ตอนที่ 1965 บีบคั้นข่มขู่
หืม?

หลินสวินสังเกตเห็นได้อย่างแม่นยำ สายตาของซย่าสิงเลี่ยมองมาทางตน ในขณะเดียวกัน เสียงของเขาก็ดังขึ้นในโสตประสาทว่า

‘สหายน้อย ทันทีที่ฐานะของเจ้าถูกเปิดเผย พวกสัตว์ประหลาดเฒ่าที่อยู่ที่นี่จะต้องคลั่งแน่!’

‘ถึงอย่างไรที่แหล่งสถานคุนหลุนตอนนั้น ยังไม่ต้องยกเรื่องเจ้าฆ่าผู้สืบทอดหกเรือนมรรคใหญ่กับสิบเผ่านักรบใหญ่เหล่านั้น แค่เจ้าได้ยอดศุภโชคที่มีความลับของการบรรลุจักรพรรดิกลายเป็นบรรพจารย์นั้นไป ก็เพียงพอจะทำให้ระดับจักรพรรดิที่อยู่ที่นี่ ไม่ว่าคนไหนก็ปล่อยเจ้าไปไม่ได้แล้ว’

พูดถึงตรงนี้ซย่าสิงเลี่ยก็เปลี่ยนเรื่อง ‘ทว่าตอนนี้ยังมีโอกาสกู้สถานการณ์ ทว่าเมื่อข้าลงมือ เกรงว่าเจ้าจะไม่มีโอกาสเข้าไปในเขตต้องห้ามเซียนโบราณอีก ฉวยจังหวะนี้เจ้าเลือกดูเถอะ’

เสียงเคร่งเครียดอย่างหาได้ยาก

ดวงตาดำหลินสวินไหววูบ เอ่ยว่า ‘ผู้อาวุโสวางใจ สมบัติที่ปิดบังกลิ่นอายบนตัวข้าอาจจะถูกหาเจอ แต่ฐานะที่แท้จริงของข้าจะไม่ถูกใครล่วงรู้แน่’

ชุดนักพรตสมประสงค์เป็นสมบัติจักรพรรดิที่มหัศจรรย์หาใดเทียบชิ้นหนึ่ง ได้มาจากรั่วซู่ ศิษย์พี่สามของคีรีดวงกมล ต่อให้ถูกมองออกก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่

เพราะความวิเศษที่สุดของสมบัตินี้ ก็คือยามต่อสู้สามารถสลายการสอดแนมจากระดับจักรพรรดิได้ ดังนั้นจึงปิดบังมรดกวิชาที่มาที่ไปได้สำเร็จ

และในตอนนี้หลินสวินไม่ได้ต่อสู้อยู่

เช่นเดียวกัน เขาในตอนนี้ปรากฏตัวด้วยกายมรรคทองขาว ไม่ใช่การปลอมตัวอยู่แล้ว ต่อให้คันฉ่องมรรคยอดยุทธ์นั้นมหัศจรรย์แค่ไหนก็ทำอะไรไม่ได้

ซย่าสิงเลี่ยชะงักไป ครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า ‘ได้ แล้วแต่เจ้า’

สายตาหลินสวินมองไปยังชายหนุ่มที่อยู่ไม่ไกลคนหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ

คนผู้นี้มีผิวสีทองอ่อน คิ้วตากร้าวแกร่ง ร่างกายสูงใหญ่ดั่งภูผา มีบุคลิกหนักแน่นดั่งโลหะ

เขามีฉายาธรรมว่าอู้เสวียน

ตอนนี้ก็ปรากฏตัวด้วยนาม ‘อู้เสวียน’ นี้

แต่หลินสวินรู้ดี หมอนี่มาจากแดนกษิติครรภ์ที่เป็นหนึ่งในสามโลกมืด!

ก่อนหน้านี้ในแดนลับโลกาสวรรค์ ก็เพราะอู้เสวียนโจมตีเหลิ่งซิวเจีย จึงเกือบทำให้เหลิ่งซิวเจียถูกคัดออกจากการคัดเลือก

เดิมทีหลินสวินคิดว่าพอได้เผชิญหน้ากับการข่มขู่ของคันฉ่องมรรคยอดยุทธ์ คนผู้นี้จะต้องลนลานแน่ ถึงอย่างไรฐานะของเขาก็ละเอียดอ่อนถึงที่สุดเหมือนกัน

จะคิดได้อย่างไรว่าอู้เสวียนกลับแน่วนิ่งไม่ไหวติง ไม่มีปฏิกิริยาใดสักนิดเดียว!

