ตอนที่ 3596

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 3596 : ความเปลี่ยนแปลง

 

สัตว์อสูรบนระนาบเทพนั้น เป็นสัตว์อสูรจริงๆ

 

ปกติแล้วสัตว์อสูรนั้นจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสายเลือดด้อยกว่าสัตว์อมตะหรือสัตว์เทพ…และในระนาบเทพ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อมตะหรือสัตว์เทพก็ล้วนมีสติปัญญา สามารถจำแลงกายเป็นมนุษย์ได้

 

ในระนาบเทพนั้น สัตว์ที่ไร้สติปัญญาจะถูกเรียกรวมว่าเป็นสัตว์อสูรหมด

 

แต่ค่า สัตว์อสูร ในระนาบเทวโลก จะใช้เรียกสัตว์ร้ายที่ไม่มีสติปัญญา ไม่ใช่แม้แต่สัตว์อมตะหรือสัตว์เทพและระดับพลังจะไม่ถึงขอบเขตเซียนอมตะ

 

ทว่าในระนาบเทพนั้น สัตว์อสูรที่ไม่มีสติปัญญาดังกล่าวไม่เพียงแต่จะมีระดับพลังถึงขอบเขตเซียนอมตะ แต่กระทั่งระดับเทพก็ยังมี และมีแม้แต่ระดับเทพขั้นสูงๆ!

 

ในระนาบเทพโดยพื้นฐานแล้ว สิ่งมีชีวิตที่ไร้สติปัญญาจะถูกเหมารวมว่าเป็นสัตว์อสูรทั้งหมด…มีเพียงสัตว์อสูรที่สามารถจำแลงกายเป็นมนุษย์ได้เท่านั้น ถึงจะถูกเรียกหาว่าเป็นสัตว์อมตะหรือสัตว์เทพ

 

เรื่องพวกนี้วารีเทพช่าระโลกาได้กล่าวบอกต่อด้วนหลิงเทียนมานานแล้ว เขาจึงรู้แต่แรก

 

และฟังจากที่วารีเทพชำระโลกาว่าไว้ นางสันนิษฐานว่าสัตว์อสูรที่ไร้สติปัญญาทั้งหลายในระนาบเทพอาจ เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดจงใจจับมันมาปล่อยไว้ในระนาบเทพ เพื่อให้มันดารงชีวิตตามสัญชาตญาณ คอยรักษาสมดุลของระบบนิเวศในระนาบเทพ

 

ว่ากันว่าสัตว์อสูรในระนาบเทพนั้น ตัวที่มีพลังร้ายกาจเข้าหน่อยอาจมีด่านพลังถึงขอบเขตจักรพรรดิเทพหรือแม่แต่อริยะเทพ

 

เป็นธรรมดาว่าหากพลังของพวกมันกล้าแข็งถึงขอบเขตจักรพรรดิเทพหรืออริยะเทพ ต่อให้มันจะเคยไร้สติปัญญามาก่อน แต่ในที่สุดมันก็จะก่อเกิดสติปัญญาขึ้นมาจนได้ เนื่องเพราะระดับจักรพรรดิเทพรวมถึงอริยะเทพ นั้น…ไม่อาจบรรลุถึงได้โดยสัญชาตญาณ!

 

หลังจากที่กำเนิดสติปัญญาแล้ว ด้วยความแข็งแกร่งของพวกมัน ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะจำแลงกายเป็นมนุษย์

 

“ระนาบเทพนั้นอาจวิวัฒนาการมาจากโลกใบเล็กของผู้แข็งแกร่งที่สุด…และสัตว์อมตะไร้สติปัญญาที่อยู่ในขอบเขตเทพ ก็อาจเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดเองที่จับพวกมันโยนเข้ามา เพื่อรักษาสมดุลของระบบนิเวศ

 

ตอนแรกที่ดินวารีเทพชำระโลกาเอ่ยถึงเรื่องนี้ ด้วนหลิงเทียนก็บังเกิดความย่าเกรงต่อผู้แข็งแกร่งที่สุดไม่น้อย

 

ในบรรดาระนาบเทพทั้งหลาย ยอดฝีมือนั้นมีมากมายดั่งหมู่เมฆ ผู้ที่ทรงพลังที่สุดก็เป็นชนชั้นอริยะเทพ และผู้ที่อ่อนแอที่สุดก็เป็นถึงเซียนอมตะแล้ว…แต่ทั้งหมดมาอาศัยและดำรงชีวิตอยู่ในสถานที่ๆคาดว่าน่าจะเป็นโลกใบเล็กภายในกายของผู้แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่ง?

