ตอนที่ 1895 พลังต้นกำเนิดวีถียุทธ์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 1895 พลังต้นกำเนิดวีถียุทธ์
ตูม!

วิญญาณศึกหลอมมรรคที่สร้างขึ้นจากการวมตัวของกรวดทรายสีทองนับไม่ถ้วน ประหนึ่งวิญญาณศึกทองเหลืองมหึมาพุ่งโถมเข้าใส่

กลิ่นอายต่อสู้ที่น่าสะพรึงราวกับมรสุมกระโชก ทั้งที่มันไม่ใช่สิ่งมีชีวิต แต่กลับครอบครองมรรคและวิชาที่สะท้านโลกถึงขีดสุด

เหมือนเช่นเวลานี้ มันปล่อยหมัดหนึ่งออกมา พลังหมัดดุจมังกรยักษ์สีเหลืองขุ่น คำรามออกมา ปลดปล่อยพลังทำลายล้างที่ดับทลายไร้ทัดเทียม

และมีสัญญาณรางๆ อย่างหนึ่งว่าจวนจะควบรวมออกมาเป็นเขตแดนมรรค!

สิ่งนี้ทำเอาหลินสวินยังอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้

จากความเข้าใจของเขา วิญญาณศึกหลอมมรรคเพียงแค่วิวัฒน์มาจากพลังเร้นลับอย่างหนึ่งที่มีอยู่ในเจดีย์หลอมมรรคว่างเปล่าเท่านั้น

แต่ยามนี้ วิญญาณศึกหลอมมรรคตรงหน้านี้แทบจะกลายเป็นคนเป็นๆ แล้ว!

ปึง!

ขณะที่หลินสวินครุ่นคิด ฝ่ามือก็กดออกไป ซัดพลังหมัดของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดายยิ่งยวด จากนั้นเงาร่างพริบไหวทันใด ไปโผล่อยู่ที่เบื้องหน้าอีกฝ่ายแล้วชกหมัดออกไป

เสียงระเบิดอึกทึกกึกก้อง วิญญาณศึกหลอมมรรคที่ดุจดั่งมกุฎราชันอริยะก็ไม่ปาน ถูกหลินสวินซัดแหลกในหมัดเดียวเหมือนกระดาษเปื่อย

ท่ามกลางทรายเหลืองปลิวว่อน หัวคิ้วหลินสวินขมวดมุ่น รับรู้ได้อยากฉับไวว่าหลังจากวิญญาณศึกหลอมมรรคที่มีพลังเร้นลับนี้สลายไป ได้ผสานเข้าสู่ฟ้าดินแถบนี้

‘นั่นคงจะเป็นพลังของเจดีย์หลอมมรรคว่างเปล่ากระมัง…’

หลินสวินขบคิด

เขาไม่ได้ชักช้า มุ่งหน้าต่อไป

ไม่ทันไรกลางทรายเหลืองระฟ้า วิญญาณศึกหลอมมรรคตนหนึ่งควบรวมออกมาอีกครั้ง

ตูม!

กลิ่นอายของมันล้นฟ้า เหยียบย่างห้วงอากาศโถมเข้าใส่

ครั้งนี้ฝ่ามือหลินสวินคว้าหมับ โคจรพลังเขตแดนมรรคที่สำเร็จไปส่วนใหญ่ กลางฝ่ามือราวกับหุบเหวลึกไร้ก้น คว้าวิญญาณศึกหลอมมรรคเอาไว้โดยพลัน

ปึง!

ร่างกายมหึมาสีทองอร่ามของวิญญาณศึกหลอมมรรคแตกกระจุย กลายเป็นทรายเหลืองเต็มฟ้า

และพร้อมกันนั้น พลังเร้นลับคลุมเครือวูบหนึ่งยังไม่ทันผสานในฟ้าดิน ก็ถูกพลังหมัดของหลินสวินกลืนกินอย่างบ้าคลั่ง

จากนั้นกระแสร้อนระอุแปลกประหลาดวูบหนึ่งกลายเป็นพลังเร้นลับที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ทะลักเข้าสู่ภายในกายหลินสวิน

หัวใจหลินสวินกระตุกวูบ โคจรเคล็ดวิชาหลอมครรภ์เทพอวัยวะต้นห้า พลังเร้นลับสายนี้พลันทะลักเข้าสู่หัวใจ ‘ครรภ์เทพเพลิงแดง’ ที่แต่เดิมฟูมฟักอยู่ในนั้นเติบโตขึ้นด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า!

