ตอนที่ 3612

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 3612 : พวกเจ้าไม่ต้องสู้กัน…

 

ชายชราในชุดคลุมสีฟ้าสะท้อนแสง อันมีใบหน้าปานอ่อนวัยราวทารก เพียงลอยร่างกลางหาวเฉยๆก็ให้ความรู้สึกเสมือนมันเป็นเมฆก้อนหนึ่ง เปี่ยมล้นไปด้วยอิสระเสรี และความนิ่งสงบ

 

ชายหนุ่มในชุดคลุมยาวสีขาวสะอาดปานหิมะแรกฤดูหนาว ใบหน้ามันหล่อเหลาหากทว่าด้วยแววตาล้ำลึกที่คล้ายผ่านพ้นวันเวลามาเนิ่นนาน ทำให้มันแลดูมีเสน่ห์พิกล

 

ชายวัยกลางคนที่ลอยร่างอยู่ตรงกลางนั้น อกผ่ายไหล่พึ่งลอยตระหง่านกลางหาวปานหอกแกร่งค้ำฟ้า ให้ความรู้สึกเข้มแข็งดุดันกว่าผู้ใด

 

ทั้ง 3 ที่พึ่งมาถึงนั้นเป็นเทพขั้นกลางที่แข็งแกร่งที่สุด 3 ใน 4 คนของเมืองหลินซานแห่งนี้…

 

ตระกูลเมิ่ง เมิ่งจินหัว

 

นิกายเมฆอรุณ โหยวเซี่ยวหาน

 

นิกาฟ้ายุทธ์ โอวหยางหวู่ตี้

 

ทั้ง 3 คน รวมถึงเทพขั้นกลางคนสุดท้ายของตระกูลเฉียน ถึงแม้ผู้คนในเมืองหลินซานจะรู้ว่าพวกมันมีตัวตนอยู่ แต่พวกมันก็ไม่ได้ปรากฏตัวในที่สาธารณะมาเนิ่นนานแล้ว

 

ไม่มีใครคิดฝัน ว่าอยู่ๆทั้ง 3 จะปรากฏตัวขึ้นพร้อมๆกัน

 

ยังมาเป็นกลุ่ม

 

“นายน้อยต้วน นี่คือบรรพบุรุษของตระกูลเมิ่งเรา และยังเป็นเทพขั้นกลางเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่ในตระกูลเมิ่งของพวกเรา”

 

ทันใดนั้นเอง เมิ่งเหนียนอี้ก็หันไปมองหนึ่งในเทพขั้นกลางทั้ง 3 ที่พึ่งมาถึงและกล่าวแนะนำอีกฝ่ายให้ต้วนหลิงเทียนรู้จัก ด้านประมุขนิกายเมฆอรุณรวมถึงประมุขนิกายฟ้ายุทธ์เอง ก็พากันกล่าวแนะนำเทพขั้นกลางของพวกมันเช่นกัน

 

อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนเพียงเหลือบมองเทพขั้นกลางทั้ง 3 ที่พึ่งมาถึงผ่านๆเท่านั้น ส่วนกลุ่มคนที่ติดตามเทพขั้นกลางทั้ง 3 มาถึงในภายหลัง เขาไม่เหลียวแลแม้แต่นิดเดียว ตอนนี้เขาเพียงหันไปมองเฉียนเฟยที่แลดูคล้ายตัวโง่งมนั่น ไม่ทราบมันตกตะลึงหรือยังตามเรื่องราวไม่ทันกันแน่

 

ในปัจจุบันสองตาเฉียนเฟยมันเลื่อนลอยคล้ายคนวิญญาณหลุดออกจากร่าง ลอยร่างกลางฟ้าอย่างเหม่อลอยไม่ทำอะไร

 

ราวกับมันหวาดกลัวจนสติเตลิดเปิดเปิงไปแล้ว…

 

“เฉียนอู๋เลี่ยง จนป่านนี้แล้วเจ้ายังไม่รีบไสหัวออกมาคารวะนายน้อยต้วนอีก หรือเจ้าคิดว่านายน้อยต้วนไม่คู่ควรให้เจ้าออกมาคารวะ?”

 

โอวหยางหวู่ตี้ เทพขั้นกลางของนิกายฟ้ายุทธ์ อยู่ๆก็โพล่งคำออกมา เสียงของมันยังดังก้องไปทั่วตระกูลเฉียนในพริบตา

 

และแทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่เสียงของมันดังจบคำ ก็มีเสียงเปี่ยมโทสะหนึ่งระเบิดดังขึ้นจากตระกูลเฉียนด้านล่าง “โอวหยางหวู่ตี้! หุบปากสุนัขของเจ้าเสีย!!”

