ตอนที่ 3570

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 3570 : หวังว่าคนที่หนุนหลังจะช่วยได้

 

เขตที่ 2 ของภาคเหนือนั้น เป็นเพียงหนึ่งในหลายๆเขตของภาคเหนือเท่านั้น ไม่ได้ถือว่าเป็นเขตที่สลักสําคัญอะไรมากมาย

 

สุดท้ายมันก็เป็นดั่งสถานที่เล็กๆอีกแห่งในสมรภูมิ 9 ยมโลก

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่นานมานี้อยู่ดีๆก็เริ่มมีคนพูดถึงเขตที่ 2 ของภาคเหนือกันมากขึ้น เนื่องเพราะได้เกิดเรื่องราวบางอย่างขึ้นที่นั่น…พันธมิตรอุดรลี้ลับ แต่เดิมที่เป็น 1 ใน 3 กองกําลังที่ 1 แข็งแกร่งที่สุด อยู่ๆก็ได้กวาดล้างอีก 2 กองกําลังจนสิ้นซาก ลบพันธมิตรเมฆามสารทกับพันธมิตรขุนเขาออกจากสมรภูมิ 9 ยมโลก!

 

หลังจากนั้นพันธมิตรอุดรลี้ลับก็กลายเป็นกองกําลังใหญ่เพียงหนึ่งเดียวในพื้นที่เขต 2 ของภาคเหนือ

 

ถึงแม้ในภาคเหนือ จะมีกองกําลังที่แข็งแกร่งและปกครองเขตต่างๆมากมาย

 

อย่างไรก็ตาม ปกติแล้วแต่ละเขตนั้นมักไม่ปรากฏผู้ที่ครองอํานาจเบ็ดเสร็จ จะอยู่ในรูปแบบถ่วงดุลและคานอํานาจกันมากกว่า กรณีที่อยู่ๆก็มีกองกําลังที่สามารถฮุบกลืนกองกําลังอื่นๆในเขตได้เหมือนพันธมิตรอุดรลี้ลับ ไม่ได้เกิดให้เห็นบ่อยนัก

 

“พันธมิตรอุดรลี้ลับที่ว่าไม่ใช่ก็มีเทพสงคราม 8 ดาราแค่ 2 คนหรือไร? และหากข้าจําไม่ผิดจะพันธมิตรเมฆยามสารทก็ดี หรือพันธมิตรขุนเขาก็ดี ล้วนมีเทพสงคราม 8 ดาราในกองกําลัง 2 คนเหมือนๆกัน หากพวกมันตระหนักถึงอันตราย และเลือกจะร่วมมือกันก็เท่ากับมี 4 เทพสงคราม 8 ดาราเช่นนั้นเรื่องจะร่วมมือกันทําลาพันธมิตรอุดรลี้ลับยังยากอะไร ไฉนพันธมิตรอุดรลี้ลับกลับเป็นฝ่ายทําลายพวกมันแทน?”

 

พอข่าวเรื่องราวดังกล่าวจากเขต 2 ภาคเหนือเริ่มแพร่ไปถึงเขตอื่นในภาคเหนือ หลายคนก็พบว่าเรื่องราวมันแปลกประหลาดจริงๆ

 

อย่างไรก็ตามพอคนพูดกันมากเข้า ก็มีหลายคนที่อดสงสัยไม่ไหว เดินทางไปยืนยันความจริงถึงเขต 2 ภาคเหนือด้วยตัวเอง จนพบว่าเรื่องราวที่ฟังดูเหมือนแปลกประหลาดนั้น…ที่แท้กลับเกิดขึ้นแล้วจริงๆ!

