ตอนที่ 1934 งานใหญ่เปิดม่านเอิกเกริก
เนื้อหาในม้วนหยกสามารถทำให้ในใจผู้ฝึกปราณคนใดก็ตามสั่นสะท้านจริงๆ
แต่ไม่รวมหลินสวินอยู่ในนั้น
ตั้งแต่ตอนที่สามารถต้านการร่วมมือกันของผู้แข็งแกร่งระดับกึ่งจักรพรรดิห้าคนโดยไม่ต้องพึ่งสมบัติ สภาวะจิตของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว
ตอนที่คนระดับเดียวกันอาจจะยังจับจ้องบุคคลชั้นยอดระดับเดียวกันอยู่นั้น หลินสวินกลับเริ่มไตร่ตรองว่าหากพบเจอมกุฎกึ่งจักรพรรดิ ควรจะสู้อย่างไรดีแล้ว
ยิ่งกว่านั้น แรกเริ่มเดิมทีหลินสวินก็ไม่ได้สนใจสนใจงานชุมนุมถกมรรคสักนิด
หากไม่ใช่เพราะศิษย์พี่หลี่เสวียนเวยเคยบอกว่า เป้าหมายของงานชุมนุมถกมรรคครั้งนี้คือมุ่งหน้าไปเสาะหามหาสมบัติแรกกำเนิดที่ ‘เขตต้องห้ามเซียนโบราณ’ นั่น หลินสวินคงไม่มีทางเข้าร่วมด้วยเด็ดขาด
“พี่จิน งานชุมนุมถกมรรคครั้งนี้เจ้าคิดเห็นอย่างไร”
จู่ๆ ลู่ตู๋ปู้ก็เอ่ยปาก ไถ่ถามความคิดเห็นของหลินสวิน
ทันใดนั้นสายตาคนอื่นๆ ในโถงใหญ่ต่างก็มองมา หลินสวินเป็นอันดับหนึ่งที่สมชื่อในศึกถกมรรคแคว้นเมฆา
ไม่ว่าใครก็ไม่อาจมองข้ามความเห็นของเขา
หลินสวินอึ้งไป ครุ่นคิดก่อนกล่าวว่า “ตอนนี้พูดอะไรไปก็ออกจะไวไปหน่อย ยามงานชุมนุมถกมรรคเปิดม่านอย่างแท้จริงเดี๋ยวก็กระจ่างแจ้งเอง”
คำตอบนี้ทำเอาคนไม่น้อยค่อนข้างผิดหวัง
แต่เมื่อคิดอย่างถี่ถ้วน กลับพบว่าความเห็นเช่นนี้ของหลินสวินใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
แน่นอน ครั้งนี้ใครก็ตามที่เข้าร่วมงานชุมนุมถกมรรค แทบจะเป็นพวกทรงอิทธิพลแนวหน้าในใต้หล้ากันทั้งสิ้น ถึงขั้นที่ไม่ขาดพวกร้ายกาจที่เรียกได้ว่าวิปริตบางส่วน
แต่ใครจะกล้าบอกว่าคนอย่างพวกเขาในที่นี้ จะไม่มีโอกาสเฉิดฉายในงานชุมนุมถกมรรค
กล่าวง่ายๆ คือ หากไม่ลองสู้กันสักตั้งจะวัดฝีมือกันได้อย่างไร
เช้าวันรุ่งขึ้น
ยานสมบัติที่มีแสงเทพไหลเวียนลำหนึ่งแล่นออกจากสำนักยุทธ์ว่างเปล่า บรรทุกก้วนซวีเจ้าสำนักสำนักยุทธ์ว่างเปล่ารวมถึงพวกหลินสวินสิบคน เหินทะยานไปยังแคว้นกลางมรรค
ขณะเดียวกัน ทุกแห่งหนในโลกใหญ่หงเหมิงต่างก็บังเกิดภาพเหตุการณ์เดียวกันขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ผู้แข็งแกร่งสิบอันดับแรกที่มาจากการคัดเลือกถกมรรคแต่ละแคว้น ล้วนอยู่ภายใต้การนำทางของผู้แข็งแกร่งรุ่นอาวุโส ออกเดินทางจากสี่ทิศแปดทางมุ่งหน้าสู่แคว้นกลางมรรค
“งานชุมนุมถกมรรคที่เป็นประวัติการณ์ครั้งนี้… ในที่สุดก็ใกล้เข้ามาแล้ว…”
“คลื่นลมทั่วหล้าจะรวมตัวกันที่แคว้นกลางมรรคด้วยเหตุนี้ แค่ไม่รู้ว่าในงานชุมนุมครั้งนี้ จะมีพวกสะดุดตาเฉิดฉายออกมาสักกี่คนกันแน่”
“รอชมก็พอ!”