 

พอคิดถึงจุดนี้ด้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงโลกใบเล็กภายในกายของตัวเอง

 

ถึงแม่โลกใบเล็กภายในกายเขาจะเต็มไปด้วยพลังวิญญาณฟ้าดินเหมือนระนาบเทพ แถมยังมีพฤกษาเทพกำเนิดชีพที่เป็นทั้งแกนกลางของระนาบเทพ สามารถให้คนเข้าไปอยู่อาศัยได้เช่นกัน แต่พอเทียบกับระนาบเทพแล้ว มันไม่อาจนับเป็นอะไรได้เลย!

 

หากจะเปรียบระนาบเทพเป็นดังมหาสมุทรแล้วล่ะก็ โลกใบเล็กภายในกายของด้วนหลิงเทียนตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับน้ำแก้วหนึ่งเท่านั้น!!

 

“ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา…”

 

ตัวนหลิงเทียนที่เห็นตัวนฉงฉายแววตาซับซ้อนราวกับไม่อยากให้เขาจากไป ก็ยิ้มกล่าวออกมา “หัวหน้าหมู่บ้านฉิง…หากข้าไม่อาจหาที่อยู่ในเมืองได้จริงๆ เช่นนั้นข้าจะย้อนกลับมาอยู่ในหมู่บ้านสกุลด้วนแห่งนี้”

 

พอได้ยินคำพูดด้วนหลิงเทียน ต้วนฉิงก็กล่าวออกด้วยน้ำเสียงท่าที่จริงจัง “หากคุณชายหลิงเทียนย้อนกลับมา หมู่บ้านทิศใต้ของสกุลด้วนเราจักต้อนรับท่านอย่างดี! อย่างไรก็ตามข้าเกรงว่าหลังจากคุณชายหลิงเทียนจากไปแล้ว วันหน้าท่านคงมิมีโอกาสได้ย้อนกลับมาหมู่บ้านสกุลต้วนเราอีก…”

 

ถึงแม้มันจะไม่ได้สนิทสนมอะไรกับตัวนหลิงเทียนมากนัก

 

อย่างไรก็ตามหลังพิจารณาเรื่องราวที่ได้ฟังจากคนของสกุลตัวนที่ออกไปล่าสัตว์อสูรเมื่อสิบวันก่อน และเห็นด้วนหลิงเทียนลงมือสังหารสัตว์อสูรตัวนั้นอย่างไร ตัวนฉิงก็บอกได้ทันทีว่าความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนไม่ได้ด้อยไปกว่ามันเลย

 

ตัวตนเช่นนี้ ต่อให้เข้าไปในเมืองก็สามารถเข้าร่วมกับกองกำลังต่างๆได้ง่ายดาย

 

การมาหมกตัวอยู่ในหมู่บ้านสกุลต้วน ถือว่าทำให้พรสวรรค์เสียเปล่าแล้ว

 

ทันใดนั้นเอง พลันมีเสียงตะโกนดังขึ้นจากด้านนอกหมู่บ้าน “ขบวนคนสกุลเกี่ยมากันแล้ว!”

 

ทันใดนั้นสายตาขงหลายๆคนก็หันไปมองประตูทางเข้าหมู่บ้านทิศใต้ทันทีด้านด้วนหลิงเทียนกับตัวนฉิงก็หยุดคุยกัน และด้วนหลิงเทียนก็อาศัยช่วงที่ต้วนล่างกำลังมองเหม่อไปยังประตูหมู่บ้านด้วยความคาดหวัง จับแหวนพื้นที่ยัดเข้ามือตัวนล่างทันที “ต้วนล่าง หากท่านยังกล้าไม่รับ…เช่นนั้นหมายความว่าท่านไม่เห็นข้าด้วนหลิงเทียนคนนี้เป็นเพื่อน!”