 

สิ้นเสียงเปี่ยมโทสะนั่น ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีน้ำเงินคนหนึ่งก็พลันปรากฏตัวขึ้นในสาตาของทุกคนอย่างประจวบเหมาะ

 

“เฉียนอู๋เลี่ยงแห่งตระกูลเฉียน ขอคารวะนายน้อยต้วน”

 

ชายวัยกลางคนผู้นี้รูปร่างไม่สูงไม่เตี้ยไม่อ้วนไม่ผอมไม่หล่อเหลาไม่อัปลักษณ์ เรียกว่าหาความพิเศษในตัวของมันไม่เจอสักอย่าง พอมันปรากฏตัวออกมา ก็เร่งประสานมือก้มหัวโค้งคารวะต้วนหลิงเทียนอย่างสุภาพนอบน้อม

 

และเฉียนอู๋เลี่ยงผู้นี้ ก็คือเทพขั้นกลางเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่ในตระกูลเฉียน

 

“ท่านบรรพบุรุษ!”

 

หลังเฉียนอู๋เลี่ยงคารวะทักทายต้วนหลิงเทียนแล้วเสร็จ อาวุโสคนหนึ่งของตระกูลเฉียนที่ร้อนใจจนทนไม่ไหว ก็ก้าวออกมาทั้งโพล่งฟ้องด้วยความโกรธ “เฉียนเฟย เข่นฆ่าผู้บริสุทธ์ไม่เลือกหน้าสมควรถูกลงโทษ ขอท่านบรรพบุรุษสำเร็จโทษสารเลวน้อยนั่นด้วย!!”

 

“ท่านบรรพบุรุษ เฉียนเฟยอยู่มิได้!”

 

“ขอท่านบรรพบุรุษโปรดเห็นแก่ภาพรวม!!”

 

 

พอมีคนเปิด หลายๆคนในตระกูลเฉียนก็เร่งกล่าวคำกันยกใหญ่ ด้วยกลัวว่าเฉียนเยว่จิ้นผู้นำตระกูลเฉียน จะลอบขอให้เฉียนอู๋เลี่ยงช่วยชีวิตเฉียนเฟย และชักนำหายนะมาสู่ตระกูลเฉียน

 

ถึงแม้เฉียนอู๋เลี่ยงจะไม่ใช่ผู้นำตระกูล แต่เนื่องจากมันเป็นเทพขั้นกลางเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลเฉียนที่รั้งอยู่ในเมืองหลินซาน ทำให้ศักดิ์ศรีและบารมีของมันในตระกูลเฉียนยังเหนือกว่าเฉียนเยว่จิ้นเสียอีก และทำหน้าที่เป็น ‘ราชาไร้มงกุฏ’ ของตระกูลเฉียน

 

ในตระกูลเฉียน คำพูดของผู้นำตระกูลสามารถถูกเหล่าอาวุโสกังขาและเปลี่ยนแปลงได้

 

อย่างไรก็ตามคำพูดของเฉียนอู๋เลี่ยงเป็นที่สุด ไม่มีใครกล้ากังขา

 

“นายน้อยต้วน”

 

พอเห็นเฉียนอู๋เลี่ยงขมวดคิ้วและมองจ้องมา เฉียนเยว่จิ้น ผู้นำตระกูลเฉียนก็ตระหนักได้ทันทีว่ากระทั่งบรรพบุรุษยังเข้าใจมันผิด ดังนั้นมันจึงเร่งหันไปมองต้วนหลิงเทียน พลางกล่าวด้วยความนอบน้อม “ถึงแม้เฉียนเฟยจะเป็นลูกชายของข้า แต่เพราะมันก่อกรรมทำชั่วอย่างมิอาจให้อภัย เช่นนั้นข้าย่อมไม่คิดปล่อยมันไป!”

 

“นอกจากนั้นที่ลูกชายข้าไม่รักดีเช่นนี้ ข้าเฉียนเยว่จิ้น ผู้เป็นบิดาถือว่าบกพร่องในการทำหน้าที่ มิอาจอบรมสั่งสอนมันให้ได้ดี ข้ายยินดีตัดแขนข้างหนึ่งของข้า เพื่อปลอบประโลมดวงวิญญาณของผู้คนในหมู่บ้านสกุลต้วนทิศใต้!”

