เมื่อเห็นเย่เฉินไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย ทากาฮาชิ เอคิจิรู้สึกว่า วันนี้ตัวเองต้องจบเห่แล้ว

เพราะตอนนี้ เขาไม่มีใครใช้งานได้แล้ว

ต่อให้ตอนนี้โทรหาแจ้งให้ยอดฝีมือจากตระกูลให้มารวมตัวกันที่นี่ ก็ไม่ทันแล้ว

ตอนที่ทากาฮาชิ เอคิจิสิ้นหวังเป็นอย่างมาก ทันใดนั้นประตูรถโรลส์-รอยซ์ ข้างๆก็เปิดออก

ซูจือหยูก้าวลงจากรถ และพูดกับเย่เฉินว่า: “คุณผู้ชายท่านนี้ คุณเป็นคนประเทศจีน ต้องเข้าใจเหตุผลที่ว่าอย่าเรื่องอะไรที่เกินความพอดี คุณก็ไม่น่าจะไม่เข้าใจนะ?”

เย่เฉินคาดไม่ถึงว่า ยังมีคนกล้าออกหน้าให้ทากาฮาชิ เอคิจิคนนี้

ที่สำคัญ ยังเป็นผู้หญิงอีกด้วย

เขาขมวดคิ้วมองไปทางซูจือหยู ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า: “ฉันฟังจากที่คุณพูดก็น่าจะเป็นคนจีนใช่มั้ย? ทำไม? จะขอร้องแทนญี่ปุ่นคนนี้เหรอ?”

ซูจือหยูพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์: “ฉันไม่ได้ขอร้อง ฉันเพียงแค่แนะนำคุณเป็นคนอย่าทำสิ่งที่เกินพอดี ทุกเรื่องควรจะเหลือทางรอดไว้บ้าง”

เย่เฉินยิ้ม แล้วถามเธอ: “เมื่อกี้นี้เขาให้คนนับสิบมารุมตีฉันพร้อมกัน ทำไมไม่เห็นคุณห้ามไว้บ้างเกลี้ยกล่อมเขาว่าทุกเรื่องควรจะเหลือทางรอดไว้บ้าง?”

ซูจือหยูตกตะลึงเล็กน้อยกับคำถามของเย่เฉิน

เมื่อกี้นี้ อันที่จริงมีความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัวของเธอ ถ้าเย่เฉินรับมือไม่ไหวชีวิตตกอยู่ในอันตราย ตัวเองคงจะลงมาห้ามทากาฮาชิ เอคิจิไว้

แต่ทว่า ในใจของเธอรู้ดีว่า ตอนนี้ตัวเองพูดแบบนี้ อีกฝ่ายไม่เชื่ออย่างแน่นอน

ดังนั้นเธอจึงเอ่ยปากพูดว่า: “อีกฝ่ายนับสิบคนรุมตีคุณ คุณก็ไม่ได้รับบาดเจ็บไม่ใช่เหรอ? ในเมื่อไม่ได้รับบาดเจ็บ ทำไมไม่เหลือทางเอาตัวรอดให้อีกฝ่ายบ้าง?”

เย่เฉินแสยะยิ้ม ถามกลับว่า: “เขาไม่เหลือทางเอาตัวรอดให้ฉัน ทำไมฉันต้องเหลือให้เขาด้วย?”

ซูจือหยูอ้าปากพูดว่า: “คุณผู้ชายท่านนี้ พวกเราก็ว่ากันไปตามสถานการณ์ เหตุการณ์เมื่อกี้นี้ คุณมีความผิดก่อน ที่นี่เป็นถนนสายหลัก ไม่ใช่สวนหลังบ้านของคุณ คุณไล่ตีกับคนบนถนนสายนี้ ตัวของคุณเองก็มีความผิดอยู่ก่อน ที่สำคัญเมื่อกี้นี้คนคนนั้นก็ถูกคุณไล่ตามอยู่ ถึงได้ถูกรถคันนี้ทับในที่สุด”

เย่เฉินยิ้มแล้วพูด: “งั้นฉันถามคุณ คุณรู้มั้ยว่า เมื่อกี้นี้ทำไมฉันต้องไล่ไอ้หมอนั่นด้วย?”

