบย่างขอบเขตมกุฎ แต่เพราะตอนทะลวงระดับถูกศัตรูลอบโจมตีจนสูญเสียมกุฎมรรคา!

ไม่ถึงกับแค้นมากมาย แต่ทุกครั้งที่นึกขึ้นได้ ในใจก็จะเสียใจอย่างเลี่ยงไม่ได้

นี่ก็คือพลาดก้าวเดียวก็พลาดทุกก้าว!

การเสาะแสวงมหามรรคก็ไร้ความปรานีและโหดร้ายเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร

“สหายน้อย จะยินดีฟังคำของคนที่พลาดหวังจากมรรคาคนหนึ่งหรือไม่”

จู่ๆ หวังเจินหยางที่เดินลงจากสังเวียนก็หมุนตัวมา

หลินสวินพยักหน้า

“จำไว้ การชิงชัยของมหามรรค จะยอมถอยไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว!”

หวังเจินหยางพูดชัดถ้อยชัดคำ วาจาเฉียบขาด

พูดจบเขาก็หันกายจากไป

หลินสวินรู้สึกซาบซึ้งอยู่ในใจ กุมมือคารวะให้แผ่นหลังของหวังเจินหยางอยู่ไกลๆ

แต่น่าเสียดาย คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจถึงสาเหตุของเรื่องนี้ เห็นแค่หวังเจินหยางยอมแพ้ คนไม่น้อยต่างหัวเราะขรมขึ้นมา

คิดว่าเขาเป็นคนรุ่นอาวุโสคนหนึ่งยังไม่รู้จักประมาณตน เข้าร่วมการคัดเลือกเช่นนี้ เดิมก็หมดสง่าพอแล้ว ตอนนี้ยังแพ้อีก นี่ไม่ใช่หาเรื่องยุ่งยากให้ตัวเองหรือ

นี่ก็คือมุมมองของคนในโลก

ความผิดหวัง อ้างว้างและขมขื่น คนที่อยากดูเรื่องสนุกล้วนคร้านจะสนใจ

แต่ในใจหลินสวินกลับมีความรู้สึกที่พูดไม่ถูก หวังเจินหยางคนนี้… ต่อให้ไม่ได้บรรลุขอบเขตมกุฎ แต่มรรคาของเขาในภายหน้าจะต้องไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้แน่!

ความจริงแล้วแปดพันปีต่อมา เมื่อหวังเจินหยางที่ถูกยกให้เป็น ‘จอมจักรพรรดิเจินหยาง’ พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตเรื่องนี้ ก็เจือแววทอดถอนใจอย่างบอกไม่ถูก

ก็เพราะในวันนั้นเอง เขารับรู้ได้อย่างลึกซึ้งว่าชายหนุ่มที่ปรากฏตัวในฐานะ ‘จินตู๋อี’ ความสำเร็จในภายภาคหน้าต้องเกินจินตนาการแน่

ดังคาด กาลเวลาในภายภาคหน้า ถูกเขาพยากรณ์ออกแล้ว!

……

ในการประลองรอบที่สาม คู่ต่อสู้ของหลินสวินเป็นหญิงงามคนหนึ่ง มีดวงตาโตกระจ่างใสไร้พิษสงคู่หนึ่ง แต่เรือนกายกลับร้อนแรงยั่วยวน เนินอกสูงเด่น ทันทีที่ปรากฏตัวก็ดึงดูดสายตาในที่นั้นไม่รู้เท่าไร

“คุณชาย บ่าวเข้าร่วมงานชุมนุมเช่นนี้เป็นครั้งแรก ใจก็ให้ตื่นเต้นนัก อีกเดี๋ยวท่านคงต้องออมมือเสียหน่อยนะเจ้าคะ”

นางมีรูปลักษณ์งดงามอ่อนหวาน เสียงใสดั่งนกน้อยน่ารัก ทำให้ผู้ชมการต่อสู้บางคนใจอ่อนยวบแล้ว

หลินสวินร้องอ้อครั้งหนึ่ง เอ่ยว่า “ได้สิ”

หญิงสาวดวงตาเปล่งประกาย รอยยิ้มละลายใจ “คุณชายเป็นคนดีจริงๆ เช่นนั้นบ่าวก็จะลงมือแล้วนะเจ้าคะ”

เงาร่างนางพริบวาบเหมือนหมอกควันมายา ฝ่ามือตบไปยังหลินสวิน

ตูม!

ห้วงอากาศเหมือนหิมะน้ำแข็งที่จับตัวกันระเบิดออกในทันใด รับกลิ่นอายอหังการของพลังต่อสู้เช่นนี้ไม่ไหว พอพินิจดู ฝ่ามือนี้กลับมอบไอหนาวเหน็บชนิด ‘น้ำแข็งผนึกพันลี้ สรรพสิ่งวอดวาย’

นี่เห็นได้ชัดว่าผสานนัยเร้นลับของ ‘เขตแดนมรรค’ เข้าไปในฝ่ามือนี้!