 

“ที่แท้สาเหตุที่พันธมิตรอุดรลี้ลับสามารถทําลายพันธมิตรเมฆามสารทกับพันธมิตรขุนเขาได้ ตัวแปรสําคัญอยู่ที่ผู้คุมกฎอาวุโสที่อยู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นในพันธมิตรอุดรลี้ลับคนเดียว! เห็นว่าผู้คุมกฏอาวุโสคนนั้น สามารถเข่นฆ่าผู้นําของพันธมิตรเมฆยามสารทได้ในพริบตา จากนั้นก็ลงมือเช่น ฆ่าผู้นําของพันธมิตรขุนเขา ก่อนจะจบชีวิตรองผู้นําที่เหลือของ 2 กองกําลังได้ในเวลาแค่ไม่กี่ลมหายใจ…การลงมือนับว่าราบรื่นหมดจด จนอีกฝ่ายไม่มีแม้แต่โอกาสต่อสู้”

 

หลังจากข่าวเรื่องนี้แพร่ออกมา ทุกคนก็ตะลึงกันนัก

 

ผู้นําพันธมิตรเมฆยามสารทกับผู้นําพันธมิตรขุนเขา ก็นับเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงพอตัวในภาคเหนือเป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงเทพสงคราม 8 ดารา ทว่าตัวตนเช่นนั้นกลับถูกฆ่าทิ้งอย่างไร้หนทางตอบโต้?

 

“ให้ตายเถอะ เรื่องแบบนี้ต่อให้เป็นยอดฝีมือเทพสงคราม 8 ดารา ก็ไม่น่าจะกระทําได้มิใช่หรือไร? เป็นไปได้หรือไม่ที่อาวุโสคุมกฏของพันธมิตรอุดรลี้ลับนั่นที่แท้จะเป็นถึงเทพสงคราม 9 ดารา?”

 

“นั่นสิ หากเป็นเทพสงคราม 9 ดารา จะทําอะไรแบบนั้นได้ก็คงไม่แปลก

 

“ไม่ ข้าได้ยินคนของพันธมิตรอุดรลี้ลับที่อยู่ในเหตุการณ์เล่ามาเอง ผู้คุมกฎอาวุโสลีกลับคนนั้นยังไม่ใช่เทพสงคราม 9 ดาราแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นอย่าว่าแต่ในภาคเหนือ กระทั่งภาคกลางเองยังมีเทพสงคราม 9 ดาราไม่กี่คน และทั้งหมดล้วนเป็นที่รู้จักกันดี”

 

พอหลายๆคนได้รู้ว่าผู้คุมกฏอาวุโสของพันธมิตรอุดรลี้ลับเป็นเพียงเทพสงคราม 8 ดารา ก็อดบังเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาไม่ได้

 

“ในปัจจุบัน…หากพูดกันแล้ว ในระดับเทพสงคราม 8 ดาราที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในสมรภูมิ 9 ยมโลก คนที่ทําอะไรแบบนั้นได้ นอกจากผู้คุมกฏอาวุโสของพันธมิตรอุดรลี้ลับ ก็เห็นทีจะมีแต่หรู่หลง ผู้นําคนที่ 2 ของพันธมิตรฟานเทียน อดีตผู้ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นอันดับ 1 ใต้เทพสงคราม 9 ดาราที่พึ่งตายไปไม่นาน กับอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่ฆ่าหวู่หลงกระมัง?”

 

“ไม่ผิด! หากผู้คุมกฎอาวุโสของพันธมิตรอุดรลับมีพลังระดับนั้นจริง กล่าวได้ว่ามันสมควรเป็นยอดฝีมือเทพสงคราม 8 ดาราที่ทัดเทียมกับหอู่หลง รวมถึงต้วนหลิงเทียนรองผู้นําพันธมิตรสวรรค์ที่เป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ผู้นั้น”

 

“ว่าแต่เจ้าที่ไปสืบข่าวถึงพันธมิตรอุดรลี้ลับมาแบบนี้ รู้หรือไม่ว่าผู้คุมกฏอาวุโสที่ว่าชื่ออะไร?”