 

แทบจะพร้อมๆกันกับที่เฉียนเยว่จิ้นกล่าวจบคำ มันก็ยกมือขวาขึ้นมาและสับแขนซ้ายจนขาดเสมอไหล่ทันที

 

ฉูด!!

 

โลหิตซ่านกระเซ็นพุ่งออกมาปานน้ำพุ ราดรดไปทั่วร่างของเฉียนเฟย

 

ทันใดนั้นเอง เฉียนเฟยที่ดูคล้ายคนสติหลุดลอย นิ่งเหม่อมานาน ก็ได้สติกลับคืน มันมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยความหวาดกลัว จากนั้นก็เร่งคุกเข่าลงอีกครั้ง “นายน้อยต้วน ไว้ชีวิตข้าด้วย! ได้โปรด ขอท่านเมตตาไว้ชีวิตข้าด้วย!!”

 

“ไม่มีผู้ใดในหมู่บ้านสกุลต้วนทิศใต้ถูกข้าฆ่าสักคน ทั้งหมดเป็นปู่ชิวกับคนของสกุลเถี่ยลงมือทั้งสิ้น!!”

 

พอได้ยินวาจาร่ำร้องของเฉียนเฟย ผู้คนของตระกูลเฉียน ก็มองมันด้วยสายตาขยะแขยงรังเกียจ “อาวุโสเฉียนชิวนับว่าดวงตามืดมัวอย่างแท้จริง ถึงได้คอยเอาใจให้ท้ายสารเลวน้อยผู้นี้…แต่มิคิดเลยว่ากระทั่งอาวุโสชิวดีกับมันถึงเพียงนั้น แต่สุดท้ายมันกลับกล้าโบ้ยความผิดให้อาวุโสชิวได้ลงคอ…”

 

“หมาป่าตาขาว! หมาป่าตาขาวที่เลี้ยงไม่เชื่องนัก!!”

 

 

ในขณะที่คนของตระกูลเฉียนกำลังก่นด่าเฉียนเฟยเพื่อเฉียนชิว ด้านเฉียนชิวก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างสะทกสะท้อนคำหนึ่ง

 

จากนั้นมันก็ย่ำฟ้าก้าวออกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน และท่ามกางสาตาของทุกคนในตระกูลเฉียนและคนอื่นๆรวมถึงต้วนหลิงเทียน มันก็สะบัดมือตบฟาดไปยังร่างเฉียนเฟยจนคนระเบิดเป็นหมอกโลหิต จากนั้นมันก็เร่งเร้าพลังจนทั่วร่างเปล่งแสงสว่างเจิดจ้า ก่อนคนทั้งคนจะกลับกลายเป็นเถ้าธุลี ปลิวหายไปในอากาศ…

 

หลังจากเฉียนชิวฆ่าเฉียนเฟยแล้ว มันก็ฆ่าตัวตายทันที

 

ตั้งแต่ต้นจนจบถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้พูดสักคำว่าจะเอาชีวิตมัน แต่มันก็ยังเลือกจะฆ่าตัวตายชดใช้ความผิด

 

เป็นธรรมดาว่าถึงต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้พูดอะไร แต่หลังจากเฉียนเฟยตายแล้ว เขาก็คิดจะฆ่ามันอยู่ดี

 

หากบอกว่าเฉียนเฟยเป็นผู้กระทำความผิด เช่นนั้นเฉียนชิวก็คือผู้สมรู้ร่วมคิด

 

ต้วนหลิงเทียนมาวันนี้ เขาไม่คิดปล่อยมันทั้งคู่!

 

“นายน้อยต้วน”

 

ทันใดนั้นเอง เฉียนเยว่จิ้น ผู้นำตระกูลเฉียนที่ลอบส่งเสียงผ่านพลังหารือกับเฉียนอู๋เลี่ยงอยู่ครู่หนึ่ง มันก็หันไปมองต้วนหลิงเทียน ด้วยใบหน้าเคารพท่าทีนอบน้อม ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวความไม่พอใจอะไรเพียงเพราะลูกชายที่มันรักที่สุดตกตายเพราะชายหนุ่มเบื้องหน้า “ขอท่านโปรดรอสักครู่”

 

พอกล่าวจบคำ ท่ามกลางสายตาสงสัยของต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆ เฉียนเยว่จิ้น ก็วูบร่างลงจากฟ้าหายไปจากสาตาของทุกคน

 