ซูจือหยูพูดอย่างไม่สนใจไยดีว่า: “ฉันไม่รู้ และก็ไม่อยากรู้ด้วย เรื่องอื่นไม่ต้องพูด คุณไล่ตามอีกฝ่ายอยู่บนถนน นี่ก็เป็นการกระทำที่หยาบคายในตัวของมันเอง”

พูดไปแล้ว ซูจือหยูก็พูดว่า: “เดิมทีเรื่องนี้เป็นความผิดของคุณก่อน กลับลงมือกับทากาฮาชิ เอคิจิอย่างไร้เหตุไร้ผล ที่สำคัญยังลงมืออย่างโหดเหี้ยม จากเหตุผลของความรู้สึก ก็ค่อนข้างไม่ค่อยเป็นธรรมเท่าไหร่นะ?”

เย่เฉินแสยะยิ้ม: “สาวน้อย ฉันดูคุณก็ไม่เหมือนกับเป็นคนไม่ดีนะ ทำไมต้องปกป้องคนญี่ปุ่นสองคนด้วย? ที่สำคัญยังเป็นคนเหลือเดนสองคนด้วย?”

“คนเหลือเดน?”ซูจือหยูถามกลับ: “งั้นฉันถามคุณนะ ทำไมคนเหลือเดนสองคนที่คุณพูดถึง คนหนึ่งถูกคุณไล่ตามจนเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ และอีกคนหนึ่งถูกคุณทำร้ายจนแขนหัก?”

เย่เฉินพูดอย่างเหยียดหยามว่า: “ใบไม้หนึ่งใบบังตาประโยคนี้ ใช้กับคนที่ตื้นเขินอย่างคุณ เหมาะเจาะจงจริงๆ!”

ซูจือหยูค่อนข้างโกรธจนทนไม่ไหว และถามว่า: “เฮ้ย นายพูดอะไรนะ?! ฉันตื้นเขินเหรอ?”

เย่เฉินพยักหน้า: “ถูกต้อง ที่สำคัญตื้นเขินมาก!”

ชะงักนิ่งไปชั่วครู่ เย่เฉินก็พูดว่า: “ยิ่งเป็นคนตื้นเขิน ยิ่งเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น ยังไม่พูดถึงไอ้หมอนี่ที่ถูกรถทับทำความชั่วร้ายอะไรกันแน่ พูดแค่ผู้ชายที่นามสกุลทากาฮาชิคนนี้ ลงรถก็ราวีฉันไม่หยุด ยังให้คนมากมายขนาดนี้ลงมือกับฉันอย่างพร้อมเพรียงกัน คุณคิดว่าคนคนนี้เป็นผู้บริสุทธิ์มั้ย? ถ้าหากฝีมือของฉันแย่ไปเล็กน้อย เมื่อกี้นี้ก็ถูกบอดี้การ์ดเหล่านั้นทุบตีตายไปตั้งนานแล้ว!”

ซูจือหยูโกรธจนหน้าอกขึ้นลงอย่างต่อเนื่อง พูดด้วยโกรธว่า: “ฉันเพียงแค่อยากให้คุณอย่าเรื่องอะไรที่เกินความพอดี คุณก็หักแขนข้างหนึ่งของเขาไปแล้ว นี่ยังไม่พออีกเหรอ?”

“ไม่พอ!”เย่เฉินพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า: “เมื่อกี้นี้ฉันบอกแล้วว่า ต้องสองข้าง!”

“แก…”

ซูจือหยูอกจะแตกตายอยู่แล้วจริงๆ

คาดไม่ถึงว่าหมอนี่จะไม่เห็นใครอยู่ในสายตาขนาดนี้!