‘นี่เป็นพลังระดับใดกัน ถึงกับสามารถสร้างประสิทธิภาพน่าทึ่งปานนี้ในการหลอมวิชามรรค’

หลินสวินไหวหวั่นในบัดดล

พลังปราณ จำเป็นต้องอาศัยการเกื้อหนุนจากไอวิญญาณและโอสถเทพมาหลอมและเลื่อนระดับ

มหามรรค จำเป็นต้องหยั่งถึงพลังมหามรรคฟ้าดินเพื่อใช้ควบคุม

วีถียุทธ์ จำเป็นต้องอ่านศึกษาคัมภีร์มรรค อาศัยปรีชาญาณแห่งตนมาเคี่ยวกรำและพัฒนา

หลินสวินฝึกปราณจนป่านนี้ ยังไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีพลังรูปแบบไหนที่สามารถนำมาใช้เลื่อนระดับปราณวีถียุทธ์ได้ตรงๆ!

นี่น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว

‘บางที พลังลึกลับนี้ก็อาจมาจากเจดีย์หลอมมรรคว่างเปล่า…’

นัยน์ตาดำของหลินสวินทอประกาย

การเข้าร่วมการคัดเลือกรอบสองนี้ เดิมเขาก็ไม่ได้คาดหวังอะไร คิดแค่ว่าขอเพียงผ่านการทดสอบภายในเวลาหนึ่งก้านธูปก็พอแล้ว

แต่ยามนี้เขากลับค้นพบวาสนาชิ้นหนึ่ง!

เมื่อสังหารวิญญาณศึกหลอมมรรค สามารถเก็บพลังเร้นลับที่ช่วยเลื่อนระดับวีถียุทธ์ได้!

“ไป!”

หลินสวินมุ่งหน้าต่อไป ตอนที่เจอวิญญาณศึกหลอมมรรคตนที่สามก็ทำตามเดิมโดยไม่ลังเลสักนิด ยามสังหารคู่ต่อสู้ จะใช้พลังของเขตแดนมรรคกลืนกินพลังเร้นลับที่หลงเหลืออยู่

ดังคาด ในบริเวณหัวใจของเขา การหลอมครรภ์เทพเพลิงแดงรุดหน้าขึ้นอีกส่วน!

‘หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ยามไปถึงชั้นที่เก้า ไม่แน่ว่าจะสามารถทำให้ข้าหลอมกายมรรคเพลิงแดงออกมาได้…’

ในใจหลินสวินเหิมฮึก

เขาไม่เสียเวลาอีกต่อไป มุ่งหน้าเต็มกำลัง

……

ภายในเจดีย์หลอมมรรคว่างเปล่า

แดนลับทรายเหลืองชั้นแรกเช่นเดียวกัน เงาร่างลู่ตู๋ปู้พริบไหว รวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อ

ระหว่างทางทุกครั้งที่มีวิญญาณศึกหลอมมรรคขวางทาง ล้วนถูกเขาสังหารแหลกกระจุยในการโบกแขนเสื้อครั้งเดียว

เขาถึงขั้นคร้านจะเหลือบมองแม้แต่แวบเดียว ราวกับกำลังทำเวลา

ในฐานะผู้สืบทอดอันดับหนึ่งรุ่นปัจจุบันของสำนักยุทธ์ว่างเปล่า ลู่ตู๋ปู้ย่อมรู้ดี ว่าหลังจากสังหารวิญญาณศึกหลอมมรรคจะสามารถดูดซับพลังเร้นลับอย่างหนึ่งได้ มีประสิทธิภาพวิเศษอัศจรรย์อย่างที่สุดต่อการเลื่อนระดับวีถียุทธ์

แต่ลู่ตู๋ปู้ไม่ได้ใส่ใจด้วยซ้ำ

หรืออาจกล่าวว่า เขาไม่ชายตาแลวิญญาณศึกหลอมมรรคในชั้นแรกเลย

จุดประสงค์ของเขาคือการไปถึงชั้นเก้าภายในเวลาสั้นที่สุด จากนั้นก็ไปล่าสังหารวิญญาณศึกหลอมมรรคที่ชั้นเก้า เพราะมีแต่วิญญาณศึกหลอมมรรคของชั้นเก้าเท่านั้นจึงจะแข็งแกร่งที่สุด น่าทึ่งที่สุด!