หลังผ่านไปราวๆ 10 กว่าลมหายใจ เฉียนเยว่จิ้น ก็เหินร่างกลับขึ้นมาบนฟ้าอีกครั้ง จากนั้นก็ยื่นส่งแหวนพื้นที่วงหนึ่งให้ต้วนหลิงเทียนด้วยท่าทีสุภาพมากเคารพ “นายน้อยต้วน ภายในแหวนพื้นที่วงนี้มีหินเทพอยู่ 30,000 ตำลึง เป็นค่าชดใช้เล็กน้อยจากตระกูลเฉียนของเรา”

 

ก่อนหน้านี้เฉียนเยว่จิ้นได้หารือกับเฉียนอู๋เลี่ยงว่าจะใช้เงินเพื่อขจัดภัยพิบัติดีหรือไม่ เพื่อให้ดาวร้ายดวงนี้ลืมเลือความขัดแย้งและสลายความแค้นที่มีต่อตระกูลเฉียนไปเสีย…

 

ถึงแม้วันนี้อีกฝ่ายจะไม่ได้ลงมือทำอะไรตระกูลเฉียน แต่ผู้ใดจะไปรู้เกิดอยู่ๆวันหนึ่งอีกฝ่ายนึกถึงหมู่บ้านสกุลต้วนทิศใต้ที่ถูกทำลาย และบังเกิดความขุ่นใจอะไรขึ้นมา คิดว่ายังล้างแค้นไม่พอ ถึงตอนนั้นไม่บุกมาถล่มตระกูลเฉียนของพวกมันจนย่อยยับหรือไร?

 

แทนที่จะเฝ้ารอและเสี่ยงชีวิตไปตามยถากรรม ไม่สู้เสียทรัพย์ตอนนี้ดีกว่าเสียเลือดภายหลัง ใช้ความมั่งคั่งขจัดเภทภัยไปเสีย…

 

“เช่นนั้น ก็ขอบคุณเจ้า”

 

ต้วนหลิงเทียนไม่คิดปฏิเสธหินเทพที่ตระกูลเฉียนมอบให้แต่อย่างไร หินเทพจำนวน 30,000 ตำลึงนี้ เห็นชัดว่าเป็นความจริงใจของตระกูลเฉียนเพื่อให้เรื่องราวทั้งหมดจบลง และนับเป็นเงินก้อนแรกที่เขาทำได้ในดินแดนดาราพิศวง “นับจากนี้ต่อไป ข้าเจ้ารวมถึงตระกูลเฉียนไม่มีเรื่องราวบาดหมางอะไรอีกต่อไป”

 

“ขอบคุณนายน้อยต้วนที่เมตตา”

 

เฉียนเยว่จิ้นเร่งโค้งคารวะเร็วไว มันทำทั้งหมดก็เพื่อฟังคำพูดประโยคนี้ของต้วนหลิงเทียน! และไม่ใช่มันคนเดียวทั้งตระกูลเฉียนกำลังรอฟังคำพูดประโยคดังกล่าวของต้วนหลิงเทียนอยู่!!

 

ก่อนหน้าเฉียนอู๋เลี่ยงรวมถึงคนของตระกูลเฉียนทั้งหมดในที่เกิดเหตุ ล้วนบังเกิดความเสียดายจับใจที่ต้องจับจ่ายหินเทพ 30,000 ตำลึงออกไป แต่พอพวกมันได้ยินคำพูดเลิกแล้วต่อกันของต้วนหลิงเทียน พวกมันก็รู้สึกกว่าหินเทพ 30,000 ตำลึงช่างคุ้มค่าเหลือเกิน อย่างน้อยๆพวกมันก็ยินดีเสียทรัพย์เพื่อขจัดภัยพิบัติ ต่อไปจะได้ไม่ต้องหวาดระแวงกลัวผู้อื่นย้อนกลับมาเข่นฆ่าภายหลัง! ราคาของความปลอดภัย ไม่ว่าเท่าไหร่พวกมันก็ยินดีจ่าย!!

 

ส่วนทางด้านผู้นำตระกูลเมิ่ง ประมุขนิกายเมฆอรุณ และประมุขนิกายฟ้ายุทธ์ ถึงกับหันหน้ามองสบตากันทันใด จากนั้นก็แลเห็นถึงความตกใจและความสยดสยองในแววตาของกันและกัน

 

กระทั่งเทพขั้นกลางของทั้ง 3 ขุมกำลังเอง ก็แลดูตกอกตกใจไม่น้อย

 

พวกมันไม่คิดไม่ฝันเลย ว่าตระกูลเฉียนจะกล้าควักหินเทพ 30,000 ตำลึงออกมา เพื่อใช้ทรัพย์ขจัดภัยภิบัติ!

