ตอนที่ 1970 ตำนานล้ำนิรันดร์กาล

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 1970 ตำนานล้ำนิรันดร์กาล
แววเหม่อลอยปรากฏขึ้นบนหว่างคิ้วของรั่วซู่ เหมือนตกอยู่ในการย้อนนึกถึงวันเก่า

“ตอนที่อาจารย์รับปาก ศิษย์พี่ใหญ่ดีใจจะแย่ หลังออกจากสำนักไม่นานก็บุกเบิกเรือนมรรคคืนกำเนิด”

“เพียงแต่เรือนมรรคคืนกำเนิดในตอนนั้นมีแต่เขาคนเดียว หนำซ้ำยังไม่มีแม้แต่เขาวิญญาณแดนมงคลให้ฝึกปราณได้สักแห่ง ย่อมไม่ถึงกับมีชื่อเสียงอะไร”

“ศิษย์พี่ใหญ่หยิ่งทระนงมาก ไม่ต้องการอาศัยความช่วยเหลือของพลังที่เกี่ยวข้องกับคีรีดวงกมล เริ่มกรำศึกในใต้หล้าเพียงลำพัง”

“เขาในตอนนั้นเปลี่ยนตัวตนไปต่างๆ นานา ทั้งผู้ฝึกกระบี่ ผู้ฝึกดาบ ยังมีผู้ฝึกฌาน ผู้ฝึกจิต ผู้ฝึกกาย…”

“ไม่ว่าจะเป็นตัวตนไหน และไม่ว่าจะผ่านการเข่นฆ่าเช่นไร ขอเพียงเขาได้รับชัยชนะ จะต้องบอกว่าตนเป็นผู้สืบทอดเรือนมรรคคืนกำเนิด”

“ระหว่างที่เขาสู้ศึก ชื่อเสียงของเรือนมรรคคืนกำเนิดก็แพร่กระจายตามไปด้วย ดึงดูดสายตาจับจ้องและเสียงวิพากษ์วิจารณ์นับไม่ถ้วน”

“ผู้คนพูดกันว่าเรือนมรรคคืนกำเนิดเป็นมหาจักรพรรดิทั้งสำนัก รากฐานพลังลึกล้ำไม่อาจหยั่งถึง หนำซ้ำยังน่าพิศวงหาใดเทียบ ไม่มีใครว่าภูเขาของเรือนมรรคคืนกำเนิดอยู่ที่ไหน”

“ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้ชื่อเสียงของเรือนมรรคคืนกำเนิดโด่งดังขึ้น”

พูดถึงตรงนี้มุมปากของรั่วซู่ก็ยิ้มอย่างอดไม่ได้ “เพียงแต่ไม่มีใครรู้ว่า ผู้สืบทอดเรือนมรรคคืนกำเนิดที่เป็นตัวตนต่างๆ นั้น ความจริงแล้วมาจากศิษย์พี่ใหญ่คนเดียว”

“ขนาดเฒ่าชราระดับบรรพจารย์บางคนยังถูกหลอกเสียสนิท คิดไปจริงๆ ว่าบนโลกนี้มีสำนักน่ากลัวที่มีผู้สืบทอดระดับจักรพรรดิมากมายเพิ่มเข้ามาอีกแห่ง ศิษย์น้องเจ้าว่าศิษย์พี่ใหญ่ร้ายกาจไหม”

หลินสวินพยักหน้าซ้ำๆ จิตใจก็สั่นสะท้านไม่หยุด

คนผู้เดียวแปลงร่างนับไม่ถ้วน ค้ำจุนเรือนมรรคแห่งหนึ่งจนสะเทือนฟ้าดารา!

ที่น่าเหลือเชื่อที่สุดก็คือยังไม่มีใครมองทะลุได้ จากจุดนี้ก็เห็นได้ว่ามรรควิถีกับฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่แข็งแกร่งปานไหน!