หลายคนต่างตกตะลึงอ้าปากค้างไม่หยุด

หลินสวินเห็นดังนี้ ก็ตบฝ่ามือออกมาทีหนึ่งเช่นกันโดยไม่มองสักนิด

ทั้งสองปะทะกัน พลังฝ่ามือที่ดุจเหนี่ยวนำแดนหิมะน้ำแข็งมาเยือนนั้นก็คล้ายละลายในน้ำ สลายไปโดยสมบูรณ์ภายใต้พลังฝ่ามือหลินสวิน

ปึง!

เงาร่างหญิงงามคนนั้นถูกตบกระเด็นออกจากสังเวียนอย่างจังเหมือนว่าวสายป่านขาด เลือดกบปากจมูก ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ร่างขาวปลอดดั่งหิมะน่าเย้ายวนกระตุกเพราะเจ็บปวดแสนสาหัส

ทั้งที่นั้นงุนงง

เสียงสูดหายใจเย็นไหวกระเพื่อมขึ้นในตอนนี้

คนงามสะสวยผู้น่าเย้ายวนเช่นนั้นคนหนึ่ง จินตู๋อีคนนี้ดันลงมือได้ลงหรือ

หนำซ้ำยังร้ายกาจปานนี้ ไม่ปรานีสักนิด!

แน่นอนว่าที่น่าสะท้านใจที่สุดก็คือ ฝ่ามือเดียวของหลินสวินไม่เพียงทำให้ผู้หญิงคนนี้บาดเจ็บสาหัส ยังกำราบนางในการโจมตีเดียว แพ้การต่อสู้นี้อย่างราบคาบ!

นี่เป็นสิ่งที่ใครก็คิดไม่ถึง

“เจ้าโหดนัก!”

นอกสังเวียน หญิงสาวผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ตาโตๆ ที่เดิมกระจ่างใสไร้พิษสงเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชัง กัดฟันแทบแตก

“เป็นเจ้ามากเล่ห์เกินไปต่างหาก”

บนสังเวียน หลินสวินพลิกนิ้วมือ เผยให้เห็นเข็มเทพบางเท่าขนวัว แทบโปร่งใสเล่มหนึ่ง เปล่งประกายพร่าเลือนลวงตา

“ถ้าข้าดูไม่ผิด สมบัตินี้น่าจะชื่อ ‘เข็มวิญญาณพิฆาตจิต’ แปดเปื้อนกลิ่นอายทำลายล้างพิบัติภัย ทันทีที่ถูกทิ่ม อาจจะไม่ตายในเวลาสั้นๆ แต่ไม่เกินสามเดือนพลังจิตจะถูกกัดเซาะ แปรเปลี่ยนเป็นเถ้าธุลีแล้วตายอย่างกะทันหัน”

หลินสวินดวงตาดำลุ่มลึก เอ่ยปากเย็นชาว่า “ตอนเจ้าลงมือก่อนหน้านี้ เอาสมบัตินี้ซ่อนอยู่ที่ปลายผมแล้วแทงออกมาเงียบๆ ถ้าไม่ใช่ว่าข้าป้องกันไว้ก่อน เกรงว่าคงโดนไปแล้ว”

คำพูดเดียวทำให้คนไม่น้อยหน้าเปลี่ยนสี รับรู้ได้ในยามนี้ว่าเหตุใดจินตู๋อีพอลงมือถึงเหี้ยมโหดปานนี้ ที่แท้หญิงสาวงดงามที่ดูบริสุทธิ์ วิธีต่อสู้กลับแทงข้างหลังและชั่วร้ายปานนี้!

บนที่นั่งผู้คุมการทดสอบ พวกเถาซงถิง หงอวี่ต่างก็ประหลาดใจ แววตาที่มองผู้หญิงคนนั้นล้วนเปลี่ยนไปแล้ว

เข็มวิญญาณพิฆาตจิต!

สมบัติชั่วร้ายปานนี้ มีเพียงในโลกมืดเท่านั้นถึงมีคนหลอมโดยเฉพาะ!

“ฝากไว้ก่อนเถอะ!”

หญิงสาวเห็นว่าวิธีของตนถูกเปิดเผย สีหน้าก็คล้ำเขียวขึ้นมา นางกวาดมองหลินสวินอย่างเย็นชาปราดหนึ่งก็หันกายจากไปอย่างรวดเร็ว

‘วิธีการที่ผู้หญิงคนนี้ใช้คงเป็นวิธีต่อสู้ของโลกมืด แต่คงไม่ได้พุ่งเป้ามาที่ข้าโดยเฉพาะ…’

ระหว่างที่มองผู้หญิงคนนี้จากไป หลินสวินก็ตัดสินออกมา

ผู้หญิงคนนี้ถ้าไม่ใช่มาจากโลกมืด เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าไม้ตายที่นางซ่อนไว้อย่างดียิ่งจะถูกเขามองออกและเปิดโปง

ก็เป็นการไปซื้อเข็มวิญญาณพิฆาตจิตมาจากที่ไหนสักที่

——