นี่ก็คือข้อดีของผู้สืบทอดสำนักยุทธ์ว่างเปล่า สามารถรู้ข่าวสารภายในบางส่วนที่คนอื่นไม่อาจล่วงรู้ได้ล่วงหน้า

ดูเหมือนเป็นการแข่งขันที่ยุติธรรม แต่อันที่จริงก็ยังมีจุดแตกต่างกันอยู่

……

“เห พลังระดับนี้ช่างน่าสนใจซะจริง…”

ในเวลาเดียวกัน นัยน์ตาเซี่ยอวี่ฮวาฉายประกายวาววับขึ้นมา นางเองก็สัมผัสได้อย่างฉับไวถึงความวิเศษอัศจรรย์ของพลังเร้นลับสายนั้น

“ฮ่าๆ ถึงกับมีประโยชน์ต่อการเลื่อนระดับวีถียุทธ์!”

“เจดีย์หลอมมรรคว่างเปล่านี่สมกับเป็นสมบัติที่ถือกำเนิดจากแดนแห่งปริศนา”

“ต้องรีบทำเวลาไขว่คว้าแล้ว!”

พร้อมๆ กับเวลาที่เคลื่อนคล้อย บุคคลแห่งยุคอย่างหวังถู ผู้สืบทอดสำนักกระบี่จรดฟ้า หยวนเหอผู้สืบทอดสำนักธรรมคานาอัน หลังจากสังหารวิญญาณศึกหลอมมรรค ต่างก็ทยอยสัมผัสถึงการมีอยู่ของพลังเร้นลับนั่น

ชั่วขณะเดียวบุคคลแห่งยุคเหล่านี้ล้วนใจไหวสั่น เริ่มกอบโกยเต็มกำลัง

ส่วนผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ส่วนใหญ่ ล้วนไม่รับรู้เรื่องนี้เลย

หาใช่ตาไร้แวว แต่เพราะด้วยพลังของพวกเขา ยามที่สังหารวิญญาณศึกหลอมมรรคก็กดดันยิ่งอยู่แล้ว ไหนเลยจะไปคาดคิด ว่าหลังจากวิญญาณศึกหลอมมรรคเหล่านี้ที่ถูกโจมตีตายไปแล้ว ยังจะหลงเหลือพลังวิเศษอัศจรรย์บางส่วนอยู่อีก

ที่จุดสูงสุดของยอดเขาเซียนยุทธ์ บนแท่นหยกกลางอากาศ

เหล่าคนใหญ่คนโตที่เฝ้าสังเกตการเคลื่อนไหวภายในเจดีย์หลอมมรรคว่างเปล่ามาโดยตลอด ล้วนค้นพบจุดทะแม่งๆ บางส่วน ต่างเผยสีหน้าใคร่ครวญ

“พี่ก้วนซวี คนรุ่นเยาว์เหล่านี้กำลังเก็บอะไรกันอยู่หรือ”

มีคนอดเอ่ยถามไม่ได้

คนไม่น้อยต่างก็เผยสีหน้าสงสัยใคร่รู้เช่นกัน

ก้วนซวีก็ไม่ได้ปิดบัง ระบายยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “นี่คือพลังต้นกำเนิดวีถียุทธ์ พลังเร้นลับอย่างหนึ่งที่ก่อตัวภายในเจดีย์หลอมมรรคว่างเปล่า หากสามารถดูดซับไว้ได้ ก็จะมีส่วนช่วยยกระดับปราณวีถียุทธ์”

ผู้คนในที่นี้ต่างอดสูดหายใจไม่ได้

พลังที่สามารถเลื่อนระดับปราณวีถียุทธ์?

นี่หาได้ยากเกินไปแล้ว มูลค่าไม่อาจประเมินได้!

“พี่ก้วนซวีใจป้ำยิ่งนัก”

คนมากมายต่างรู้สึกทอดถอนใจ

ก้วนซวีกล่าวเรียบๆ “หนุ่มสาวเหล่านี้ ท้ายที่สุดก็เป็นผู้แข็งแกร่งในแคว้นเมฆาของพวกเรา มีคุณสมบัติเข้าร่วมการคัดเลือกรอบสองก็แสดงถึงความไม่ธรรมดาของพวกเขาแล้ว ตอนนี้แค่นำวาสนาบางส่วนออกมาเท่านั้น คิดเสียว่าเป็นของกำนัลที่สำนักยุทธ์ว่างเปล่าของข้าเตรียมไว้ให้คนรุ่นหลังเหล่านี้”

ประโยคเดียวกล่าวอย่างสวยหรู เปี่ยมความภูมิฐาน

นี่ก็คือรากฐานพลังของสำนักอันดับหนึ่งในแคว้นเมฆา ทำเอาบรรดาคนใหญ่คนโตในที่นี้ล้วนไม่อาจไม่จำนน

“ดูเร็ว นี่เพิ่งครู่เดียวเท่านั้น ลู่ตู๋ปู้ทะลวงขึ้นชั้นสองเป็นคนแรกแล้ว!”