รั่วซู่พูดต่อว่า “สมัยดึกดำบรรพ์ก็เคยจัด ‘งานชุมนุมวิชาบรรพจารย์’ ที่เรือนมรรคโลกาสวรรค์แห่งนี้ครั้งหนึ่ง ตอนนั้นห้าเรือนมรรคใหญ่อย่างดึกดำบรรพ์ จักรวาล เหล่ามาร โลกาสวรรค์และยุทธจักรต่างส่งบุคคล ‘ระดับบรรพจารย์’ ออกมาถกมรรคแลกเปลี่ยนวิชากับศิษย์พี่ใหญ่สำนักละคน”

“ขอเพียงแพ้ครั้งหนึ่ง เรือนมรรคคืนกำเนิดก็จะไม่สามารถเป็น ‘เรือนมรรค’ ได้”

“ผลลัพธ์เจ้าต้องรู้อยู่แล้ว ศิษย์พี่ใหญ่ออกโรง สู้ทุกครั้งชนะทุกครั้ง คนผู้เดียวก็สยบพลานุภาพของห้าเรือนมรรคใหญ่ได้!”

“เมื่องานชุมนุมวิชาบรรพจารย์ปิดฉากลง เรือนมรรคคืนกำเนิดก็ก้าวมาอยู่ในหกเรือนมรรคใหญ่ได้สำเร็จ ทำให้ใต้หล้าล้วนตกตะลึง”

“แต่เพื่อรักษาหน้า ห้าเรือนมรรคใหญ่จึงประกาศแก่โลกภายนอกเพียงว่า รากฐานพลังของเรือนมรรคคืนกำเนิดได้รับการยอมรับจากพวกเขาโดยเอกฉันท์ ไม่ได้พูดถึงเรื่องระดับบรรพจารย์ในสำนักของพวกเขาแพ้ด้วยน้ำมือของศิษย์พี่ใหญ่”

“แต่พวกเราผู้สืบทอดคีรีดวงกมลต่างรู้ดี”

พูดถึงตรงนี้ สีหน้าของรั่วซู่ก็ปรากฏแววหยิ่งทระนง

ส่วนหลินสวินสะท้านจนนิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้นไปแล้ว

คนผู้เดียวก็สยบระดับบรรพจารย์ห้าคนที่ห้าเรือนมรรคใหญ่ส่งออกมาได้!

นี่ต้องมีพลังปราณแข็งแกร่งปานไหนกันถึงทำได้

แล้วความสง่างามของศิษย์พี่ใหญ่ในตอนนั้น จะไร้เทียมทานเพียงไหนกัน

ทั้งสำนักคือมหาจักรพรรดิ หมื่นยุคคืนกำเนิด

ใครจะรู้ว่ายอดสำนักที่อยู่ในกลุ่มหกเรือนมรรคใหญ่ ถูกมองว่าลึกลับและเก็บตัวที่สุดแห่งหนึ่ง ความจริงแล้วจะมีศิษย์พี่ใหญ่ค้ำจุนอยู่เพียงคนเดียว

นี่ช่างเหมือนตำนานที่สะท้านนิรันดร์กาลได้เรื่องหนึ่ง!

หลินสวินยังไม่กล้าจินตนาการว่าบนโลกนี้จะมีชายผู้อัศจรรย์น่าเหลือเชื่อเช่นนี้ได้ ศิษย์พี่ใหญ่… เป็นเหมือนเทพจริงๆ!

เพียงแต่หลินสวินนึกถึงแต่ละภาพที่ได้เห็น ตอนได้รับวิชาอริยะยุทธ์ที่แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ…

ป้ายหินถล่ม ภูเขาสำนักที่พังพินาศ เงาร่างสูงใหญ่ดื้อรั้นร่างหนึ่งคุกเข่าอยู่หน้าซากปรักหักพัง ด้านหลังดูโดดเดี่ยว เศร้าสร้อยและอ้างว้าง

เขาเคยดื้อแพ่งโอหัง กรำศึกในเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน ทั่วหล้าล้วนสั่นไหวเพราะพลังต่อสู้ของเขา

เมื่อศัตรูเต็มฟ้าบุกมา เขาทำเพียงลุกขึ้นเงียบๆ ยืนอยู่หน้าภูเขาสำนักที่พังทลาย แหงนหน้าขึ้นอย่างไม่หวาดหวั่น

ทะยานขึ้นเก้าชั้นฟ้า!