…
แต่ละพื้นที่ในโลกใหญ่หงเหมิงต่างกำลังวิพากษ์วิจารณ์ ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนตั้งตาคอยในใจ นี่เป็นถึงงานใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติการณ์!
พอจะเดาได้ว่าในงานชุมนุมถกมรรคต้องมียอดอัจฉริยะแห่งยุค วีรบุรุษสะท้านโลกมากมายมาประชันกัน ประลองถกมรรค ลองวัดฝีมือกันอย่างแน่นอน!
โลกใหญ่หงเหมิง ภายในแดนแห่งปริศนาแห่งหนึ่ง หมู่เขาโอบล้อม ร่องรอยคนบางตา
บนทะเลสาบที่กลายเป็นน้ำแข็งแห่งหนึ่ง เงาร่างสายหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ มือถือเบ็ดตกปลา ไม่ขยับเขยื้อนราวกับก้อนหินนิ่งหมื่นกาล
สวบ!
รุ้งวิเศษสายหนึ่งโฉบจากฟากฟ้าไกลมาเยือนโดยพลัน
เงาร่างที่ตกปลานั้นยังคงไม่ไหวติง เบ็ดตกปลาในมือของเขากลับไหวระริกเบาๆ แล้วพันธนาการรุ้งวิเศษสายนั้นเอาไว้ ลากกลับมาหยุดเบื้องหน้า
“นั่งสันโดษบนทะเลสาบน้ำแข็งสามร้อยปี เคี่ยวกรำสภาวะจิตจนบัดนี้ ในที่สุดก็ทำให้ข้ารอถึงโอกาสครั้งนี้จนได้…”
น้ำเสียงต่ำลึกดังขึ้น
ก็เห็นเงาร่างที่ไม่ขยับเขยื้อนประหนึ่งก้อนศิลานั่นหยัดกายขึ้นเต็มความสูง ยืดคลายเอวคราหนึ่ง
ตูม!
ตรงหน้าเขาผิวทะเลสาบที่กลายเป็นน้ำแข็งพลันแตกเป็นเสี่ยง ชั้นเมฆและห้วงอากาศใกล้เคียงล้วนพังทลายทันควัน
ชั่วขณะนี้กลิ่นอายเฉียบคมอันน่าสะพรึงไร้สิ้นสุดวูบหนึ่งก็โฉบพุ่งออกมาจากเงาร่างสายนั้น ให้หมู่เขาละแวกนั้นล้วนสั่นไหว หมื่นชีวิตสั่นสะท้าน
เมื่อมองเงาร่างนั้นอีกครา อาภรณ์พัดโบก นัยน์ตาดุจดาบศักดิ์สิทธิ์ กำยำดุจเทพ!
“หมีอู๋หยา หวงฝู่เซ่าหนง หลิงหงจวง… ฮ่าๆ ตั้งหลายปีขนาดนี้แล้ว ไม่รู้พวกเจ้ายังจำข้าเยวี่ยหรูหั่วได้หรือไม่”
มุมปากของชายหนุ่มยกโค้งเป็นรอยยิ้มเย็นชา ก่อนที่เงาร่างจะเลือนหายไปในอากาศ
ตูม!
หลังเขาเลือนหายไป กลางทะเลสาบน้ำแข็งนั่นก็มีสัตว์ยักษ์ดุร้ายที่กลิ่นอายน่าสะพรึงตัวหนึ่งพุ่งพรวดออกมา ส่งเสียงคำรามสะเทือนฟ้าออกมาคราหนึ่ง บนเกล็ดทั่วตัวปกคลุมด้วยลายมรรคแน่นขัดคลุมเครือ
นี่คือสัตว์ประหลาดดึกดำบรรพ์ชนิดหนึ่งในแดนแห่งปริศนานี้ มีปราณระดับกึ่งจักรพรรดิ แต่กลับถูกน้ำแข็งผนึกไว้ในที่แห่งนี้สามร้อยปี ถูกกำราบอยู่ภายใต้เบ็ดตกปลาคันหนึ่ง!