 

ในฐานะที่เป็นขุมกำลังในระดับเดียวกันและขับเคี่ยวกันมาหลายปีดีดัก พวกมันย่อมรู้ดีว่าตระกูลเฉียนมีทรัพย์สิ้นมูลค่าเท่าไหร่ และแทบเท่าที่พวกมันรู้ตระกูลเฉียนนั้นยังมีทรัพย์สินตีเป็นหินเทพไม่ถึง 50,000 ตำลึงดวยซ้ำ

 

แต่ตอนนี้กลับหยิบควักออกมา 30,000 ตำลึงในคราเดียว!

 

“นายน้อยต้วน”

 

ในขณะที่ระดับสูงทั้ง 6 ของ ตระกูลเมิ่ง นิกายเมฆอรุณ และนิกายฟ้ายุทธ์กำลังตกตะลึง เมิ่งฉีโหย่ว ผู้หลอมโอสถระดับเทพของตระกูลเมิ่ง ก็มองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยความเคารพว่า “มิทราบท่านพอจะมีเวลาว่างไปเป็นแขกของตระกูลเมิ่งเราหรือไม่?”

 

ในอดีตนั้นเมิ่งฉีโหย่วเรียกหาต้วนหลิงเทียนว่า ‘สหายน้อยหลิงเทียน’

 

อย่างไรก็ตามหลังได้เห็นพลังความแข็งแกร่งอันน่ากลัวของต้วนหลิงเทียนแล้ว ให้มันมีความกล้ามากกว่านี้ 10 เท่า มันก็ไม่กล้าเรียกต้วนหลิงเทียนว่า ‘สหายน้อยหลิงเทียน’ อีก!

 

“ได้”

 

ในขณะที่คนของนิกายเมฆอรุณกับนิกายฟ้ายุทธ์คิดว่าเมิ่งฉีโหย่วคงเปิดประตูรอเก้อ พวกมันก็ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะพยักหน้าตอบตกลงเสียอย่างนั้น

 

สองตาของประมุขนิกายทั้ง 2 เปลี่ยนเป็นแดงก่ำทันที

 

ไฉนพวกมันถึงไม่กล่าวคำเชิญนายน้อยต้วนก่อนเล่า?

 

พวกมันออกหน้ามายืนหยัดอู่ด้านหลังนายน้อยต้วนเป็นการกดดันตระกูลเฉียน ทั้งเรียกหาเทพขั้นกลางให้ออกมาคารวะนายน้อยต้วนเพื่ออะไร? ไม่ใช่เพื่อประจบสอพลอนายน้อยต้วนหรอกหรือ?

 

แต่ตอนนี้นายน้อยต้วนกลับตอบรับคำเชิญของตระกูลเมิ่งไปเสียฉิบ!

 

สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับพวกมันทั้งคู่เลย

 

“นายน้อยต้วน”

 

หลังจากหารือกับบรรพบุรุษของเขตเทพขั้นกลางแล้ว ซือหม่าคงหมิงประมุขนิกาเมฆอรุณก็เร่งกล่าวออกมาทันที “ข้าในนามของนิกายเมฆอรุณ ขอเชิญนายน้อยต้วนไปเป็นแขกที่นิกายเมฆอรุณของพวกเราเช่นกัน…นอกจากนั้นนิกายเมฆอรุณของพวกเรายังได้ตระเตรียมหินเทพ 5,000 ก้อนเป็นของขวัญต้อนรับท่าน”

 

ทันทีที่ซือหม่าคงหมิงเอ่ยประโยคนี้จบคำ สองตาต้วนหลิงเทียนก็ลุกวาวขึ้นมาทันใด

 

สำหรับเขานั้น การไปตระกูลเมิ่ง นิกายเมฆอรุณ หรือนิกายฟ้ายุทธ์ก็เหมือนๆกัน นั่นเพราะเขาคิดจะไปสอบถามสถานการณ์เพิ่มเติมเพื่อประกอบการตัดสินใจของเขาหลังจากนี้ว่าจะทำอย่างไรต่อ

 

แต่ตอนนี้ การไปนิกายเมฆอรุณกลับทำให้เขาได้หินเทพอีก 5,000 ตำลึงหรือ?