แต่ละภาพนั้น สิ่งที่แผ่ออกมากลับเป็นกลิ่นอายโศกาอย่างบอกไม่ถูก…

จากนั้นหลินสวินก็นึกถึงแหล่งสถานคุนหลุน นึกถึงแม่นางชุดม่วงที่รออยู่ในแดนลับต้นท้อแบนคนนั้น

กาลเวลายาวนานไร้สิ้นสุดผ่านไปแล้ว

นางยังคงรออย่างตั้งตาคอย

เขาจะกลับมา

นางเชื่อ

ในใจหลินสวินมีแรงกระตุ้นที่ไม่อาจกดข่มผุดออกมา เอ่ยว่า “ต่อมาล่ะ ต่อมาศิษย์พี่ใหญ่ไปที่ไหน”

รั่วซู่อึ้งไป แววซับซ้อนปรากฏขึ้นบนใบหน้างามผ่องแผ้ว เอ่ยว่า “ต่อมา หลังอาจารย์ออกจากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ไปยังแดนปริศนา ศิษย์พี่ใหญ่ใช้ฐานะผู้สืบทอดลำดับหนึ่งของคีรีดวงกมล ประกาศศึกกับจอมจักรพรรดิไร้นามที่เจ้าพูดถึงคนนั้นเพียงลำพัง”

หลินสวินใจสะท้าน สังหรณ์ใจไม่สู้ดี

ดังคาด ครู่ต่อมารั่วซู่ก็พูดว่า “ศึกนั้นใครก็ไม่รู้เบื้องลึก แต่หลังจากศึกนั้น คีรีดวงกมลของพวกเราก็ประสบมหาเคราะห์ครั้งหนึ่ง…”

“ศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิหรือ”

หลินสวินโพล่งออกมา

รั่วซู่พยักหน้าเอ่ย “เป็นเช่นนี้จริงๆ ก็เพราะเรื่องนี้ศิษย์พี่ใหญ่จึงรู้สึกผิดหาใดเทียบ คิดว่าตัวเองชักนำเภทภัยใหญ่หลวงมาให้สำนักของตน ทำให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องมากมายต้องสิ้นชีพ”

นางเสียงต่ำลึก เผยความเศร้าโศกเสียใจ “ความจริงแล้วพวกเราไม่มีใครโทษเขาสักคน แต่เขากลับให้อภัยตัวเองไม่ได้”

รั่วซู่เหมือนไม่อยากนึกถึงเรื่องราวในอดีตเหล่านี้อีกแล้ว ทันใดนั้นก็สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง กดข่มความรู้สึกในใจลงไปแล้วเอ่ยว่า “ต่อจากนั้นศิษย์พี่ใหญ่ก็ทิ้งมรดกวิชาทั้งตัวไว้ที่แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์แล้วจากไปเพียงลำพัง บอกว่าเมื่อเขากลับมาก็จะเป็นวันที่ได้ล้างแค้น”

หลินสวินถอนหายใจในใจครู่หนึ่ง

ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว

ตอนนั้นเขาเคยเข้าไปในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ และยังได้รับมรดกวิชาอริยะยุทธ์ที่ศิษย์พี่ใหญ่ทิ้งไว้ จึงแน่ใจอย่างหาใดเทียบว่าศิษย์พี่ใหญ่จากไปแล้วจริงๆ

“แต่ว่า ศิษย์พี่ใหญ่ไปที่ไหนกันแน่ไม่มีใครรู้”

รั่วซู่เอ่ย “มีคนบอกว่าเขาไป ‘แดนผนึกไร้นาม’ ที่เป็นหนึ่งในแดนสามผนึกของแหล่งสถานคุนหลุน ที่นั่นถูกมองว่าเป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุด ผู้ที่เข้าไปในตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันล้วนไปไร้หวนแทบทั้งนั้น”

“บ้างมีคนบอกว่า ศิษย์พี่ใหญ่ไปเสาะหาแหล่งสถานอัศจรรย์ เพราะลือกันว่าในแหล่งสถานอัศจรรย์มีพลังที่สามารถต่อกรพลังต้องห้ามซ่อนอยู่”