 

“น้องหลิงเทียน…”

 

ตัวนล่างที่โดนมัดมือชก ได้แต่คลี่ยิ้มเงื่อนๆ จากนั้นก็ได้แต่ยอมรับแหวนพื้นที่ไปเท่านั้น “หลังเสร็จพิธีวิวาห์แล้วพวกเราไปนั่งดื่มกันเป็นการส่วนตัวเถอะ ถือว่าให้ข้าเลี้ยงส่งท่าน…”

 

“หากท่านว่างข้าก็ไม่มีปัญหา

 

ตัวนหลิงเทียนคลี่ยิ้มมีเลศนัยพลางยักไหล่กล่าว “แต่ข้าเกรงว่าพอถึงตอนนั้น ท่านจะหลงใหลไปกับความอ่อนโยนของเจ้าสาวจนไม่อาจถอนตัว…”

 

“น้องหลิงเทียน ท่านยิ่งมายิ่งเหลวไหลใหญ่แล้ว ข้าตัวนล่างใช่คนเห็นสตรีดีกว่าเพื่อนตั้งแต่เมื่อไหร่!”

 

ด้วนล่างลั่นวาจาออกมาเป็นมั่นเหมาะ

 

“อ้อ? ไปเถอะเจ้าสาวของท่านมานูนแล้ว”

 

ด้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้ม คำพูดทำนองนี้เขาได้ยินมาเยอะแล้ว ที่ว่าไม่มีทางเห็นสตรีดีกว่าเพื่อนนี่…พอเข้าห้องหอไปแล้ว ยังมีกะใจคิดถึงเพื่อนอีกหรือ?

 

จากนั้นตัวนหลิงเทียนก็มองไปยังประตูทางเข้าหมู่บ้านทิศใต้ จึงเห็นขบวนผู้คนในชุดแดงสดแห่เกี่ยวหรูหราเข้ามายังหมู่บ้านสกุลด้วนทิศใต้กันอย่างคึกคัก

 

“หม?”

 

อย่างไรก็ตาม ไม่นานนักด้วนหลิงเทียนก็พบว่าคนสกุลต้วนหลายๆคนก่าลังขมวดคิ้วยู่ย่น รวมถึงตัวนฉิงกับต้วนล่างด้วย

 

“นี่มันอย่างไรกันแน่?”

 

“นั่นมิใช่ เกี่ยเหิง หัวหน้า 4 ของหมู่บ้านสกุลเกี่ยหรือไร?”

 

“ไฉนเกี่ยเหิงถึงมาได้เล่า หรือว่ามันมาที่นี่แทนหัวหน้า 2 ของหมู่บ้านสกุลเกี่ย?”

 

“ไม่สมเหตุสมผลเลย…ต่อให้หัวหน้า 2 ของหมู่บ้านสกุลเกี่ยจะติดธุระสำคัญจริง แต่ก็สมควรส่งตัวแทนของหมู่บ้าน 2 มา มิใช่หัวหน้า 4 ของหมู่บ้านสกุลเกี่ยอย่างเกี่ยเหิงผู้นั้น…สุดท้ายก็คนละหมู่บ้านย่อยกัน ไม่ว่าด้วยเหตุผลอันใดก็ไม่ควรมา..”

 

พอเสียงกระซิบกระซาบของผู้คนหมู่บ้านสกุลตัวนดังเข้าหูตัวนหลิงเทียน ในที่สุดเขาก็ได้รู้ว่าไฉนแต่ละคนถึงทำหน้านิ่วคิ้วขมวดกันแบบนั้น ปรากฏว่าผู้ที่นำขบวนมาไม่ใช่หัวหน้า 2 ของหมู่บ้านสกุลเกี่ย แถมไม่ใช่แม้แต่คนของหัวหน้า 2 หมู่บ้านสกุลเถียด้วยซ้ำ..