 

“ข้าได้ยินมาว่ามันชื่อ ลี่เฟิง”

 

ด้วยเหตุนี้ไม่นานนักในภาคเหนือก็เริ่มปรากฏคนพูดถึงชื่อลี่เฟิงบ่อยขึ้น ต่อมานามดังกล่าวก็เสมือนดาวรุ่งที่อยู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นมาในฉับพลัน คนของภาคเหนือหากไม่ใช่บิดด่านหรือปลีกวิเวกไม่สุงสิงกับใคร ยากนักที่จะไม่ได้ยินชื่อดังกล่าว

 

ถึงขั้นที่ว่าชื่อลี่เฟิงไม่เพียงแต่จะรู้จักกันทั้งภาคเหนือเท่านั้น ชื่อเสียงยังเริ่มแพร่กระจายออกไปยังภาคต่างๆของสมรภูมิ 9 ยมโลกแล้ว กระทั่งภาคกลางเองก็ไม่เว้น

 

คนของพันธมิตรฟานเทียนเองก็ได้ยินข่าวลือเรื่องนี้

 

เป็นธรรมดาว่ากว่าข่าวเรื่องราวจะแพร่มาถึงพันธมิตรฟานเทียน มันก็ผ่านไปกว่าครึ่งปีแล้วนับตั้งแต่วันที่ลี่เฟิงผู้คุมกฏอาวุโสของพันธมิตรอุดรลี้ลับ ลงมือสังหารเทพสงคราม 8 ดาราทั้ง 4 ได้ในเวลาไม่กี่ลมหายใจ

 

ตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา บรรยากาศภายในพันธมิตรฟานเทียนนั้นสงบเงียบลงอย่างประหลาด

 

เพราะสมาชิกของพันธมิตรฟานเทียนนั้นง่วนอยู่กับการทําสิ่งหนึ่งมาตลอด 6 เดือนที่ผ่าน นั่นก็คือการสืบหาเบาะแสของต้วนหลิงเทียน ศิษย์ที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวของจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยาง! เพราะตราบใดที่สามารถหาเบาะแสของต้วนหลิงเทียนได้ จะได้รับรางวัลจากจักรพรรดิสวรรค์ชี้ฟานเทียนอย่างงาม!!

 

และในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา วิหารเฟิงฮ่าวก็ได้ส่งคนมาสมทบที่พันธมิตรฟานเทียนไม่น้อย ในบรรดาผู้มาสมทบยังมีชนชั้นเทพสงคราม 9 ดาราคนหนึ่ง

 

และตัวตนระดับเทพสงคราม 9 ดาราที่ทางวิหารเฟิงฮ่าวส่งมา ก็เป็นถึงจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาว่านโช่วเทียน แถมยังเป็นคนที่อยู่ในรุ่นเดียวกับหวูหงชิงจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักอีกด้วย ที่สําคัญคือทคู่เป็นสหายสนิทกัน!

 

เนื่องเพราะทั้งคู่รู้จักกันตั้งแต่ยังเด็ก และเติบโตขึ้นมาในวิหารเฟิงฮ่าวเหมือนกัน จึงทําให้สนิทสนมกันไม่น้อย

 

เพียงแค่ยิ่งมาพรสวรรค์ของหวูหงชิงยิ่งเปล่งประกาย ทําให้ปัจจุบันหวูหงชิงได้บรรลุถึงขอบเขตราชาเทพ แถมยังดํารงตําแหน่งจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักไปแล้ว ส่วนจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาวานโซ่วเทียนที่ว่า ก็ยังติดอยู่ในขอบเขตครึ่งก้าวเทพเท่านั้น ขาดแค่อีกก้าวเดียวก็จะบรรลุถึงขอบเขตเทพได้ แต่หนึ่งก้าวสุดท้ายนี้กลับไม่อาจข้ามผ่านได้แม้จะผ่านไปเนิ่นนาน

 

จ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาว่านโซ่วเทียนดังกล่าวมีชื่อว่า เยว่เขาฉวิน มันมีรูปลักษณ์เป็นชายวัยกลางคน หน้าตาแลดูธรรมดาไม่อ้วนไม่ผอม ไม่คล้ายมีพิษมีภัยต่อสิ่งมีชีวิตอย่างไรก็ตาม มันก็เป็นถึงเทพสงคราม 9 ดารามือดีคนหนึ่ง!

