ตอนที่ 3674

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 3674 : เจ้าอยากตายนักหรือ?

 

ขณะกล่าวถึงเรื่องในอดีต ชายวัยกลางคนในชุดบัณฑิตนักศึกษาก็แลดูมีโมโหนัก

 

ด้านต้วนหลิงเทียนเองก็สัมผัสได้ถึงความเคียดแค้นชิงชังรวมถึงความขื่มขมของอีกฝ่ายชัดเจน และในขณะเดียวกันเขาก็ตระหนักได้แล้วว่าไฉนชายวัยกลางคนผู้นี้ถึงถูกจับขังเอาไว้ที่นี่

 

กับคนเช่นนี้ หากไม่ฆ่าให้ตาย ก็ไม่อาจปล่อยไปได้เด็ดขาด!

 

หาไม่แล้ว ไม่ช้าก็เร็ว วันหนึ่งต้องนำหายนะมาสู่นิกายหมอกเร้นลับแน่!

 

อีกฝ่ายถึงกับถูกวาดหวังให้เป็นประมุขคนต่อไปของนิกายหมอกเร้นลับทั้งๆที่ยังเป็นเพียงเทพขั้นสูง บ่งบอกว่าในอดีตพรสวรรค์และความเข้าใจของอีกฝ่ายย่อมโดดเด่นมากจริงๆ และตัวตนเช่นนี้หากเติบโต้ขึ้นไป จะต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในสักวัน กระทั่งไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่จะบรรลุถึงขอบเขตจอมราชันเทพชนชั้นยอดฝีมือ

 

ถึงแม้นิกายหมอกเร้นลับจะไม่ฆ่ามัน แต่ก็ไม่คิดจะปล่อยให้อีกฝ่ายมีโอกาสแว้งกัด

 

เช่นนั้นระนาบอิสระย่อยที่ไม่ต่างอะไรจากเรือนจำในบันไดสวรรค์ ย่อมเป็นสถานที่ๆเหมาะจะกักขังอีกฝ่ายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

 

“ในระนาบอิสระย่อยๆของบันไดสวรรค์ ข้าได้ยินมาว่ามีบางคนที่ถูกตัดสินให้ถูกกักขังไปตลอดกาล…เจ้าเองก็ถูกตัดสินให้ถูกขังอยู่ที่นี่ชั่วนิรันดร์กระมัง?”

 

ต้วนหลิงเทียนมองถามชายวัยกลางคนในชุดบัณฑิต

 

“แล้วเจ้าคิดเช่นไรเล่า?”

 

ชายวัยกลางคนในชุดบัณฑิตยิ้มเย้ย ก่อนย้อนถามว่า “ตอนนั้นข้าที่มีอายุเพียง 2,300 ปี ไม่เพียงแต่จะบรรลุถึงขอบเขตเทพขั้นสูงแล้ว แต่ยังเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏแห่งลม 3 ประการ 2 ชุด…ความสำเร็จระดับข้า ในประวัติศาสตร์นิกายหมอกเร้นลับนั้น ปรากฏขึ้นแค่ไม่กี่คนเท่านั้น”

 

“หากไม่ใช่เพราะพวกมันต้องการให้ข้าเป็นผู้เฝ้าด่านในบันไดสวรรค์ เพื่อใช้เคี่ยวกรำชนรุ่นหลัง พวกมันคงฆ่าข้าทิ้งไปนานแล้ว”

 

“เช่นนั้น พวกมันไหนเลยจะกล้าปล่อยข้าไป…ข้าย่อมโดนตัดสินให้ถูกขังที่นี่ชั่วนิรันดร์เป็นธรรมดา…”

 

กล่าวถึงจุดนี้ มุมปากชายวัยกลางคนก็ยกยิ้มถากถาง “นิกายระดับจอมราชันเทพอันยิ่งใหญ่ ไม่คิดว่าสุดท้ายก็ขี้กลัวเยี่ยงมุสิกขลาดเขลา แม้แต่เทพขั้นสูงเช่นข้ายังหวาดกลัว…ช่างเหลวไหลสิ้นดี!”