“ทั้งยังมีคนบอกว่า ศิษย์พี่ใหญ่กลับชาติมาเกิดใหม่ ฝึกปราณใหม่ หมายจะสร้างมรรคาที่สามารถกำราบพลังต้องห้ามทั่วหล้า”

รั่วซู่ถอนใจเบาๆ เอ่ยว่า “แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน ล้วนไม่ใช่สิ่งที่ศิษย์พี่ศิษย์น้องอย่างพวกเราอยากเห็นทั้งนั้น พวกเราเพียงหวังว่า… เขาจะรอดชีวิตกลับมา”

หลินสวินเอ่ยพึมพำ “รอดชีวิตกลับมา… นั่นสิ มีชีวิตรอดถึงมีความหวัง…”

รั่วซู่ทำใจให้สงบ มองดูหลินสวินพลางพูดเสียงอ่อนโยนว่า “เรื่องในอดีตนานมาแล้วก็ช่างมันเถิด ศิษย์น้อง ตอนนี้เจ้าเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างเรือนมรรคคืนกำเนิดกับคีรีดวงกมลของพวกเราแล้วหรือยัง”

หลินสวินพยักหน้า

เขากระจ่างแล้วว่า เดิมทีเรือนมรรคคืนกำเนิดก็เป็นสิ่งที่ศิษย์พี่ใหญ่สร้างขึ้นเพียงคนเดียว!

เพียงแต่ในใจเขายังกังขาอยู่เล็กน้อย “เพียงแต่ เหตุใดบรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่แห่งเรือนมรรคโลกาสวรรค์ถึงมั่นใจขนาดนี้ ว่าศิษย์พี่ก็มาจากเรือนมรรคคืนกำเนิด”

“แม้ศิษย์พี่ใหญ่จากไปแล้ว แต่เรือนมรรคคืนกำเนิดที่เขาบุกเบิกด้วยตัวคนเดียวก็ไม่อาจทิ้งไปไม่เหลียวแลเช่นนี้ ต่อให้สำนักนี้ไม่มีภูเขาที่ตั้งสำนัก ทั้งยังไม่มีผู้สืบทอด มีเพียงชื่ออย่างเดียว แต่ข้ากับเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นล้วนเชื่อว่า ขอเพียงมีเรือนมรรคคืนกำเนิดอยู่ ศิษย์พี่ใหญ่ก็จะต้องกลับมา”

รั่วซู่เสียงหนักแน่น “ดังนั้นในกาลเวลายาวนานไร้สิ้นสุด ข้ากับศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นบางคนก็จะท่องไปในโลกด้วยฐานะผู้สืบทอดเรือนมรรคคืนกำเนิดเป็นพักๆ พิสูจน์กับทั่วหล้าว่าเรือนมรรคคืนกำเนิดยังดำรงอยู่ตลอด!”

นางหยุดไปแล้วพูดต่อว่า “ส่วนที่ได้รู้จักกับบรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่ ก็ต้องไล่ย้อนไปถึงยุคดึกดำบรรพ์… ตอนนั้นบรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่เพิ่งแจ้งมรรคบรรลุจักรพรรดิ พอได้ยินว่าเรือนมรรคคืนกำเนิดเป็นมหาจักรพรรดิทั้งสำนัก ในใจก็ไม่สบอารมณ์ยิ่ง ดังนั้นจึงเสาะหาภูเขาสำนักของเรือนมรรคคืนกำเนิดไปทั้งใต้หล้า”

“แต่เขาจะไปหาเจอได้อย่างไร หามาหลายปีก็ยังคว้าน้ำเหลว เขากลับดื้อดึงหาใดเทียบ ต่อมาถูกข้าบังเอิญเจอเข้า ข้าก็เลยอัดเขายกหนึ่งด้วยฐานะผู้สืบทอดเรือนมรรคคืนกำเนิดเพื่อสลายความยึดติดของเขา”

“เจ้าหมอนี่ก็น่าให้สนใจนัก หลังจากถูกอัดกลับท่าทางซาบซึ้งยินดี บอกว่ารากฐานพลังของเรือนมรรคคืนกำเนิดสมคำร่ำลือจริงๆ ทั้งยังคุยโตว่ารอภายหน้าจะต้องมาแลกเปลี่ยนวิชากับข้า”