 

คราวนี้หวูหงชิงก็ได้ขอให้มันมาช่วยหมีชวนโดยอาศัยฐานะสหาย ไม่ได้เป็นการออกคําสั่งในฐานะจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก เพราะสุดท้ายตัวตนของหมีซวนก็ค่อนข้างพิเศษ

 

ท้ายที่สุดแล้วหมีชวนนั้น ก็ได้ช่วงชิงรางถังซานเปา ซึ่งเป็นถึงอดีตนายน้อยของวิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก

 

“ใต้เท้าหมี่ชวน”

 

ในค่ายพันธมิตรฟานเทียน ถึงแม้เยว่เขาฉวินกับหมี่ซวนจะพักอยู่ใกล้ๆกัน ทว่าหลังจากเจอกันครั้งแรกแล้ว นี่ก็เป็นครั้งที่ 2 เท่านั้นที่เยว่เชาฉวินพบเจอหมี่ซวน และยังเป็นครั้งแรกที่มันมาหาหมีชวนถึงที่พัก

 

ก่อนที่มันจะมา มันก็ได้รู้จากสหายสนิทอย่างหรูหงชิงแล้ว

 

ถึงแม้ร่างเบื้องหน้าจะเป็น ถังซานเปา อดีตนายน้อยของวิหารเชิงฮ่าวสาขาหลัก แต่อีกฝ่ายไม่ใช่ถังซานเปาอีกต่อไป เป็นหมีชวนอดีตผู้นําเผ่าภูตของโลกแห่งความตาย!

 

ที่สําคัญที่สุดก็คือ

 

อีกฝ่ายเป็นถึงตัวตนขอบเขตราชาเทพอันทรงพลัง!

 

ถึงแม้ตัวมันเองจะเป็นเทพสงคราม 9 ดารา แต่ยามอยู่ต่อหน้าตัวตนอันทรงพลังอย่างหมีซวน มันก็ไม่อาจนับเป็นตัวอะไรได้

 

ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่ที่มันเข้าสู่สมรภูมิ 9 ยมโลกและได้พบเจอหมี่ซวน ท่าทีของมันก็แลดูอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่เสมอ ไม่กล้าละเลยอีกฝายแม้แต่นิดเดียว

 

บางทีในสมรภูมิ 9 ยมโลกแห่งนี้ อีกฝ่ายคิดจะฆ่ามันอาจไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างไรก็ตามหลังออกจากสมรภูมิ 9 ยมโลกเล่า? เพราะเป็นไปไม่ได้ที่มันจะอยู่ในสมรภูมิ 9 ยมโลกชั่วชีวิต

 

เมื่อออกไปด้านนอกสมรภูมิ 9 ยมโลก ตัวตนอันทรงพลังอย่างหมีชวน อาศัยแค่นิ้วเดียวก็ฆ่ามันให้ตายได้ง่ายๆ!!

 

“มีอะไร?”

 

หมีชวนเหลือบมองเยว่เชาฉวินด้วยสายตาเฉยเมย ท่าที่ราวเจ้าผู้อยู่เหนือมองข้าทาสบริวาร! อย่างไรเสียเทพสงคราม 9 ดาราในสายตามันก็ไม่ต่างอะไรจากมดตัวกระจ้อย เป็นธรรมดาว่าไม่คิดให้ค่า หรือแสดงท่าทีดีๆด้วย

 

“ใต้เท้าหมีซวน เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวที่กําลังโด่งดังจากเขต 2 ภาคเหนือ ปรากฏตัวคนชื่อ ลี่เฟิง ผู้คุมกฏอาวุโสของพันธมิตรอุดรลี้ลับขึ้น และแม้มันจะเป็นเพียงเทพสงคราม 8 ดารา แต่กลับมีพลังฝีมือถึงขั้นเข่นฆ่าเทพสงคราม 8 ดาราที่ใกล้จะเป็นชนชั้นยอดฝีมือถึง 4 คนลงได้ในพริบตา…”

 

เยว่เชาฉวินกล่าวออกมาตรงๆ

 

“แล้วอย่างไร”

 