 

ผู้มากลับเป็น เกี่ยเหิง หัวหน้า 4 ของหมู่บ้านสกุลเกี่ย เรียกว่าเป็นหัวหน้าหมู่บ้านอีกสาขาของสกุลเกี่ยไปเลย

 

ดุจเดียวกับตัวนจิ้งหัวหน้าหมู่บ้านทิศใต้ของหมู่บ้านสกุลด้วน หัวหน้า 2 ของหมู่บ้านสกุลเถีย ก็เป็นหัวหน้าหมู่บ้านสาขาย่อยไปเลย และหัวหน้า 4 ของหมู่บ้านสกุลเกี่ย เกี่ยเหิง นั่น ก็ถือว่าไม่เกี่ยวอะไรกับหมู่บ้านที่ 2 แม้จะถือว่ามีสัมพันธ์กัน แต่สายเลือดก็ห่างมากแล้ว

 

และด้วนหลิงเทียนเอง ตั้งแต่ที่ได้มาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านสกุลตัวนทิศใต้ เขาก็พบว่าความสัมพันธ์ระหว่างหมู่บ้านสาขาย่อยในเขาไร้สิ้นสุดนั้น มักไม่ค่อยแน่นแฟ้นเท่าไหร่ หากมีปัญหาในสาขาย่อย ทั้งหมดจะไม่ยุ่งเกี่ยวเว้นแต่จะมีปัญหาใหญ่ที่เกี่ยวพันถึงทุกสาขา ทั้งหมดถึงจะออกมาร่วมกันต่อต้านคนนอก

 

โดยปกติแล้วหมู่บ้านสาขาย่อยมักจะแยกตัวกันเป็นอิสระ มีการติดต่อกันบ้างประปรายเท่านั้น

 

ภายใต้ระบบสังคมเช่นนี้…แต่หัวหน้า 2 ของสกุลเกี่ยที่ควรมากลับไม่มา แต่หัวหน้า 4 ของสกุลเกี่ยดันมาแทน…หากบอกว่าไม่มีอะไรผิดท่าก็ประหลาดแล้ว

 

จังหวะนี้กระทั่งตวนหลิงเทียนเองก็รู้สึกว่าเรื่องราวมันผิดท่า

 

“เกี่ยเหิง ไฉนเป็นเจ้าได้?”

 

เมื่อเกี่ยเหิง หัวหน้า 4 ของหมู่บ้านสกุลเลี่ยนขบวนเจ้าสาวเข้ามาในหมู่บ้านสกุลตัวนทิศใต้ ตัวนฉิง ผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านสกุลตัวนทิศใต้ ก็อดขมวดคิ้วกล่าวถามออกไปไม่ได้

 

เกี่ยเหิงเป็นชายวัยกลางคนไว้เครายาวเฟื้อย รูปร่างสูงใหญ่แลดูตัวหนา มาในชุดคลุมสีแดงหรูหราประดับประดาไปด้วยมณีล้ำค่า สองมือคลึงลูกแก้วหยก 2 ใบไปมาดังกอกแกก ดูคล้ายเศรษฐีหน้าใหม่อย่างไรอย่างนั้น

 

ได้ยินคำถามของตัวนฉิง เกี่ยเหิงก็ยิ้มยิงฟันขาว กล่าวว่า “หัวหน้าหมู่บ้านตัวนฉิง จากนี้ไป สาขา 4 ของสกุลเกี่ยข้ากับหมู่บ้านสกุลตัวนใต้ของท่านจักเป็นทองแผ่นเดียวกันแล้ว…ยาโถวน้อยของข้าจักตบแต่งเป็นภรรยาของ เจ้าหนูด้วนล่าง อัจฉริยะที่หมู่บ้านสกุลตัวนทิศใต้ภาคภูมิใจผู้นั้น ข้าหวังว่าเจ้าหนูตัวนล่างจักดูแลบุตรสาวข้าอย่างดี อย่าได้รังแกนางเสียเล่า…”

 

ตัวนล่างนั้น ถือเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ของหมู่บ้านสกุลต้วนทิศใต้ อายุไม่ถึง 3,000 ปี กลับบรรลุถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะ 1 ต้นกำเนิดแล้ว

 

ในระนาบเทพนั้น อายุต่ำกว่า 1,000 ปี ถือว่าเป็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

 

สุดท้ายแล้วผู้คนในระนาบเทพ พอกำเนิดเกิดมาก็มีอายุขัยไร้สิ้นสุด จึงใช้เวลาในการเติบโตไปตามสภาพแวดล้อม การปิดด่านบ่มเพาะบางครั้งก็กินเวลาเป็นทศวรรษ หรือไม่แน่ก็อาจหลายทศวรรษ