 

ด้านต้วนหลิงเทียนหลังได้ยินวาจาที่ชาวัยกลางคนพึ่งกล่าวก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจอยู่บ้าง ด้วยไม่คิดเลยว่าในอดีตครั้งยังเยาว์ ชายวัยกลางคนผู้นี้จะประสบความสำเร็จขนาดนั้น

 

“เอาล่ะ จบการคุยไร้แก่นสารไว้เพียงเท่านี้เถอะ…เจ้าจะออกไปด้วยตัวเองหรือให้ข้าช่วยส่งเจ้าออกไป”

 

สายตาที่ชายวัยกลางคนใช้มองต้วนหลิงเทียน พลันหดเล็กลงเร็วไว จากนั้นพลังเทพที่ผสานเข้ากับกฏแห่งลมก็อันปั่นป่วนก่อนหน้าก็เริ่มหยุดลง แต่มันเป็นดั่งความสงบก่อนมหาพายุจะบังเกิด!

 

พอได้ยินคำถามดังกล่าวของชายวัยกลางคน ต้วนหลิงเทียนก็คลี่ยิ้มบางๆ “ถึงแม้ข้าไม่คิดจะผ่านขั้นที่ 9…แต่เรื่องีท่เจ้าคิดจะส่งข้าออกไปนั่น เกรงว่าเจ้ายังมีสามารถไม่ถึง”

 

คำพูดของต้วนหลิงเทียนก็เรียกเสียงหัวเราะจากชายวัยกลางคนทันที “ฮ่าๆๆ เจ้าหนู…ดูเหมือนเจ้าจะไม่รู้กระมังว่าข้าร้ายกาจเพียงใด”

 

“ช่างมันเถอะ…เดี๋ยวข้าให้เจ้ารับทราบความร้ายกาจของข้าเอง”

 

พอกล่าวจบคำ ชายวัยกลางคนในชุดบัณฑิตนักศึกษาก็ป้อนกระบวนท่าทันที

 

ครืนนน!!

 

ฟู่มมม!!

 

 

พายุพลังก่อเกิดขึ้นรอบกายชายวัยกลางคนได้ไม่ทันไร มันก็พุ่งโถมเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนราวกับอสูรกายร้ายที่อ้าปากกระหายเลือดหมายกลืนร่างต้วนหลิงเทียนในหนึ่งคำ!

 

อนิจจาพายุที่เปี่ยมล้นไปด้วยพลังสภาวะอันน่าพรั่นพรึง พึ่งจะปรากฏได้ไม่ทันไรก็ดับหายไปในพริบตา

 

เวิงงง!

 

ปงงงง!!

 

 

พายุพลังจากฏแห่งลมว่าวิปริตแปรปรวนแล้ว พอเจอเข้ากับพายุมิติที่เต็มไปด้วยความเงียบงัน แต่กลกับทำให้ห้วงอากาศถึงกับสั่นสะท้านปานจะปริแตก มันก็ดับลงในชั่วพริบตา! และฉากพายุมิติกลืนกินพายุพลังนั่น ก็ทำให้สีหน้าชายวัยกลางคนเปลี่ยนสีไปทันที!!

 

“เจ้า…เจ้าเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติ 3 ประการถึง 3 ชุด!?”

 

ถึงแม้แต่ละกฏจะมีเพียงความลึกซึ้งเพียง 8 ประการให้หยิบยกมาผสานรวม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏ 3 ประการ จะทำได้เพียงแค่ 2 ชุดเท่านั้น ไม่ว่าใครก็สามารถผสานรวมความลึกซึ้งของกฏ 3 ประการชุดที่ 3 ได้ กระทั่งจะชุดที่ 4 หรือชุดที่ 5 ก็ยังได้ เพียงแค่หยิบยกความลึกซึ้งต่างๆมาผสานรวมให้แตกต่างกันเท่านั้น

 

และยิ่งเข้าใจมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสำแดงพลังอำนาจได้มากขึ้นเท่านั้น

 

และตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ได้ใช้การผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติ 3 ประการออกมา 3 ชุด จึงบดขยี้พายุพลังของชายวัยกลางคนได้อย่างง่ายดาย สภาพการณ์ไม่ต่างอะไรจากตอนเขาเอาชนะเชวียไห่ซานในขั้นที่ 8 ของบันไดสวรรค์เลย…

 

ปงงง!!