พอหมี่ชวนกล่าวออกมาอีกครั้ง น้ําเสียงก็เผยให้เห็นถึงความรําคาญอยู่บ้าง เพราะกระทั่งเทพสงคราม 9 ดารามันยังไม่เห็นอยู่ในสายตา เช่นนั้นจะนับอะไรกับเทพสงคราม 8 ดารา

 

“ใต้เท้าหมีชวน จุดนี้เองที่ข้าน้อยเห็นว่ามีปัญหา”

 

เผชิญกับท่าที่แฝงรําคาญของหมี่ซวน เยว่เชาฉวินยังคงกล่าวเรื่องราวต่อด้วยท่าทีนอบน้อมอย่างอดทน “เพราะลี่เฟิงผู้นั้นมันสวมใส่ชุดคลุมลมดําปกปิดร่างกาย กระทั่งยังสวมหมวกฟางปกปิดใบหน้าเอาไว้ ยากที่ใครจะแลเห็นหน้าค่าตามันได้…”

 

“ข้ารู้สึกเหมือนมันตั้งใจปกปิดตัวตนเป็นพิเศษ…”

 

“นอกจากนั้น กฎที่มันใช้ยังเป็นกฎมิติ”

 

หากบอกว่าประโยคแรกๆของเยว่เชาฉวินหมี่ซวนยังไม่สนใจล่ะก็ พอหมีซวนได้ยินเรื่องที่อีกฝ่ายปกปิดตัวตนทั้งเก่งกฏมิติ ท่าที่รําคาญก็แปรเปลี่ยนไปเป็นสนใจ ลูกตายังหดเล็กลงเร็วไว

 

“เจ้าหมายความว่าลี่เฟิงผู้นี้ อาจเป็นต้วนหลิงเทียน?”

 

หมีชวนไม่ใช่ตัวโง่งม กลับกันด้วยความที่มันเป็นถึงอดีตผู้นําเผ่าภูต มันย่อมเฉลียวฉลาดไม่น้อย

 

“สมควรเป็นมัน”

 

เยว่เขาฉวินพยักหน้าพลางกล่าว

 

“จี้หยิ่งมันรู้เรื่องนี้แล้วหรือไม่?”

 

หมีชวนเอ่ยถาม

 

“รู้แล้ว”

 

เยว่เขาฉวินพยักหน้า “เรื่องนี้เป็นคนของจี้หยิ่งสืบทราบ และมันก็บอกให้ข้านําเรื่องนี้มาแจ้งต่อท่าน”

 

จี้หยิ่งตั้งแต่ที่พ่ายแพ้หมี่ซวนวันนั้น มันก็ไม่คิดจะมาพบหน้าหมี่ชวนอีกเลย หลังจากผ่านไปครึ่งปี แม้มันจะได้เบาะแสสําคัญมา แต่มันก็เลือกจะให้คนอื่นมาบอก ไม่มาด้วยตัวเอง

 

เห็นได้ชัดว่ามันไม่อยากเจอหน้าหมี่ซวน!

 

“หึ! มันยิ่งใหญ่นักหรือ ถึงกล้าไม่มาแจ้งเรื่องนี้กับข้าด้วยตัวเอง”

 

สองตาหมีชวนทอประกายเยียบเย็นเรืองวาบ ขณะเดียวกับที่มันแค่นคําสบถอย่างไม่พอใจ ร่า งก็อันตรธานหายไปจากสายตาของเยว่เขาฉวินในพริบตา

 

และจากทิศทางที่หมี่ซวนหายไป ก็ทําให้เยว่เขาฉวินอดสงสัยไม่ได้ “ทางนั้น ไม่ใช่ทิศทางของภาคเหนือมิใช่หรือไร?”