หลินสวินอึ้งไป

ทันใดนั้นข้างหูก็ได้ยินเสียงสื่อจิตของซย่าสิงเลี่ย

‘ไม่ต้องสนใจเจ้าคนที่มาจากโลกมืดพวกนี้ การไปเขตต้องห้ามเซียนโบราณคราวนี้ ขุมอำนาจใหญ่อย่างหกเรือนมรรคใหญ่กับสิบเผ่านักรบใหญ่ ยอมรับผู้สืบทอดจากโลกมืดให้เข้าร่วมได้อย่างลับๆ นานแล้ว’

‘สาเหตุน่ะหรือ ง่ายดายนัก ถ้าไม่ยอมรับ โลกมืดก็จะส่งเฒ่าชราบางคนมาระราน ถ้าเกิดทำลายเส้นทางที่จะไปเขตต้องห้ามเซียนโบราณขึ้นมา เช่นนั้นผลลัพธ์ก็จะร้ายแรงแล้ว’

หลินสวินถึงเข้าใจทั้งหมดในยามนี้

จากจุดนี้เห็นได้ว่า โลกมืดก็ติดตามการเดินทางไปเขตต้องห้ามเซียนโบราณคราวนี้เป็นอย่างยิ่งเช่นกัน ทั้งยังมาเข้าร่วมด้วย!

คิดดูแล้วก็จริง ศิลามรรคโลกาสวรรค์ก้อนหนึ่งทำให้เกิดสำนักเก่าแก่ชื่อสะท้านฟ้าดาราแห่งหนึ่ง ตอนนี้ยังมีชื่ออยู่ในหกเรือนมรรคใหญ่ ทั่วหล้าครั่นคร้าม

และตอนนี้ เป็นไปได้สูงมากที่สมบัติซึ่งถือกำเนิดในเขตต้องห้ามเซียนโบราณชิ้นนั้น จะเป็นมหาสมบัติแรกกำเนิดเหมือนศิลามรรคโลกาสวรรค์ เรื่องนี้จะไม่ทำให้ขุมอำนาจไหนในใต้หล้าตาลุกวาวบ้าง

“ช่างเถิด ในเมื่อสหายมรรคดื้อดึงเช่นนี้ เช่นนั้นก็เริ่มตรวจดูเถิด”

ไท่ซูหงไม่ขวางอีก

จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงพยักหน้า

ขวับ!

สายตานางหยุดอยู่ที่หลินสวินแทบจะในทันที “จินตู๋อี เจ้าเป็นอันดับหนึ่งของการถกมรรคแดนลับโลกาสวรรค์ ย่อมต้องเริ่มที่เจ้า เจ้ามีความเห็นไหม”

เสียงเรียบเฉยเจือความเย่อหยิ่งและพินิจพิเคราะห์ ราวกับจับจ้องเหยื่อตัวหนึ่ง

เดิมนางนึกว่าจะได้เห็นความรู้สึกกังวลว้าวุ่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลินสวินบ้าง แต่สุดท้ายนางก็ต้องผิดหวัง

หลินสวินเยือกเย็นมากอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังให้ความร่วมมือยิ่ง เอ่ยว่า “ไม่ปิดบังผู้อาวุโสทุกท่าน ตอนข้าเข้าร่วมการชุมนุมถกมรรคครั้งนี้ก็ปิดบังกลิ่นอายบนตัวบ้างจริงๆ แต่ถ้าบอกว่าข้ามีเจตนาชั่วร้าย ข้าไม่ยอมรับ”

ขณะที่พูดบนร่างเขาก็มีแสงเทพฉายวาบ เสื้อคลุมตัวหนึ่งปลิวลอยออกจากร่าง กลายเป็นแสงประกายสีเงินวงหนึ่งล้อมรอบนิ้วมือเขาไว้

พอไม่มีชุดนักพรตสมประสงค์ปิดบัง กลิ่นอายและรูปลักษณ์ของหลินสวินไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไร

แต่ในสายตาของคนใหญ่คนโตระดับจักรพรรดิเหล่านั้นกลับมองเบาะแสอะไรบางอย่างออก พูดอีกอย่างก็คือ พวกเขาถูกประกายแสงสีเงินที่นิ้วมือหลินสวินวงนั้นดึงดูดสายตาไป

สมบัติจักรพรรดิ!