 

และพลังมิติอันน่าพรั่นพรึงดังกล่าว หลังทำลาพายุพลังสาลมวิปริตของชายวัยกลางคนแล้ว ก็ไม่ได้หยุดลงแต่อย่างใด มันยังโถมถันเข้าใส่ชายวัยกลางคนดั่งค้อนอันเขื่อง ซัดร่างชายวัยกลางคนอย่างแรง จนคนกระเด็นปลิดปลิวไปราวใบไม้!

 

เป็นธรรมดาว่าห้วงเวลาพริบตาก่อนพลังจะซัดกระแทกเข้าร่างชายวัยกลางคน ต้วนหลิงเทียนก็ได้ถอนรั้งพลังกลับมากว่า 9 ส่วน

 

หาไม่แล้วชายวัยกลางคนได้แหลกสลายหายไปไม่เหลือแม้แต่ซากแน่…   “เจ้า…”

 

พอชายวัยกลางคนกลับมาตั้งตัวได้อีกครั้ง สีหน้าของมันที่เปลี่ยนเป็นขาวซีดก็ฉายชัดถึงความตกตะลึง เพราะมันพบว่าชายหนุ่มชุดม่วงไกลๆ กลับหยิบป้ายบันไดสวรรค์ขั้นมาและเปิดใช้อาคมส่งตัวออกไป…

 

ร่างคนพลันอันตรธานหายไปในพริบตา

 

“เจ้านั่น…มันไม่ได้ตั้งใจจะขึ้นไปขั้นที่ 10 แต่แรก?”

 

พอเห็นฉากดังกล่าว ชายวัยกลางคนก็อึ้งไปพักหนึ่ง

 

อย่างไรก็ตาม ไม่นานมันก็ฉุกคิดอะไรขึ้นได้ หลังยกมือขึ้นปาดเช็ดเลือดที่มุมปากแล้วเสร็จ มันก็ยกยิ้มขึ้นมา “ดูท่าเจ้าหนูนั่นคงไม่อยากทำตัวเด่นมากเกินไป…อาศัยด่านพลังเทพขั้นสูงสามารถขึ้นไปถึงขั้นที่ 10 ของบันไดสวรรค์ ในประวัติศาสตร์ของนิกายหมอกเร้นลับ ยังไม่เคยปรากฏผู้ใดที่ทำได้มาก่อน”

 

“เช่นนั้น เรื่องที่มันจะหยุดลงแค่ขั้นนี้ไม่ไปต่อ นับว่าทำถูกแล้วจริงๆ…”

 

พริบตาชาวัยกลางคนก็เข้าใจการกระทำของต้วนหลิงเทียนได้ทะลุปรุโปร่ง รู้ว่าไฉนชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้าถึงไม่ขึ้นไปขั้นที่ 10 ที่แท้ก็เพราะคิดทำตัวให้ไม่โดดเด่นจนเกินไป เพราะมันเองก็รู้ซึ้งถึงคำ ‘ไม้เด่นเกินไพร ลมพัดหักโค่น’ ดี

 

“ไม่คิดเลยวว่านิกายหมอกเร้นลับ จะปรากฏตัวตนเช่นนี้ขึ้นมา…”

 

ชายวัยกลางคนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาดังเฮือก ตอนนี้มันบังเกิดความละอายไม่น้อย

 

ก่อนหน้ามันเล่าถึงความร้ายกาจตัวเองไว้ดิบดี แต่อีกฝ่ายกลับประสบความสำเร็จเหนือมันในอดีตเสียอีก

 

 

ด้านนอกบันไดสวรรค์

 

จุดแสงดวงเล็กๆแทนตัวของต้วนหลิงเทียน หลังจากขึ้นไปถึงบันไดขั้นที่ 9 ก็มีหลาคนที่คิดว่าคนสมควรต้องหลบหนีออกมาในเวลาอันสั้น…

 

แม้แต่ถังอู๋เยียนเองก็คิดแบบนั้น  

 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้พวกมันต้องประหลาดใจก็คือ ต้วนหลิงเทียนกลับรั้งอยู่ในขั้นที่ 9 เนิ่นนาน ไม่ออกมาเสียที!