 

เช่นนั้นผู้ที่มีอายุมากกว่า 1,000 ปี แต่ไม่เกิน 3,000 ปี ถึงจะเรียกว่ารุ่นเยาว์ หรือคนหนุ่มสาว…

 

“สาวน้อยของพ่อ ไฉนยังไม่ออกมาพบหัวหน้าตัวนฉิงอีกล่ะลูก”

 

พอเสียงของเกี่ยเหิงดังจบค่า สีหน้าตัวนฉิงก็เปลี่ยนไปใหญ่หลวง ไม่ใช่ว่าผู้ที่ต้องแต่งกับต้วนล่างเป็นคุณหนูของหัวหน้า 2 สกุลเกี่ยหรือไร ไฉนกลายเป็นลูกสาวของเกี่ยเหิง หัวหน้า 4 สกุลเกี่ยไปได้?

 

นอกจากนั้นหากจำไม่ผิด ดูเหมือนหัวหน้า 4 ของหมู่บ้านสกุลเกี่ย เกี่ยเหิงคนนี้ จะมีลูกสาวแค่คนเดียวไม่ใช่ หรือไร?

 

พอนึกถึงชื่อเสียงอันเสื่อมเสียของลูกสาวหัวหน้า 4 ของหมู่บ้านสกุลเกี่ย ตัวนฉิงก็หนังศีรษะชาหนีบ ขณะเดียวกันสีหน้ายังมืดดำไปด้วยโทสะ…หรือสกุลเกี่ยคิดว่าสกุลด้วนรังแกกันได้ง่ายๆ? พวกมันเห็นสกุลต้วนเป็นลิงจริงๆ?

 

“เจ้าค่ะท่านพ่อ…”

 

เสียงสตรีที่ฟังแล้วหยาบกระด้างดังขึ้น จากนั้นเกี้ยวเจ้าสาวพลันสั่นไหวหนักหน่วง ก่อนอสูรกายร้ายนางหนึ่งจะปรากฏตัวออกมา เป็นสตรีอ้วนฉุสูงราว หนึ่งหมี่นแปด หากสูงอย่างเดียวคงไม่นับเป็นอะไร เพียงแค่รอบเอวของนางดูอย่างไรก็ไม่ต่ำกว่า 2 กม…

 

นางค่อยๆลงจากเกี่ยวเจ้าสาวอย่างทุลักทุเล จากนั้นก็เดินอุ้ยอ้ายมาหยุดลงข้างๆเกี่ยเหิง ก่อนจะประสานมือคารวะทักทายตัวนฉิงด้วยรอยยิ้ม “เกี่ยหลานอว ขอคารวะหัวหน้าหมู่บ้านตัวนฉิงเจ้าค่ะ”

 

เกี่ยหลันหยู ลูกสาวคนเดียวของเกี่ยเพิ่งหัวหน้าหมู่บ้าน 4 แห่งหมู่บ้านสกุลเถีย ขณะกล่าวไขมันบนหน้านางก็กระเพื่อมสั่นไหว ร่างอ้วนฉุเต็มไปด้วยไขมันเลวของนางทรมาณชุดเจ้าสาวจนแทบปริฉีก

 

“ไม่! ที่ข้าอยากตบแต่งด้วยมิใช่เจ้า! ข้าต้องการแต่งกับบุตรของหัวหน้า 2 แห่งหมู่บ้านสกุลเถียเกี่ยหยู!”

 

ในขณะที่คนของสกุลตัวนาลังตื่นตระหนกกับการปรากฏตัวของสตรีที่หาความงามไม่เจอ ด้วนล่างที่เป็นผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง ก็มองเกี่ยหลนอวด้วยใบหน้าแดงก่ำ โพล่งคำออกมาอย่างไม่ยอมรับ “วันนี้ข้าจักไม่แต่งกับผู้ใดนอกจาก เกี่ยหยู!!”

 

“เจ้าหนู เจ้ากล่าวเหลวไหลอันใด!?”