พวกเขาระบุคุณลักษณะของชุดนักพรตสมประสงค์ได้ทันที นัยน์ตาต่างหดรัด

ด้วยระดับอย่างพวกเขา ย่อมเคยเห็นสมบัติจักรพรรดิต่างๆ มามาก แต่กลับยังไม่เคยเห็นว่าใครจะหลอมสมบัติจักรพรรดิเป็นเสื้อผ้า เพียงเพื่อปิดบังกลิ่นอายของตนเอง

สิ่งนี้จะหรูหราเกินไปแล้ว ฟู่ฟ่าจนน่าตกตะลึง!

ชั่วขณะเดียวสายตาที่ระดับจักรพรรดิมองหลินสวินก็แปรเปลี่ยนเป็นชอบกล เจ้าหนุ่มนี่… มีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่

แต่กลับเห็นจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงสีหน้าขรึมลง “เจ้าหนุ่ม ยังพูดว่าเจ้าไม่มีเจตนาร้าย สวมใส่สมบัติจักรพรรดิเช่นนี้ไม่ได้เพื่อปิดบังตัวตนหรือ บอกมา เจ้าเป็นใครกันแน่!”

น้ำเสียงดุดัน อำนาจกดข่ม!

อานุภาพระดับจักรพรรดิทำให้หลินสวินรวมถึงทุกคนที่อยู่ใกล้กันต่างตัวแข็งทื่อ หายใจไม่สะดวก

ซย่าสิงเลี่ยเอ่ยปากเสียงเรียบว่า “ถ้าเจ้ากังขาฐานะของเจ้าหนุ่มนี่ก็เปิดโปงเขาท่ามกลางฝูงชน ถ้าเพียงแค่กังขาแต่ไม่มีหลักฐาน เช่นนั้นก็เป็นการใช้อำนาจรังแกผู้อื่น ข้าคงต้องสอดมือยุ่งเกี่ยวหน่อยแล้ว”

วาจาราบเรียบ แต่กลับไม่อาจสงสัยได้

จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงเดือดดาลจนเปลี่ยนเป็นหัวเราะ “ซย่าสิงเลี่ย ถึงตอนนี้แล้วเจ้ายังปกป้องเจ้าหนุ่มนี่อีก เช่นนั้นก็ดี ข้าจะบอกเจ้าให้ก็ได้ ข้าสงสัยว่าฐานะของเจ้าหนุ่มนี่มีปัญหาจริงๆ หาไม่แล้วจะต้องใช้สมบัติจักรพรรดิปกปิดกลิ่นอายทำไม”

นางหยุดไปแล้วเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ยิ่งไปกว่านั้น ตอนการถกมรรคแดนลับโลกาสวรรค์เริ่มขึ้น พี่ไท่ซูก็เคยบอกเองว่าห้ามใช้สมบัติจักรพรรดิ เจ้านี่… ละเมิดกฎแล้ว มีโทษต้องสังหาร!”

ทุกถ้อยคำมีกลิ่นอายเย็นเยียบแผ่กระจาย ทำให้หลายคนหน้าเปลี่ยนสี

ใครก็คิดไม่ถึงว่าก่อนจะไปเขตต้องห้ามเซียนโบราณกลับเกิดคลื่นลมเช่นนี้ หนำซ้ำจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงยังชี้ปลายหอกไปหาจินตู๋อี!

ชั่วขณะเดียวมีคนมีความสุขบนความทุกข์ผู้อื่น ในใจตื่นเต้น แทบรอให้หลินสวินถูกสังหารเพราะเรื่องนี้ไม่ไหว

ทั้งยังมีคนนิ่วหน้า นิ่งเงียบไม่พูดจา

พวกจินเทียนเสวียนเยวี่ย ลู่ตู๋ปู้ยังลอบกระวนกระวายขึ้นมา

“น่าขัน”

ก็ในตอนนี้เองหลินสวินยิ้มเย็นชา “สำหรับข้าแล้วสมบัติจักรพรรดิชิ้นนี้ก็เหมือนเสื้อผ้าที่สวมติดกายตัวหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในแดนลับโลกาสวรรค์ ทุกท่านในที่นี้ก็เห็นหมด ขอบังอาจถามคำหนึ่งว่ามีใครเคยเห็นข้าใช้สมบัตินี้หรือไม่”

ถ้อยคำนี้หนักแน่นหาใดเทียบ ถึงขั้นแข็งกร้าว เผชิญหน้ากับจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงตรงๆ!