 

“เป็นไปได้หรือไม่…ที่ต้วนหลิงเทียนมีพลังฝีมือมากพอจะปะทะกับผู้เฝ้าด่านของบันไดสวรรค์ขั้นที่ 9? หาไม่แล้วไฉนมันถึงอยู่ในนั้นได้นานนักล่ะ?”

 

ศิษย์สายในบางคนกล่าวคาดเดาด้ยความทึ่ง

 

“เป็นไปไม่ได้! ต้องมีเหตุผลอื่นใดสักอย่างแน่!!”

 

ศิษย์สายในอีกคนส่ายหัวกล่าวแย้งออกมาทันที เห็นได้ชัดว่ามันไม่อยากเชื่อเช่นนั้น “สุดท้ายแล้วมันก็ติดอยู่ในขั้นที่ 7 ตั้งนานสองนาน!”

 

“ข้าก็คิดเหมือนกัน…บันไดสวรรค์ขั้นที่ 8 นั่น ที่มันผ่านไปได้ง่ายๆ ไม่พ้นต้องเป็นเพราะผู้เฝ้าด่านปล่อยให้มันผ่านไปเฉยๆแน่”

 

 

ด้านคนที่อยู่ด้านนอก ก็ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าครั้งนี้จะเป็นพวกมันเดาถูก เพราะเหตุผลที่ต้วนหลิงเทียนรั้งอยู่ในขั้นที่ 9 ของบันไดสวรรค์นานสองนาน เพราะเขาสนทนากับผู้เฝ้าด่านจริงๆ

 

วู้ม!

 

ในที่สุด ท่ามกลางสายตาที่เฝ้ามองมาอย่างใจจดจ่อของทุกคน ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็ถูกส่งตัวออกมา จบการไต่บันไดสวรรค์ไว้ที่ขั้นที่ 9

 

เป็นธรรมดาว่าไม่มีแม้แต่คนเดียวที่คิดว่าต้วนหลิงเทียนเลือกจะออกมาเองหลังจากจัดการผู้เฝ้าด่านในบันไดสวรรค์ขั้นที่ 9 ต่างพากันคิดว่าต้วนหลิงเทียนถูกผู้เฝ้าด่านในบันไดสวรรค์ขั้นที่ 9 บีบให้หลบหนีออกมาหัวซุกหัวซุน

 

“ต้วนหลิงเทียนออกมาแล้ว!”

 

“จบลงที่ขั้นที่ 9 …นอกจากนั้นยังรั้งอยู่ในขั้นที่ 9 ได้นานสองนาน ไม่ต้องสงสัยอะไรอีกแล้ว ผู้ที่จะได้อันดับ 1 ในการแข่งขันไต่บันไดสวรรค์ของศิษย์สายในขอบเขตเทพครั้งนี้ ก็คือมัน!”

 

“เจ้านั่นมันโชคดียิ่งนัก!”

 

…   

 

เหล่าศิษย์สายในกระซิบกระซาบกันงึมงำ แม้เสียงแต่ละคนจะไม่ได้ดังอะไรมากมาย แต่ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินชัดเจน

 

“ท่านผู้อาวุโส”

 

ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนส่งป้าบันไดสวรรค์กลับไปให้ชายชรา ด้านชายชราก็อดมองถามต้วนหลิงเทียนด้วยความสงสัยไม่ได้ “ต้วนหลิงเทียน นี่เจ้าถึงกกับประมือกับผู้เฝ้าด่านขั้นที่ 9 ได้นานขนาดนี้เชียวหรือ?”