…
โลกใหญ่หงเหมิง
“นายน้อย ถึงเวลาแล้ว”
ข้ารับใช้อาวุโสคนหนึ่งเอ่ยปากพลางก้มศีรษะอย่างเคารพนบนอบ บนพื้นกว้างตรงหน้าเขามีบ่อเลือดที่ควันมารพวยพุ่งบ่อหนึ่ง
เมื่อเสียงของข้ารับใช้อาวุโสสิ้นสุด ส่วนลึกของบ่อเลือดนั้นก็มีเสียงอ่อนนุ่มสายหนึ่งดังขึ้น “งานชุมนุมถกมรรคเริ่มขึ้นแล้วหรือ”
“ขอรับ” ข้ารับใช้อาวุโสกล่าวเสียงนอบน้อม
“ในที่สุดก็มาเสียที ขืนยังไม่มาอีก ครั้งหน้ากว่าข้าจะตื่นก็ไม่รู้ว่าจะเป็นตอนไหน…”
พร้อมๆ กับเสียงนุ่มหูสายนั้นดังขึ้น บ่อเลือดบ่อนั้นก็มีไอมารสีดำสายหนึ่งพุ่งโฉบออกมากะทันหัน ทะยานขึ้นสู่ชั้นเมฆ
พริบตานั้นดุจดั่งม่านราตรีมาเยือน ทั่วสิบทิศล้วนอยู่ภายใต้ไอมารสีดำหนาทึบ
ข้ารับใช้อาวุโสตัวสั่นไปทั้งร่าง ฉายแววหวาดผวา
เขาเป็นถึงกึ่งจักรพรรดิรุ่นอาวุโสคนหนึ่ง ทว่าเวลานี้กลับรู้สึกหนาวสั่นอย่างบอกไม่ถูก ใจสะท้านไม่สิ้น
และในเวลานี้เอง กลางไอมารม้วนตลบดุจหมึกนั้นปรากฏเงาร่างสูงโปร่งสายหนึ่งเดินออกมา อาภรณ์ขาวยิ่งกว่าหิมะ ปราศจากมลทิน
โครงหน้าของเขาหล่อเหลานุ่มละมุน ทั่วร่างมีกลิ่นอายสว่างไสวไหลเวียน แต่ทว่ายามเขาก้าวเดิน ใต้ฝ่าเท้ากลับมีแผนภาพมรรคมารลึกลับภาพแล้วภาพเล่าปรากฏขึ้น
จือไป๋!
ชื่อพิเศษที่แทบไม่มีใครรู้จัก บุคคลแห่งยุคที่เก็บตัวเงียบอยู่ใน ‘บ่อเลือดสยบมาร’
ร่างเปล่งแสงสว่างไสว แต่กลับย่างเท้าในความมืดมิด!
ในเวลาเดียวกัน
บุคคลร้ายกาจแต่ละคนที่ซ่อนตัวอยู่ตามที่ต่างในโลกใหญ่หงเหมิงอันกว้างใหญ่ ตลอดจนพวกปีศาจแห่งยุคแท้จริงบางส่วนที่ไม่สนใจงานชุมนุมถกมรรคเลยด้วยซ้ำ พากันเริ่มปรากฏตัวขึ้นต่อเนื่อง แห่แหนไปยังสถานที่เดียวกัน…
แคว้นกลางมรรค!
…
เรือนมรรคโลกาสวรรค์
ภายในกระท่อมมุงจากที่เก่าแก่เรียบง่ายหลังหนึ่ง
“งานชุมนุมถกมรรคครั้งนี้เกี่ยวโยงกับยอดศุภโชคชิ้นหนึ่งของเขตต้องห้ามเซียนโบราณ ยามเปิดม่านออย่างแท้จริง สายตาทั่วทั้งใต้หล้าจะต้องจับจ้องไม่วางตาเป็นแน่”
“ออกคำสั่งลงไป ส่งข่าวไปยังเรือนมรรคอื่นๆ ให้พวกเขาแต่ละสำนักส่งระดับจักรพรรดิคนหนึ่งมาร่วมกันเป็นเจ้าภาพงานชุมนุมครั้งนี้”
ภายในกระท่อมมุงจาก ชายชราสวมชุดนักพรตเก่าเก็บ หน้าตาซูบตอบ ทั่วร่างปราศจากระลอกคลื่นกลิ่นอายใดๆ ดูไม่สะดุดตาคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิบนเบาะรองนั่ง เอ่ยปากเสียงเรียบ
“ขอรับ!”
นอกกระท่อมมีเสียงเคารพนบนอบจากใจสายหนึ่งดังขึ้น เจ้าของเสียงเป็นชายวัยกลางคนหน้าตาผ่องใสมีราศี ท่าทางภูมิฐานคนหนึ่ง สวมเกี้ยวประดับขนนก มาดน่าเกรงขามไม่ธรรมดา
คนผู้นี้คือเจ้าสำนักเรือนมรรคโลกาสวรรค์…
ไท่ซูหง!