มีคนโพล่งออกมาด้วยความตกใจ

ทันใดนั้นสายตาของทุกคนล้วนถูกดึงดูดไป มองไปยังม่านแสงขนาดมหึมานั่น

ลู่ตู๋ปู้นำหน้าคนอื่นจริงๆ ประหนึ่งห้อทะยานไม่เห็นฝุ่น ทะลวงเข้าสู่แดนลับของเจดีย์ชั้นที่สอง

คนที่ตามหลังเขาไม่ใช่เซี่ยอวี่ฮวา และไม่ใช่หวังถู แต่เป็นอู่หวงจากเกาะเทพเวหาทมิฬ!

สิ่งนี้ทำให้คนใหญ่คนโตมากมายต่างอดประหลาดใจไม่ได้ สายตาที่มองไปทาง ‘นักพรตหลัน’ ผู้นำเกาะเทพเวหาทมิฬล้วนเปลี่ยนไป

ควรรู้ว่าเกาะเทพเวหาทมิฬอยู่แค่อันดับสี่ในเจ็ดสำนักใหญ่ของแคว้นเมฆา ผู้สืบทอดในนั้นก็มีพวกโดดเด่นเหนือใครอยู่เหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่ล้วนด้อยราศีกว่าบุคคลแห่งยุคอย่างพวกเซี่ยอวี่ฮวา หวังถูอยู่บ้าง

แต่ยามนี้ อู่หวงจากเกาะเทพเวหาทมิฬถึงกับไล่หลังลู่ตู๋ปู้!

ขนาดเซี่ยอวี่ฮวา หวังถูยังเทียบไม่ติด!

แน่นอน นี่เป็นเพียงการวัดกันด้านความเร็วทะลวงด่านเท่านั้น ไม่ได้หมายถึงความแข็งแกร่งทั้งหมด แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ สิ่งที่อู่หวงแสดงออกมาก็ยังเรียกได้ว่าน่าทึ่ง

“ทุกท่านดูจินตู๋อีสิ ความเร็วในตอนนี้แม้จะรวดเร็วยิ่ง แต่กลับเรียกไม่ได้ว่าโดดเด่น ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาคว้าชัยเก้าสิบเก้าครั้งรวดได้อย่างไร หรือจะเป็นพวกชื่อเสียงไม่สมคำร่ำลือ เสแสร้งจอมปลอม”

จู่ๆ นักพรตหลันจากเกาะเทพเวหาทมิฬก็เอ่ยปาก คำพูดเจือแววเหยียดหยันอยู่เสี้ยวหนึ่ง

เดิมทีแค่การวิจารณ์คนรุ่นหลังคนหนึ่ง คนใหญ่คนโตในที่นี้ล้วนไม่ใคร่ใส่ใจนัก แต่ที่เหนือคาดคือ เวลานี้จู่ๆ เหิงเซียวจากสำนักยุทธ์เสวียนจีก็เอ่ยปากขึ้น

“นักพรตหลัน นี่เพิ่งเริ่มคัดเลือกเท่านั้น เกรงว่าท่านจะพูดไวไปหน่อย”

น้ำเสียงเรียบเฉย แต่กลับมีกลิ่นอายฟาดฟัน

นักพรตหลันแค่นหัวเราะ “อ้อ เช่นนั้นคงต้องคอยดูให้ดีจริงๆ เสียแล้ว ว่าสุดท้ายจินตู๋อีนี่จะเผยความสามารถได้ยอดเยี่ยมปานใด!”

เหิงเซียวสีหน้าไร้อารมณ์ คร้านจะใส่ใจ

ผู้คนในที่นี้ต่างวางตัวเป็นปกติ ความเคืองแค้นระหว่างสำนักยุทธ์เสวียนจีกับเกาะเทพเวหาทมิฬพวกเขาต่างรู้อยู่เต็มอก จึงไม่ได้ประหลาดใจด้วยซ้ำ

และเวลานี้หลินสวินที่อยู่ในเจดีย์ก็ได้เข้าไปชั้นที่สองแล้ว…

แดนลับหินหนืด!