“ข้าเห็นว่าคนผู้นี้น้ำใจกว้างขวาง ในใจก็ชื่นชมนัก จึงพาเขาไปท่องทั่วหล้าด้วยกันอยู่ช่วงหนึ่ง เลยได้สร้างมิตรภาพลึกซึ้ง”

พูดจบรั่วซู่ก็ยิ้มอย่างอดไม่ได้

ช่วงเวลาที่นางได้รู้จักกับบรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่นั้น ก็เป็นตอนที่นางพึงพอใจที่สุดในมรรคาระดับจักรพรรดิ ในใจมองชิงเย่เป็นน้องน้อย พาท่องทะยานไปทั่วหล้า สบายใจไร้กังวล

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”

หลินสวินกระจ่างแจ้ง

ศิษย์พี่ใหญ่ดุจดั่งตำนานที่ไม่อาจลอกเลียนได้ เคยมีอดีตอันเรืองรองที่น่าซาบซึ้ง

แต่ศิษย์พี่สามรั่วซู่ จะไม่มีวีรกรรมอันเปล่งประกายของตัวเองได้อย่างไร

ระดับบรรพจารย์ที่ควบคุมดูแลเรือนมรรคโลกาสวรรค์อย่างบรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่ แต่ในอดีตนานมาแล้วกลับเคยถูกศิษย์พี่สามอัดมาก่อน!

“อีกเดี๋ยวข้าก็จะกลับไปที่พักแล้ว มิเช่นนั้นจะถูกพลังต้องห้ามพวกนั้นหมายหัว แต่ศิษย์น้องวางใจได้ ไปเขตต้องห้ามเซียนโบราณคราวนี้ จะไม่มีคลื่นลมใดๆ เกิดขึ้นอีกแล้ว”

รั่วซู่ยิ้มเอ่ย

ถูกพลังต้องห้ามหมายหัวหรือ

หลินสวินกำลังจะถาม ก็ถูกรั่วซู่พากลับไปยอดเขาหลักโลกาสวรรค์ ชั่วพริบตาสายตามากมายต่างก็รวมอยู่ที่ตัวเขา

เขาจึงอดกลั้นไว้ชั่วขณะ ในใจรอว่าหากภายหน้ามีโอกาสจะถามอีกครั้งก็ไม่สาย

ถึงอย่างไรด้วยระดับของเขาในตอนนี้ก็ไม่เข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ในพลังต้องห้ามอยู่แล้ว ต่อให้ได้รู้ที่มาที่ไปพวกนี้ ก็ย่อมรู้เพียงเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่อาจรู้ถึงสาเหตุที่เกิดขึ้นแน่

“หวั่นจ้าว คุยเสร็จแล้วหรือ”

บรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่อมยิ้มเอ่ย

ชื่อหวั่นจ้าวนี้ ก็คือฐานะผู้สืบทอดเรือนมรรคคืนกำเนิดที่รั่วซูใช้ตอนได้พบบรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่

รั่วซู่ยิ้มเอ่ย “คุยเสร็จแล้ว ข้ายังเล่าวีรกรรมอันล้ำเลิศบางอย่างของเจ้าในตอนนั้นให้เขาฟังแล้วด้วย”

บรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่อึ้งไป พลันรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง สีหน้าเกร็งขึ้นเล็กน้อย เอ่ยว่า “เล่าหมดเลยหรือ”

รั่วซู่พยักหน้า “ดังนั้นเจ้าต้องดีกับเขาหน่อยนะ”

บรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่ยิ้มเจื่อน “ผู้สืบทอดเรือนมรรคคืนกำเนิดอย่างพวกเจ้า ข้าจะละเลยได้อย่างไร วางใจได้ ข้ารับรองว่าเขาจะไม่ได้รับความไม่เป็นธรรมใดๆ อีกแม้แต่นิดเดียว!”

เขาพูดพลางชำเลืองมองจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงที่อยู่ไกลออกไปทีหนึ่ง ทำเอาอีกฝ่ายแข็งทื่อไปทั้งตัว ใบหน้างามถอดสี

——