บุคคลเทียมฟ้าที่ชื่อเสียงสะท้านโลก อำนาจบารมีเกรียงไกรทั่วหล้าคนหนึ่ง และเป็นยักษ์ใหญ่ที่เหยียบย่างระดับจักรพรรดิตั้งแต่ยุคบรรพกาล
ทว่าเวลานี้เขากลับดูครัดเคร่ง เจือแววนอบน้อม
เพราะคนที่ทำสมาธิภายในกระท่อมมุงจากนั้น เป็นเฒ่าดึกดำบรรพ์ที่มีชีวิตคนหนึ่งของเรือนมรรคโลกาสวรรค์ บรรพจารย์มรรคที่ดุจดั่งเข็มเทพสยบทะเลคนหนึ่ง!
“ผู้อาวุโสยังมีคำสั่งอื่นอีกหรือไม่”
ไท่ซูหงกล่าวเสียงเบา
“งานชุมนุมถกมรรค ดูเหมือนเป็นเพียงการต่อสู้ของคนรุ่นเยาว์ ความจริงแล้วเกี่ยวโยงกับการแย่งชิงมหาสมบัติแรกกำเนิดของเขตต้องห้ามเซียนโบราณ ต่อให้เป็นระดับจักรพรรดิก็ยังไม่อาจเมินเฉย”
ภายในกระท่อมมุงจาก ชายชราชุดนักพรตกล่าว “แต่ไม่ว่าอย่างไรกฎกติกาของการถกมรรคครั้งนี้ก็กำหนดไว้แล้วแต่ต้น ในเมื่อสถานที่จัดงานชุมนุมถกมรรคอยู่ที่เรือนมรรคโลกาสวรรค์ของพวกเรา เช่นนั้นกฎเกณฑ์นี้ย่อมต้องได้รับการปกป้องจากพวกเรา ห้ามปล่อยให้ใครก็ตามฝ่าฝืน”
ไท่ซูหงพยักหน้า “ผู้อาวุโสโปรดวางใจ”
“จะว่าไปแล้วข้าเองก็ตั้งหน้าตั้งตารอเช่นกัน ยามที่งานถกมรรคครั้งนี้ปิดม่าน มหาสมบัติแรกกำเนิดที่อุบัติขึ้นภายในเขตต้องห้ามเซียนโบราณนั้นจะตกไปอยู่ที่ผู้ใด”
ชายชราชุดนักพรตเอ่ยปากเนิบนาบ
“ไม่เพียงแต่ผู้อาวุโส ขุมอำนาจทั่วหล้าย่อมต้องใส่ใจเรื่องนี้อย่างมาก ถึงอย่างไรการครอบครองมหาสมบัติแรกกำเนิดจากแดนแห่งปริศนาชิ้นหนึ่ง นั่นเท่ากับมีรากฐานในการบุกเบิกเรือนมรรคแห่งหนึ่งเลยทีเดียว”
นัยน์ตาไท่ซูหงมีประกายเร้นลับอัศจรรย์ไหลวาบ
การถือกำเนิดของเรือนมรรคโลกาสวรรค์ ก็เป็นเพราะมหาสมบัติแรกกำเนิดชิ้นหนึ่งเช่นเดียวกัน…
ศิลามรรคโลกาสวรรค์!
กล่าวอย่างไม่เกินจริง ที่เรือนมรรคโลกาสวรรค์สามารถยืนเคียงเรือนมรรคใหญ่อีกห้าแห่ง เข้าไปเป็น ‘หกเรือนมรรคใหญ่’ ได้ ศิลามรรคโลกาสวรรค์ก็คือรากฐานดั้งเดิมของมัน!
และครั้งนี้ ภายในเขตต้องห้ามเซียนโบราณนั้นจะปรากฏมหาสมบัติแรกกำเนิดแบบใดขึ้นอีก
นี่คือจุดที่ทั่วหล้าฟ้าดาราให้ความสนใจมากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย!
พวกระดับจักรพรรดิอย่างไท่ซูหงก็ยังไม่อาจไม่ใจเต้นรัว
“ไปเถิด จำไว้ ไม่ว่าจะเกิดคลื่นลมอะไร ล้วนต้องปฏิบัติตามกฎของงานชุมนุมถกมรรค”
ภายในกระท่อมมุงจาก น้ำเสียงชายชราชุดนักพรตเข้มขรึม
ไท่ซูหงพยักหน้า รับคำสั่งแล้วจากไป
..