ที่นี่เป็นโลกสีแดงเพลิงแห่งหนึ่ง กระแสธารหินหนืดตัดสลับไปมา ซัดสาดเดือดคลั่ง พัดเปลวเพลิงเป็นสายๆ แผดเผาจักรวาล

วิญญาณศึกหลอมมรรคที่กระจายตัวอยู่ในนี้ก็ราวกับมนุษย์ยักษ์หินหนืดคนแล้วคนเล่า ไม่ว่ากลิ่นอายหรือพลังต่อสู้ ล้วนแข็งแกร่งกว่าวิญญาณศึกหลอมมรรคในชั้นแรกช่วงใหญ่

จะผ่านด่านนี้ จำเป็นต้องสังหารวิญญาณศึกหลอมมรรคแปดตน

แต่น่าเสียดาย สำหรับหลินสวินแล้วก็ยังไม่น่าเกรงกลัว เขาโจมตีตลอดทาง อานุภาพดุจผ่าลำไผ่ แทบจะใช้กระบวนท่าเดียวจัดการคู่ต่อสู้ได้

สิ่งที่ได้รับในตอนสุดท้าย คือพลังต้นกำเนิดวีถียุทธ์รวมทั้งสิ้นแปดสาย!

เมื่อรับรู้ว่าครรภ์มรรคเพลิงแดงในหัวใจเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ในใจหลินสวินก็ค่อนข้างฮึกเหิม เขาคิดไม่ถึงว่าการเข้าร่วมการคัดเลือกรอบสอง จะถึงกับบังเอิญพบโชควาสนาที่วิเศษอัศจรรย์เช่นนี้

เขาไม่เสียเวลาคิดมากความอีก ย่างก้าวสู่ชั้นที่สามทันที

เพียงแต่เขาไม่ใช่คนแรกที่บุกขึ้นมาถึงชั้นที่สาม ก่อนหน้าเขา พวกลู่ตู๋ปู้ อู่หวง เซี่ยอวี่ฮวาล้วนมาถึงก่อนนานแล้ว

เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะหลินสวินกำลังสัมผัสการเปลี่ยนแปลงของครรภ์มรรคเพลิงแดง อีกทั้งเขาไม่ได้สนใจเรื่องประชันความเร็วสักนิด

สมาธิทั้งหมดล้วนอยู่ที่การทะลวงด่านและการสะสมพลังต้นกำเนิดวีถียุทธ์

……

“เวลาครึ่งเค่อ มีสิบเก้าคนไปถึงชั้นสาม”

โลกภายนอก คนใหญ่คนโตผู้หนึ่งทำการคาดเดาได้แม่นยำ คนที่อยู่ใกล้ๆ ต่างฉายแววประหลาดใจออกมา

ในบรรดาสิบเก้าคนนี้ มีทั้งผู้สืบทอดเจ็ดสำนักใหญ่ และอันดับหนึ่งจากสิบเขตเข้าร่วมต่อสู้ใหญ่อย่างพวกซูมู่หาน จินตู๋อี หลันอวิ๋นเคอเป็นต้น

อีกเก้าร้อยกว่าคนที่เหลือ ส่วนใหญ่ล้วนกระจายตัวอยู่ในชั้นหนึ่งและชั้นสอง

ภายในนั้น ยังอยู่ชั้นที่หนึ่งสี่ร้อยกว่าคน จากการสันนิษฐานของเหล่าคนใหญ่คนโตในที่นี้ ผู้แข็งแกร่งที่ติดค้างอยู่ที่ชั้นแรก เกรงว่าส่วนใหญ่จะตกรอบอย่างแน่นอน!

และเมื่อเวลาเคลื่อนคล้อย ฝีมือของลู่ตู๋ปู้ได้ดึงดูดความสนใจของคนใหญ่คนโตทุกคน

“ลู่ตู๋ปู้ไปถึงชั้นที่สี่แล้ว!”

“เขาไปถึงชั้นที่ห้าเป็นคนแรกอีกแล้ว!”

“ชั้นที่หกแล้ว!”

…เวลาเกือบสองเค่อ ยามได้เห็นลู่ตู๋ปู้นำโด่งเข้าสู่ชั้นที่หก คนใหญ่คนโตมากมายต่างตกใจ รู้สึกตื่นตาตื่นใจไปด้วย

ก็แม้แต่ก้วนซวียังแปลกใจ จากนั้นก็เผยรอยยิ้มอย่างเข้าใจออกมา ตู๋ปู้เจ้าหนุ่มคนนี้ คราวนี้เกรงว่าจะนำโดดเหนือผู้คนอีกแล้ว!

……………………..