 

ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังจะกล่าวตอบรับคำเชิญของ ซือหม่าคงหมิง ประมุขนิกายเมฆอรุณ ด้านจ้าวอี้เฟิงประมุขนิกายฟ้ายุทธ์ที่ได้รับความเห็นชอบจากบรรพบุรุษแล้ว ก็เร่งกล่าวขึ้นมาอีกคน “ซือหม่าคงหมิง เจ้าจักดูถูกนายน้อยต้วนมากเกินไปหรือไม่? เพียงควักหินเทพ 5,000 ตำลึงออกมาเป็นของขวัญต้อนรับนายน้อยต้วนหรือ? นิกายฟ้ายุทธ์ของพวกเรา ยินดีมอบหินเทพ 10,000 ตำลึงให้นายน้อยต้วนเป็นของขวัญเพื่อเรียนเชิญนายน้อยต้วนมาเป็นแขกที่นิกายฟ้ายุทธ์เรา!”

 

ด้านเมิ่งฉีโหย่วที่ให้ความสนใจกับท่าทีของต้วนหลิงเทียนมาโดยตลอด พอเห็นต้วนหลิงเทียนเริ่มลังเลและพิจารณาคำเชิญของอีก 2 นิกาย มันก็เร่งหารือกับผู้นำตระกูลเมิ่งรวมถึงบรรพบุรุษตระกูลเมิ่งเร็วไว

 

หลังจากได้รับความเห็นชอบจากทั้งคู่แล้ว มันก็รีบกล่าวกับต้วนหลิงเทียนว่า “นายน้อยต้วน เมื่อครู่ข้ากล่าวบอกท่านผิดพลาดเล็กน้อย…ทางตระกูลเมิ่งของเรายยินดีให้ของขวัญต้อนรับท่านในฐานะแขกเป็นหินเทพ 20,000 ตำลึง”

 

หินเทพ 20,000 ตำลึง!!

 

พอเมิ่งฉีโหย่วที่เป็นดั่งตัวแทนของตระกูลเมิ่งกล่าวจบคำ สีหน้าประมุขนิกายเมฆอรุณกับนิกายฟ้ายุทธ์ก็เปลี่ยนไปทันที พวกมันไม่คิดไม่ฝันจริงๆว่าตระกูลเมิ่งจะทุ่มทุนสร้างครั้งยิ่งใหญ่ ยอมจ่ายหินเทพมหาศาลขนาดนั้นเพื่อชวนนายน้อยต้วนไปเป็นแขกที่ตระกูล

 

ดังคำกล่าว ‘จิตใจสูงส่งเทียมฟ้า’ นายน้อยต้วนเบื้องหน้าของพวกมัน ถึงกับออกหน้าเพื่อหมู่บ้านเล็กๆไร้สำคัญ อย่างหมู่บ้านสกุลต้วนทิศใต้ในภูเขาไร้สิ้นสุด เช่นนั้นก็บอกได้เลยว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนจิตใจคับแคบและเห็นแก่ไมตรีไม่น้อย หากตระกูลเมิ่งเชิญชวนอีกฝ่ายไปแล้วผูกไมตรีได้สำเร็จ ก็ไม่ต่างอะไรกับหายนะของนิกายพวกมันทั้งคู่!

 

“นายน้อยต้วน นิกายเมฆอรุณของพวกเรายินดีเพิ่มของขวัญให้ท่านเป็นหินเทพ 25,000 ตำลึง…”

 

ประมุขนิกายเมฆอรุณเร่งกล่าวออกมาอีกครั้งทันที

 

“นายน้อยต้วน นิกายฟ้ายุทธ์ของพวกเรา…”

 

และในขณะที่ประมุขนิกายฟ้ายุทธ์พูดขึ้นมาอีกคน ต้วนหลิงเทียนก็ยกมือขึ้นตัดบทมันทันที “เอาล่ะ พวกเจ้าไม่ต้องสู้กัน…เอาแบบนี้เป็นไง พวกเจ้า 3 ขุมกำลัง ตระเตรียมหินเทพกันไว้คนละ 20,000 ตำลึงเพื่อเป็นของขวัญต้อนรับข้าในฐานะแขก หลังจากนั้นข้าจะผลัดไปเป็นแขกของพวกเจ้าทั้ง 3 ขุมกำลังเอง…”

 

พอเสียงต้วนหลิงเทียนพูดจบ ทุกคนก็พร้อมใจกันเงียบกริบ…