 

“เปล่า”

 

ต้วนหลิงเทียนส่ายหัว “ประมือกันจริงๆพริบตาก็จบแล้ว…กล่าวได้ว่าเพียงกระบวนท่าเดียวก็รู้ผล”

 

“หืม? กระบวนท่าเดียวก็รู้ผล? จบลงในพริบตา?”

 

ชายชราผงะ “หากเป็นเช่นนั้น แล้วไฉนเจ้าถึงอยู่ในขั้นที่ 9 ได้นานขนาดนั้นเล่า?”

 

จังหวะนี้ไม่ว่าจะอาวุโสของนิกายหมอกเร้นลับอย่างชายชราก็ดี เหล่าศิษย์สายในที่อยู่รอบๆก็ดี ทั้งหมดล้วนคิดว่าผลการประมือดังกล่าว เป็นต้วนหลิงเทียนที่แพ้พ่ายผู้เฝ้าด่านในบันไดสวรรค์ขั้นที่ 9

 

พวกมันไม่เคยคิด กระทั่งหลับยังไม่เคยฝัน ว่าที่ต้วนหลิงเทียนบอกจบลงในพริบตาและอาศัยเพียงท่าเดียว จะเป็นเขาเอาชนะผู้เฝ้าด่านขั้นที่ 9 มาได้…

 

อย่างไรก็ตาม ด้วยมีคำถามเข้าประเด็นสำคัญของผู้อาวุโสสายในของนิกายหมอกเร้นลับ เหล่าศิษย์สายในทั้งหลายก็ไม่ได้ส่งเสียงอะไร ต่างพากันพร้อมใจเงียบและรอฟังคำตอบจากต้วนหลิงเทียน ว่าไฉนถึงอยู่ในขั้นที่ 9 ได้นานนัก

 

“อ้อ พอดีพวกเราคุยกันอยู่น่ะ…”

 

และคำตอบของต้วนหลิงเทียนก็ทำให้ทุกคนที่ได้ยินนิ่งไปราวกลายเป็นหิน เพราะไม่มีใครคิดเลยว่าเหตุผลที่ต้วนหลิงเทียนรั้งอยู่ในขั้นที่ 9 ได้นาน…เพราะคุยกับผู้เฝ้าด่าน!

 

ไฉนชายหนุ่มผู้นี้ถึงได้โชคดีนักล่ะ?

 

ถึงกับพบเจอผู้เฝ้าด่านที่เต็มใจจะคุยด้วย?   

 

ต้องทราบด้วยว่า ไม่ใช่พวกมันไม่เคยคิดจะยื้อเวลาโดยการชวนผู้เฝ้าด่านคุย เพื่อทำอันดับให้ได้ดีๆ แต่ผู้เฝ้าด่านที่พวกมันพบเจอ ไม่ว่าใครก็ล้วนเป็นพวก ‘ฆ่าคนไม่พูดเยอะ’ ทั้งนั้น เรียกว่าไล่ฆ่าพวกมันอย่างไร้ปราณีจนหนีกันแทบไม่ทัน…

 

“เฮอะ! ช่างโชคดีเสียจริง!”

 

ฉีอวี่ยิ้มเยาะ

 

และเสียงกล่าวเสียดสีของฉีอวี่ พอดังขึ้นในบรรยากาศอันเงียบสงบ ก็นับว่ามันดังเป็นพิเศษ

 

ต้วนหลิงเทียนเองก็ถึงกับหันไปมองมันโดยไม่รู้ตัว

 

อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้โกรธอะไร เพียงยิ้มบางๆกล่าวว่า “ก็จริง นับว่าโชคดีจริงๆ…แต่โชคเช่นนี้ถึงเจ้าอยากจะมีก็คงทำไม่ได้กระมัง?”

 

พอเห็นว่าต้วนหลิงเทียนถึงกับกล้าต่อล้อต่อเถียงกลับมาอย่างยอกย้อน หน้าฉีอวี่ก็จมลงโดยพลัน จากนั้นมันก็กล่าวออกมาอย่างประชดประชันว่า “ต้วนหลิงเทียน ในที่สุดเจ้าก็ไม่คิดจะหลบซ่อนเยี่ยงเต่าหดหัวแล้วหรือ…ในเมื่อเจ้าก็ออกมาแล้ว ตกลงคิดจะตอบรับคำท้าประลองของข้าหรือไม่?”