 

ค่ายของพันธมิตรฟานเทียนนั้นตั้งอยู่ในภาคกลางของสมรภูมิ 9 ยมโลก หากหมีชวนคิดจะไปพันธมิตรอุดรลี้ลับก็จําต้องขึ้นเหนือ แต่ทิศทางที่หมี่ซวนกําลังมุ่งหน้าไปตอนนี้ เห็นได้ชัดว่า เป็นทิศตะวันตกเฉียงใต้ที่คนละทางกันเลย จึงทําให้เยว่เขาฉวินอดลิ้งไปไม่ได้อยู่บ้าง

 

ทว่าพริบตาต่อมา เยว่เขาฉวินก็จดจําได้ทันที ว่าทิศทางดังกล่าวไม่ใช่ทิศทางที่มันพึ่งจากมาหรือไร? เป็นทิศทางที่ตั้งสถานที่พักฝึกฝนของผู้นําพันธมิตรฟานเทียน จี้หยิ่ง!

 

“ใต้เท้าหมีชวนผู้นี้คงไม่ใช่ไปสั่งสอนจี้หยิ่งหรอกนะ?”

 

เยว่เชาฉวินที่นึกอะไรได้ออกก็อึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เร่งรุดติดตามไปทันที

 

พอมาถึงสถานที่พักบ่มเพาะของจี้หยิ่ง มันก็พบว่าหมี่ซวนได้เห็นร่างสวนไปด้วยความเร็วสูง และทิศทางที่มุ่งหน้าไปคราวนี้ก็เป็นทิศเหนือแล้ว

 

ส่วนอีกด้าน จี้หยิ่ง ผู้นําพันธมิตรฟานเทียนตอนนี้ กําลังลอยร่างค้างกลางหาวด้วยสารรูปยับเยิน มันจับไหล่ตัวเองด้วยมือข้างหนึ่ง แขนข้างที่จับยังชุ่มโชกไปด้วยเลือด มุมปากยังปรากฏเลือดไหลย้อยเป็นสาย

 

“ผู้นําจี้หยิ่ง ไฉนถึง…”

 

เยว่เชาฉวินมองถามตาปริบๆ ใต้เท้าหมีชวนลงมือทุบตีผู้คนจริงๆ?

 

เพียงเพราะจี้หยิ่งไม่ไปแจ้งเบาะแสที่ได้รับมาด้วยตัวเอง ว่าลี่เฟิงผู้คุมกฏอาวุโสของพันธมิตรอุดรลับอาจจะเป็นต้วนหลิงเทียนที่ปกปิดตัวตน ก็บังเกิดความไม่พอใจจนมารังแกผู้คน?

 

“หึ!”

 

จี้หยิ่งพ่นลมสบถเสียงเย็น จากนั้นก็เหลือบมองเยว่เซาฉวินด้วยสายตาเย็นชา “พวกเจ้าวิหารเฟิงฮาวล้วนอารมณ์ร้ายกันนัก…ครั้งก่อนตอนหมี่ชวนมันทําร้ายข้า ข้ายังพอรับได้ เพราะข้าหาเรื่องมันเอง…”

 

“แต่คราวนี้อยูดีๆมันก็มาทุบตีข้าอย่างไรเหตุผล ข้าไม่มีวันปล่อยไปแน่!”

 

“ข้าจะบอกเรื่องนี้ต่อท่านอาจารย์ และให้ท่านอาจารย์ไปหาความกับวิหารเฟิงฮ่าวของพวกเจ้า!!”

 

กล่าวถึงประโยคท้าย สีหน้าของจี้หยิ่งก็มืดดําราวถ่านไหม้

 

เดิมที่จี้หยิ่งคิดว่า หลังเยว่เซาฉวินได้ยินสิ่งที่มันพูดแล้ว อีกฝ่ายจะขอโทษมันแทนหมี่ชวน ในฐานะคนของวิหารเฟิงฮ่าว เพื่อไม่ให้เรื่องราวบานปลาย…แต่สิ่งที่มันคิดไม่ถึงก็คือ หลังได้ยินคําพูดของมันแล้ว เยว่เชาฉวินกลับพยักหน้ากล่าวว่า “เอาสิ ผู้นําจี้หยิ่ง เรื่องนี้ข้าสนับสนุนท่าน หวังว่าอาจารย์ท่านจะช่วยได้”

 

ไปฟ้องจักรพรรดิสวรรค์จี้ฟานเทียน?

 

มีประโยชน์อันใด?

 

เยว่เขาฉวินลอบเย้ยหยันในใจ