 

สีหน้าเกี่ยเพิ่งเปลี่ยนไปทันที สองตามันมองจ้องต้วนล่างปานสายฟ้า เอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงลึกล้ำ

 

โดนเกี่ยเพิ่งมองจ้องมาเขม็ง ตัวนล่างก็รู้สึกกลัวอยู่บ้าง แต่มันยังกัดฟันกล่าวออกเสียงหนัก “หัวหน้าหมู่บ้านเกี่ยเหิง คำพูดที่ข้ากล่าวไม่ชัดเจนตรงที่ใด…วันนี้สตรีคนเดียวที่ข้าจักตบแต่งด้วยคือเกี่ยหยู มิใช่สตรีคนอื่น!”

 

ตอนนี้เอง เกี่ยหลานอวก็ไม่เหลือคราบคววามนอบน้อมอย่างตอนคารวะตัวนฉิงอีกต่อไป นางหยีตาเล็กๆที่โดนไขมันบนหน้าบดบังมองจ้องต้วนล่างพลางกล่าวด้วน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าหนู หรือเจ้าคิดว่าท่านย่าผู้นี้เต็มใจแต่งงานกับตัวไม่เอาไหนเช่นเจ้า?”

 

“ทำไม? เจ้าดูถูกท่านย่าผู้นี้มากนักหรือ?”

 

“น่าเสียดาย แต่งานแต่งครั้งนี้ ข้าเกรงว่าเจ้ามิอาจอาศัยแค่คำพูดไม่กี่คำมาเปลี่ยนแปลงได้!”

 

หลังจากเกี่ยหลานอวกล่าวจบคำ นางก็เชิดใบหน้าอ้วนๆของนางขึ้น ท่าราวกับตัวนางคือนางพญาแสนสง่างาม เหลือบมองลงมาที่ตัวนล่างด้วยความรังเกียจ

 

ตอนนี้เองเกี่ยเหิงก็ก้าวออกมาไม่กี่ก้าว ก่อนจะหดลงงข้างด้วนนิ่งและเอ่ยยคำพูดไม่กี่คำเบาๆจนยากที่ผู้ใดจะได้ยิน…ท่าให้สีหน้าด้วนนิ่งเปลี่ยนไปในฉับพลัน กลายเป็นซีดลงราวกระดาษ

 

นอกจากนั้นหากสังเกตให้ดี จะพบว่าร่างด้วนฉิงกำลังสัน

 

“ด้วนล่าง”

 

ขณะเดียวกันตัวนฉิงก็หันไปมองด้วนล่าง กล่าวค่าออกมาเสียงเข้ม “เจ้าอย่าพึ่งกล่าวเหลวไหลอันใด…รอให้ข้าไปหารือกับบิดาเจ้าก่อน แล้วดูว่ามันจะตัดสินใจอย่างไร”

 

พอกล่าวจบค่า ตัวนฉิงก็ไม่รอให้ตัวนล่างพูดอะไร มันก้าวอาดๆเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ของต้วนล่างทันที

 

กับเรื่องที่เกิดขึ้น ตัวนล่าง ก็อื้ออึงไม่น้อย ขณะเดียวกันมันก็รู้สึกว่าตัวนฉิงทำเรื่องได้ว่าเป็นอยู่บ้าง เพราะวันนี้ตัวเองก็คือมัน! คนที่จะแต่งงานก็คือมันไม่ใช่ใครที่ไหน ถ้ามันไม่อยากแต่งยังจะมีใครบังคับมันได้?!

 

ดูเหมือนเรื่องราวจะไม่ง่ายแล้ว…

 

ด้วนหลิงเทียนที่เห็นฉากเกี่ยเหิงเดินไปกระซิบกล่าวกับตัวนฉิง และเห็นถึงงความเปลี่ยนแปลงของสีหน้าท่าที่ตัวนฉงชัดเจน เขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

 

เขายังอดไม่ได้ที่จะสงสัย

 

เกี่ยเหิง หัวหน้า 4 แห่งหมู่บ้านสกุลเกี่ยพูดอะไรกับ ตัวนฉง หัวหน้า 3 แห่งหมู่บ้านสกุลด้วนกันแน่…

 

ถึงทำให้สีหน้าท่าที่ตัวนฉิงเปลี่ยนไปเช่นนั้น