 

“หรือเจ้าไม่กล้ารับคำท้า? ตั้งใจจะเป็นเต่าที่เอาแต่หดหัวอยู่ในกระดองไปชั่วชีวิต?”

 

ใบหน้าฉีอวี่ฉายชัดถึงความเย้ยหยัน แต่ละคำที่พูดออกมาไม่ขาดการดูแคลนหมิ่นหยาม

 

“ท้าประลอง?”

 

ต้วนหลิงเทียนถึงกับอึ้ง ไม่ตอบสนองไปพักหนึ่ง

 

ตอนนี้เองเป็นถังอู๋เยียนที่ออกตัว บอกกับต้วนหลิงเทียนว่า “ต้วนหลิงเทียน นั่นคือศิษย์สายในที่ท้าประลองเจ้าทุกๆเดือน ตลอดช่วงเวลาไม่กี่เดือนที่เจ้าปิดด่านบ่มเพาะ ฉีอวี่”

 

“ฉีอวี่?”

 

ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วขึ้น หันไปมองฉีอวี่อีกครั้ง สีหน้าก็ฉายชัดถึงความดูแคลน “ข้าก็นึกว่าใคร…ที่แท้ก็เป็นสุนัขรับใช้ของถูเฟิงที่ถูกส่งมากัดคนนี่เอง”   

 

ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ ผู้คนโดยรอบก็ตกอยู่ในความเงียบงัน ไร้เสียงใด…

 

แม้แต่ถังอู๋เยียนเองก็ยืนอึ้งไปราวรูปปั้นหิน ด้วยไม่คิดไม่ฝันเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะกล้าพูดต่อหน้าฉีอวี่เช่นนี้ ถึงกับเปรียบฉีอวี่เป็นสุนัขรับใช้ของศิษย์สายในอีกคน!

 

อย่างไรก็ตาม ถังอู๋เยียนยังดึงสติกลับมาได้ก่อนใคร และเร่งส่งเสียงผ่านพลังไปถามต้วนหลิงเทียนว่า “ต้วนหลิงเทียน นี่เจ้ามีเรื่องบาดหมางกับศิษย์พี่ถูเฟิงด้วยหรือ?”

 

ถึงแม้ถูเฟิงจะเป็นศิษย์สายในของนิกายหมอกเร้นลับเช่นกัน ทว่าอีกฝ่ายเป็นศิษย์สายในที่ด่านพลังทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพแล้ว

 

ในแง่พลังฝีมือและฐานะ ไม่ใช่อะไรที่ศิษย์สายในที่ยังมีด่านพลังขอบเขตเทพ จะเปรียบเทียบได้เลย…

 

ถึงแม้พรสวรรค์และความเข้าใจของต้วนหลิงเทียนจะดี แต่ก็ไม่ฉลาดเอาเสียเลยหากจะมีเรื่องมีราวกับถูเฟิงตอนนี้…เพราะถูเฟิงไม่เพียงแต่จะเป็นศิษย์สายในขอบเขตราชาเทพเท่านั้น อีกฝ่ายยังเป็นถึงศิษย์เอกของอาวุโส 2 แห่งนิกายหมอกเร้นลับอีกด้วย!

 

“ข้าไม่คิดว่าข้าจะไปมีเรื่องบาดหมางอะไรกับมันหรอกนะ แต่มันคิดอย่างไร อันนี้ข้าไม่ทราบ…”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวพลางยักไหล่

 

ก่อนทั่งอู๋เยียนจะทันได้กล่าวตอบอะไรต้วนหลิงเทียน เสียงโพล่งตะโกนอันเยียบเย็นของฉีอวี่ ที่ฟังไม่ต่างอะไรจากสัตว์ร้ายคำรามด้วยโทสะ พลันดังขึ้นเสียก่อน!

 

“ต้วนหลิงเทียน! เจ้าอยากตายนักหรือ!?”