หลายคนต่างสูดหายใจเย็น จินตู๋อีคนนี้… ใจกล้านัก!

“ไม่มี!”

หลินสวินถามเองตอบเอง “ถ้าข้าใช้อานุภาพของสมบัติจักรพรรดิ ต้องหนีสายตาของผู้อาวุโสทั้งหลายไม่ได้ตั้งแต่ตอนอยู่ในแดนลับโลกาสวรรค์แล้ว ต่อให้ต้องถูกลงโทษ เหตุใดต้องรอถึงตอนนี้อีก”

“เจ้าคารมนัก หลักฐานทนโท่เจ้ายังกล้าต่อปากต่อคำหรือ”

จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงสีหน้าเหี้ยมเกรียม อานุภาพยิ่งทวีความน่ากลัว

“หลักฐานหรือ หลักฐานอะไร ข้ากลับอยากถามว่าในหมู่สหายยุทธ์ที่เข้าร่วมการถกมรรคคนอื่นในที่นี้ เกรงว่าคนไม่น้อยก็พกสมบัติจักรพรรดิไว้กับตัวทั้งนั้น แต่เหตุใดผู้อาวุโสถึงพุ่งเป้ามาที่ข้าคนเดียว”

หลินสวินไม่ยอมถอยสักนิด โต้เถียงว่า “หรือเป็นเพราะ… ในแดนลับโลกาสวรรค์ ข้าทำให้ผู้สืบทอดเรือนมรรคจักรวาลไม่น้อยถูกคัดออก ถึงทำให้ผู้อาวุโสคิดแค้นในใจ ตั้งใจสร้างความลำบากให้ข้าหรือ”

คำพูดเดียวทำให้พวกหมีอู๋หยา หวงฝู่เซ่าหนง หลิงหงจวงต่างมองหน้ากัน เพราะพวกเขาก็พกสมบัติจักรพรรดิติดตัวอย่างที่หลินสวินพูด

แต่นั่นเป็นวิธีรักษาชีวิตก้นกรุของพวกเรา ไม่ได้ใช้ในแดนลับโลกาสวรรค์อยู่แล้ว

เช่นเดียวกัน คำพูดของหลินสวินทำให้จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงยิ่งโกรธแค้นอย่างอดไม่ได้ คนรุ่นหลังคนหนึ่ง กลับกล้าถากถางกังขานางต่อหน้าทุกคน ช่างไม่สนกฎเกณฑ์นัก!

“บังอาจ! ข้าก็อยากเห็นนักว่ามารชั่วอย่างเจ้าเป็นใครกันแน่!”

นางตะคอกแล้วพลิกมือ คันฉ่องมรรคยอดยุทธ์ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว แสงขาวเจิดจ้าสายหนึ่งอุบัติขึ้น ฉายส่องไปทั้งตัวหลินสวินตั้วแต่หัวจรดเท้า

ในที่นั้นเงียบสงัดไปครู่หนึ่ง

เพราะหลินสวินยืนอยู่ที่เดิม ภายใต้พลังคันฉ่องมรรคยอดยุทธ์ที่ปกคลุม รูปลักษณ์ไม่ได้เปลี่ยนไปสักนิด ย่อมไม่อาจพูดถึงการปลอมตัวอะไรได้อยู่แล้ว

นี่ก็คือกายมรรคทองขาว รูปลักษณ์เปลี่ยนแปลงได้ กลิ่นอายกับท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์บนร่าง รวมถึงนัยเร้นลับทั้งภายในภายนอกร่างกายแตกต่างจากร่างต้นโดยสิ้นเชิง

จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงอึ้งไป เอ่ยอย่างตะลึงว่า “ทำไมเป็นแบบนี้…”

ซย่าสิงเลี่ยพูดอย่างเย็นชาว่า “ยายแก่อย่างเจ้านี่ก่อเรื่องวุ่นวายพอหรือยัง ใช้ฐานะระดับจักรพรรดิไปสร้างความลำบากใจให้คนรุ่นหลังคนหนึ่งเพื่อระบายความไม่พอใจในใจ ไม่รู้สึกละอายหรือ ข้ายังขายหน้าแทนเจ้าเลย!”

