“เจ้าเมืองมู่!”
เมื่อติงอู่และคนอื่นๆเห็นเจ้าเมืองมู่ สีหน้าต่างก็เปลี่ยนไป เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
หวยเจิ่นคิ้วขมวด มองไปทางเจ้าเมืองมู่ พูดว่า “เจ้าเมืองมู่ ผมรับคำสั่งจากพ่อของผมให้มาฆ่าหยางเฉิน ขอให้เจ้าเมืองมู่เห็นแก่เกียรติของพ่อผม แล้วส่งตัวหยางเฉินออกมาครับ”
เจ้าเมืองมู่ยิ้มเยาะ “ทำไม? คิดอยากจะใช้ชื่อเสียงของพ่อนายมากดดันฉันงั้นหรอ?”
หวยเจิ่นไม่พูดอะไร แต่ความหมายเข้าใจได้โดยไม่ต้องพูด
เห็นเขาไม่พูดอะไร เจ้าเมืองมู่พูดเสียงเย็นชาว่า “ไสหัวกลับไปบอกเจ้าเมืองหวยเฉิงซะ ว่าที่นี่คือซ่านเฉิง ไม่ใช่เมืองหวยเฉิง มือของเขา อย่าได้ยื่นออกมาไกลเกินไป”
เสียงสิ้นสุดลง พลังที่แข็งแกร่งอย่างหนึ่งได้แผ่กระจายออกมาจากตัวเจ้าเมืองมู่ แล้วครอบงำไปทั่วทุกคน
วินาทีนี้ พวกเขารู้สึกเพียงแค่ว่าบนตัวเหมือนมีภูเขาลูกใหญ่กดทับอยู่ สีหน้าของแต่ละคนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
แม้จะเป็นติงอู่ที่มีพลังในระดับของแดนเหนือมนุษย์ขั้นเก้าชั้นกลาง ในเวลานี้ก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน สีหน้าจึงซีดเซียวลง
เขารู้ว่าพลังของเจ้าเมืองมู่แข็งแกร่งมาก แต่หลังจากที่สองขาของเจ้าเมืองมู่พิการ เขาก็คิดไปเองว่าตัวเองมีสิทธิ์มากพอที่จะต่อสู้กับเจ้าเมืองมู่ได้แล้ว
แต่จนกระทั่งวันนี้ เขาถึงได้รู้ว่า ตัวเองดูถูกเจ้าเมืองมู่เกินไป
ถึงแม้สองขาของเจ้าเมืองมู่จะพิการ แต่พลังไม่ได้ลดลงมากเท่าไหร่นัก อย่างแรงกดดันแดนบูโดที่แผ่ออกมาจากตัวเขาในตอนนี้ อย่างน้อยก็เหนือกว่าแดนเหนือมนุษย์ขั้นเก้าชั้นปลาย และอาจถึงขั้นแดนเหนือมนุษย์ขั้นเก้าชั้นยอดด้วยซ้ำ
จู่ๆติงอู่ก็คิดว่า หากขาของเจ้าเมืองมู่ดีขึ้นแล้ว พลังจะแข็งแกร่งมากถึงขั้นไหนกัน?
ผู้นำตระกูลเศรษฐีเมืองซ่านเฉิงคนอื่นๆ ในเวลานี้ต่างก็มีสีหน้าหวาดกลัว และเหมือนกับติงอู่ ที่คิดว่าหลังจากขาของเจ้าเมืองมู่พิการแล้ว พลังจะลดน้อยลงมาก ดังนั้นวันนี้จึงกล้าตามหวยเจิ่นมากดดันจวนมู่
แต่ว่าตอนนี้ พวกเขากลับมีความรู้สึกว่าลงหลังเสือไม่ได้
หวยเจิ่นจ้องหน้าเจ้าเมืองมู่ ถามว่า “เจ้าเมืองมู่ เพื่อหยางเฉินคนเดียว แล้วต้องมีปัญหากับเจ้าเมืองหวยเฉิง คุณคิดว่ามันคุ้มค่าหรือครับ?”
“ไปให้พ้นซะ!”
เจ้าเมืองมู่ตะคอกกลับ อำนาจบ้าคลั่งอย่างหนึ่ง ได้พุ่งตรงไปทางหวยเจิ่น
ผู้แข็งแกร่งเพ้าดำห้าคน ต่างก็รีบย้ายไปข้างหน้า แล้วขวางไว้ที่ด้านหน้าหวยเจิ่น
“รนหาที่ตาย!”
เจ้าเมืองมู่โบกสะบัดมือ พลังที่แข็งแกร่งอย่างหนึ่ง โจมตีเข้าไปอย่างกับเป็นวัตถุของจริง แล้วพุ่งตรงไปที่ผู้แข็งแกร่งเพ้าดำห้าคนนั้น
Smart address bar. th.readeraz.com The king of War บทที่ 1701 ร้าวฉานทุกฝ่าย – th.readeraz
ภายใต้ความตะลึงของทุกคน ผู้แข็งแกร่งเพ้าดำห้าคนนั้น ร่างกายเซถอยหลังไปหลายก้าว ส่วนเพ้าดำบนตัวของพวกเขาเองก็ได้ถูกพลังอำนาจของเจ้าเมืองมู่โจมตีจนลอยสะบัด
“นี่มันคืออะไร?”
เมื่อทุกคนเห็นโฉมหน้าของผู้แข็งแกร่งเพ้าดำทั้งห้าคนแล้ว ต่างก็มีสีหน้าตกใจ
ก่อนหน้านี้ ผู้แข็งแกร่งเพ้าดำทั้งห้าคนนั้นสวมใส่หน้ากากไว้ คนอื่นมองไม่เห็นโฉมหน้าของทั้งห้าคนนี้ รู้สึกได้เพียงแค่ว่าทั้งห้าคนนี้คาดการณ์พลังไม่ได้
แต่ตอนนี้ หน้ากากของทั้งห้าคนนี้ถูกเจ้าเมืองมู่สะท้านหลุดไป ปรากฏให้เห็นโฉมหน้าของพวกเขา
ทุกๆคนล้วนมีใบหน้าครึ่งคนครึ่งหุ่นยนต์ทั้งหมด
หวยเจิ่นเห็นว่าโฉมหน้าของทั้งห้าคนนี้ถูกเปิดเผย สีหน้าก็แย่มากขึ้นมาทันที
สิ่งนี้ถือเป็นความลับอย่างหนึ่งของจวนเมืองหวยเฉิง คนที่รู้มีไม่มาก แต่ในตอนนี้สัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งหุ่นยนต์ห้าคนนี้ ได้ถูกเปิดเผยต่อหน้าผู้แข็งแกร่งเมืองซ่านเฉิง
เจ้าเมืองมู่หรี่ตามองดูหวยเจิ่น พูดเสียงเย็นชาว่า “ฉันก็ว่านายเอาความกล้าหาญมาจากไหน ที่แท้จวนเมืองหวยเฉิงก็มีสัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งหุ่นยนต์อย่างนี้นี่เอง ดูแล้ว หลายปีมานี้ จวนเมืองหวยเฉิงหล่อเลี้ยงสัตว์ประหลาดพวกนี้ไว้ไม่น้อยเลยละสิ!”
หวยเจิ่นพูดอย่างโมโหว่า “เจ้าเมืองมู่ นี่คุณคิดอยากจะทำสงครามกับจวนมืองหวยเฉิงของเราใช่มั้ยครับ?”
เจ้าเมืองมู่ยิ้มเยาะ “ทำสงคราม? เอาสิ!เพียงแค่เจ้าเมืองหวยเฉิงอยากจะทำสงคราม งั้นฉันก็สนองให้เต็มที่!”
สีหน้าของหวยเจิ่นนิ่งอึ้งไปทันที เดิมทีคิดว่าเรื่องทำสงครามสามารถขู่เจ้าเมืองมู่ได้ แต่ตอนนี้ดูแล้ว อีกฝ่ายไม่แคร์เรื่องนี้เลย
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นผมก็ขอลาละครับ!”
หวยเจิ่นจ้องเจ้าเมืองมู่ทีหนึ่ง จากนั้นก็หันหลังจากไป สัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งหุ่นยนต์ห้าตัวก็ได้ตามเขาไปด้วยเช่นกัน
เจ้าเมืองมู่จ้องแผ่นหลังของหวยเจิ่นที่จากไป ในสายตาเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าอย่างรุนแรง
แต่ว่าเขารู้ดี ว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะทำสงครามกับจวนเมืองหวยเฉิง ถ้าหากว่าขาของเขาหายดีหมดแล้ว แค่เพียงการกระทำเหิมเกริมของหวยเจิ่นเมื่อกี้นี้ ก็คงได้กลายเป็นศพไปแล้ว
เศรษฐีเมืองซ่านเฉิงพวกนั้น เห็นว่าหวยเจิ่นได้รีบพาคนจากไปแล้ว สีหน้าของแต่ละคนก็แย่มากจนถึงที่สุด
คุยกันแล้วว่าหวยเจิ่นจะเป็นตัวนำให้พวกเขา แต่ว่าตอนนี้ หวยเจิ่นพาคนหนีไปเองแล้ว และทิ้งพวกเขาไว้ที่นี่
ในตอนที่พวกเขาทำอะไรไม่ถูก เจ้าเมืองมู่กวาดมองพวกเขาอย่างเรียบเฉย พูดเสียงเย็นชาว่า “เจ้าพวกโง่ คิดว่าคนของจวนเมืองหวยเฉิงจะใจดีช่วยพวกนายจริงๆหรือไง?”