วาจานี้พูดออกมาอย่างไม่เกรงใจสักนิด

ความจริงแล้วซย่าสิงเลี่ยก็ลอบถอนหายใจโล่งอกเช่นกัน เมื่อกี้เขากำมือจนเหงื่อโชก ตอนนี้ถือว่าวางใจไปมากแล้วในที่สุด

พวกไท่ซูหงก็นิ่วหน้าอยู่บ้าง ท่าทีของจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงออกจะไม่เหมาะสมอยู่บ้างจริงๆ

“ไม่ถูกต้อง บนตัวเจ้านี่ต้องมีปัญหาแน่!”

ทันใดนั้นจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงคล้ายนึกอะไรขึ้นได้ เอ่ยว่า “ทุกท่านจำได้ไหม ว่าในศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิเมื่อยุคบรรพกาล เคยมีเจ้าเฒ่าคีรีดวงกมลคนหนึ่งควบรวมร่างแยกระดับจักรพรรดิได้ห้าร่าง แต่ละร่างล้วนมีอานุภาพและท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่ต่างกันโดยสินเชิง ไม่เหมือนกับร่างต้นเลย”

เก่ออวี้ผู!

ชื่อหนึ่งต่างผุดขึ้นในสมองพวกไท่ซูหงโดยมิได้นัดหมาย หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ คนผู้นั้นเป็นผู้สืบทอดลำดับที่เก้าแห่งคีรีดวงกมล เป็น ‘จอมจักรพรรดิหวงถิง’ ที่กิตติศัพท์เลื่องลือไปทั่วหล้า!

จักรพรรดิอสูรมารตู๋เทียนซึ่งเป็นผู้นำของเจ็ดจักรพรรดิอสูรมารดึกดำบรรพ์ก็ถูกคนผู้นี้สยบ!

และที่เก่ออวี้ผูเด่นดังที่สุดก็คือ ได้ครอบครอง ‘กายจักรพรรดิห้าธรรม’ คนผู้เดียวสู้ศึก ก็เทียบได้กับระดับจักรพรรดิหกคนร่วมกันลงมือ อานุภาพน่ากลัวยิ่งยวด

“เจ้าคงไม่ได้สงสัยว่าเจ้านี่มาจาก…”

จักรพรรดิมารผลาญนภาคล้ายตระหนักอะไรได้ นัยน์ตาหดเกร็งไปหมด

“ใช่แล้ว ข้าสงสัยว่าเป็นไปได้สูงมากที่เจ้านี่ก็คือผู้สืบทอดของเจ้าเฒ่าคีรีดวงกมลนั่น เป็นเศษเดนที่ควรกำจัดให้สิ้นซาก!”

จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงน้ำเสียงเย็นชา

ขณะนี้ขนาดซย่าสิงเลี่ยยังประหลาดใจไปครู่หนึ่ง เขารู้แค่เรื่องหลินสวินเคยก่อเรื่องใหญ่ที่แหล่งสถานคุนหลุน ครอบครองยอดศุภโชคที่มีความลับของการบรรลุจักรพรรดิกลายเป็นบรรพจารย์ชิ้นหนึ่งเท่านั้น

แต่ไม่เคยคิดว่าหลินสวิจะเกี่ยวข้องกับคีรีดวงกมล!

ส่วนเหล่าผู้แข็งแกร่งที่มีสิทธิ์เข้าสู่เขตต้องห้ามเซียนโบราณอย่างหมีอู๋หยา หวงฝู่เซ่าหนงก็งุนงงไปครู่หนึ่ง

พวกเขาคิดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะแปรผันมาถึงขั้นนี้ ชั่วขณะเดียวจินตู๋อีดันกลายเป็นเศษเดนที่เหลือรอดของคีรีดวงกมล!

พวกเขาก็รู้จักคีรีดวงกมลเช่นกัน ทั้งยังรู้ว่าในสมัยบรรพกาล ยอดสำนักที่เต็มไปด้วยตำนานแห่งนี้ถูกทำลายไปตั้งแต่หลังศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิแล้ว

ถ้าการสันนิษฐานของจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงเป็นจริง เช่นนั้นผลลัพธ์ที่จินตู๋อีกำลังจะเผชิญก็ร้ายแรงแล้ว!

——