พูดจบ เจ้าเมืองมู่ก็พูดกับมู่ฮว๋าว่า “เข็นฉันกลับไป!”
“ครับ!”
มู่ฮว๋ารีบเข็นเจ้าเมืองมู่จากไป
เศรษฐีเมืองซ่านเฉิงพวกนั้นต่างก็มึนงง เจ้าเมืองมู่ไม่ได้ลงมือทำอะไรพวกเขา ปล่อยพวกเขาไปอย่างนี้เลย?
ติงชางมองไปทางติงอู่ ในสายตาเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง ติงอู่เข้าใจความหมายในสายตาของติงชาง
ทันใดนั้นติงอู่มองไปทางที่เจ้าเมืองมู่จากไป เอ่ยปากพูดว่า “เจ้าเมืองมู่ หยางเฉินฆ่าผู้แข็งแกร่งของตระกูลติงไปมากมาย แล้วยังฆ่าคนของตระกูลใหญ่ต่างๆในเมืองซ่านเฉิงอีกด้วย แล้วท่านยังให้ที่หลบภัยกับคนเช่นนี้ ดูไม่ค่อยเหมาะสมหรือเปล่าครับ?”
รถเข็นของเจ้าเมืองมู่หยุดลงทันที เขาหรี่ตาจ้องติงอู่ เอ่ยปากพูดว่า “ติงอู่ นายเห็นทุกคนเป็นคนโง่ไปหมดงั้นหรอ?”
ติงอู่นิ่งอึ้งไป จากนั้นก็พูดอย่างโมโหว่า “เจ้าเมืองมู่ ท่านหมายความว่ายังไง?”
เจ้าเมืองมู่ยิ้มเยาะ ไม่ได้สนใจติงอู่ แต่สายตากวาดมองผู้นำตระกูลเศรษฐีพวกนั้นที่มาพร้อมกับติงอู่ และพูดเสียงเย็นชาว่า “พวกนายมันคนโง่จริงๆ คนของพวกนายไปที่สนามบินทำไม? แล้วทำไมคนของพวกนายถึงตาย แต่ติงชางกลับยังมีชีวิตอยู่?”
คำพูดนี้พูดออกไป ผู้นำตระกูลเศรษฐีพวกนั้น สีหน้าก็ได้เปลี่ยนไป แต่ละคนต่างก็มองไปที่ติงอู่
เพราะว่าติงอู่ร่วมมือกับตระกูลพวกเขา สั่งให้ทุกตระกูลส่งผู้แข็งแกร่งไปที่สนามบินเพื่อไล่ฆ่าหยางเฉิน ปรากฏว่าในกลุ่มคนที่ไปไล่ฆ่าหยางเฉิน มีเพียงติงชางคนเดียวที่รอดชีวิต
เชื่อมโยงกับคำพูดที่เจ้าเมืองมู่พูดเมื่อกี้ พวกเขาก็กระจ่างแจ้งในทันที
“ติงอู่ นายกล้าหลอกใช้พวกฉันหรอ!”
มีผู้นำตระกูลเศรษฐีพูดด้วยสีหน้าเกรี้ยวโกรธ
ผู้นำตระกูลเศรษฐีคนอื่นเองก็โมโห ต่างมองไปที่ติงอู่ ในสายตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจอย่างรุนแรง
ติงอู่ร้อนรนขึ้นมาทันที รีบพูดว่า “พวกนายอย่าได้มาพูดจาพล่อยๆนะ ฉันไม่ได้หลอกใช้พวกนาย ทุกคนต่างก็แค่ทำเพื่อทรัพย์สิน ถึงได้ร่วมกันส่งตัวคนไปไล่ฆ่าหยางเฉิน”
มีคนถามอย่างโมโหว่า “แล้วทำไมผู้แข็งแกร่งของพวกเราถึงตายกันหมด แล้วติงชางยังมีชีวิตรอดอยู่?”
ติงอู่พูดอย่างโมโหว่า “เพราะว่าคนของตระกูลพวกนายมันเป็นแค่ขยะกันหมด เหตุผลนี้ พอมั้ย?”
พูดจบ เขาก็หันหลังจากไปอย่างโมโห
มู่ฮว๋าเองก็ได้เข็นเจ้าเมืองมู่จากไปแล้ว ในเวลานี้ ผู้แข็งแกร่งของจวนมู่คนหนึ่ง สายตากวาดมองคนจากตระกูลเศรษฐีพวกนั้น พูดเสียงเย็นชาว่า “พวกนายควรจะดีใจ ที่ท่านเจ้าเมืองไม่ได้อารมณ์ร้ายเหมือนเมื่อก่อน ไม่อย่างนั้น พวกนายคงได้กลายเป็นศพไปแล้ว!”