ตอนที่ 1979 การล่าอันนองเลือด
“น่าเสียดายนัก…”
ข่งเจาถอนหายใจยาว รู้ฐานะของจินตู๋อีแล้วอย่างไร รู้ว่าเขามีศุภโชคที่มีความลับของการบรรลุจักรพรรดิกลายเป็นบรรพจารย์ชิ้นหนึ่งแล้วอย่างไร
ด้วยพลังของพวกเขา ต่อให้รวมตัวกันก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้อยู่ดี!
ความอัดอั้นอย่างบอกไม่ถูกวูบหนึ่งทะลักสู่จิตใจของข่งเจา เขาพลิกฝ่ามือคราหนึ่ง ปรากฏยันต์มรรคสองชิ้น ชิ้นหนึ่งสลักคำว่า ‘ยุทธจักร’ อีกผืนหนึ่งสลักคำว่า ‘จักรวาล’
“ในเมื่อคว้ามาไม่ได้ เช่นนั้นข้าก็จะทำลายเจ้าซะ!”
ข่งเจากัดฟัน บีบบดยันต์มรรคสองชิ้นนี้อย่างแรง
ปึง! ปึง!
แสงงามอร่ามสองสายพุ่งขึ้นสู่ชั้นเมฆ
…
กลางแนวเขาที่พยับหมอกสีม่วงคละคลุ้งแถบหนึ่ง หวงฝู่เซ่าหนงกำลังพาผู้สืบทอดแกนหลักเรือนมรรคจักรวาลทั้งกลุ่มเดินทางภายในนั้นอย่างระมัดระวัง
“ตามบันทึกแผนภาพ มุ่งหน้าตรงไปอีกสองวันก็จะไปถึงศูนย์กลางของเขตต้องห้ามเซียนโบราณ เขาปู้โจวในตำนานลูกนั้นก็ตั้งอยู่ในนั้น”
หวงฝู่เซ่าหนงพินิจม้วนภาพเก่าแก่กลางฝ่ามือ กล่าวอย่างใคร่ครวญ “แต่ก่อนหน้านี้ทุกคนต้องระวังกันหน่อย”
ทุกคนต่างพยักหน้า
และในเวลานี้หวงฝู่เซ่าหนงอึ้งไป พลิกฝ่ามือคราหนึ่ง ยันต์มรรคชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้น แผ่ประกายแสงระยับออกมา
ที่ตามมาติดๆ คือประทับจิตเสี้ยวหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาด้วย
เมื่อสำรวจคร่าวๆ นัยน์ตาหวงฝู่เซ่าหนงวาบประกาย จินตู๋อีดันเป็นหลินสวินนั่นหรือ มิน่า มิน่าล่ะ…
เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ทอดสายตามองคนอื่นๆ “มีการเปลี่ยนแปลง พวกเราไปหาพวกข่งเจาจากเรือนมรรคดึกดำบรรพ์”
“นี่เป็นเพราะอะไร”
คนอื่นๆ ต่างอึ้งไป
หวงฝู่เซ่าหนงยิ้มบางๆ “วาสนาในเขาปู้โจวยังไม่แน่ว่าจะถูกใครแย่งชิงไปได้ แต่ศุภโชคที่มีความลับของการบรรลุจักรพรรดิกลายเป็นบรรพจารย์อยู่ใกล้แค่เอื้อม!”
…
“หลินสวิน… ที่แท้ก็เป็นเจ้าหมอนี่…”
กลางทะเลทรายแห่งหนึ่ง หมีอู๋หยาในชุดขาวผมขาวก็ได้รับข่าวเช่นกัน นัยน์ตาวาววับดุจสายน้ำสงบนิ่งราวคันฉ่องของเขาทอประกายลุกโชนอย่างหาได้ยากขึ้นมา
ก่อนหน้านี้นานมาแล้ว เขาก็มีรากฐานพลังเพียงพอจะกลายเป็นมกุฎกึ่งจักรพรรดิ เหตุที่กดข่มระดับพลังจนถึงตอนนี้ ก็เพียงเพื่อเข้าสู่เขตต้องห้ามเซียนโบราณ แสวงหามรรคแห่งการเปลี่ยนแปลงสุดขั้วอย่างหนึ่ง
แต่หลังจากเลื่อนระดับเป็นมกุฎกึ่งจักรพรรดิแล้วล่ะ
ย่อมเป็นการแจ้งมรรคบรรลุจักรพรรดิ!
“ศุภโชคชิ้นนั้นในแหล่งสถานคุนหลุน ตั้งแต่อดีตจนบัดนี้ไม่รู้ดึงดูดบุคคลแห่งยุคเท่าไหร่ให้เข้าไปแย่งชิงกัน แต่กลับถูกเจ้าเอาไปครองคนเดียว… นี่อาจเป็นเพราะเจ้าบุญหนา แต่ในเมื่อถูกข้าพบเจอแล้ว…”
หมีอู๋หยาหัวเราะเงียบๆ “เช่นนั้นก็ลองดูสักตั้ง ว่าศุภโชคชิ้นนั้นใครจะมีคุณสมบัติครอบครองกันแน่”
เขาหมุนตัว สายตาทอดมองคนอื่นๆ จากเรือนมรรคยุทธจักรที่อยู่ข้างกาย กล่าวว่า “ข้าจะไปตามหาจินตู๋อี พวกเจ้าอยากไปด้วยไหม”
ไม่มีใครคัดค้าน ในเรือนมรรคยุทธจักร หมีอู๋หยาก็คือบุคคลแห่งจิตวิญญาณในหมู่ผู้สืบทอดแกนหลัก ไม่มีใครฝ่าฝืนความตั้งใจของเขา
“ดี เช่นนั้นก็ไปเถอะ”
หมีอู๋หยาพยักหน้า เดินไปเบื้องหน้าเอามือไพล่หลัง เสื้อผ้าอาภรณ์ขาวยิ่งกว่าหิมะ ผมขาวราวน้ำค้าง บุคลิกเกรียงไกร
…
ส่วนลึกของป่าโบราณสีเลือด
ข่งเจาเฝ้าคอยเงียบๆ เขากระจายข่าวออกไปแล้ว เขามั่นใจหาใดเปรียบว่ายามหวงฝู่เซ่าหนงและหมีอู๋หยารู้ฐานะของหลินสวิน จะต้องมุ่งหน้ามาแน่!
“ศิษย์พี่ข่งเจา พวกเราจะรอต่อไปเช่นนี้หรือ”
คนผู้หนึ่งเอ่ยถาม
ที่นี่คือเขตต้องห้ามเซียนโบราณ ภัยอันตรายและไอสังหารซุ่มซ่อนทุกหนแห่ง
และป่าโบราณสีเลือดที่พวกเขาอยู่ในเวลานี้ ดูคล้ายไม่มีอันตรายอะไร แต่เมื่อเวลาผ่านไปใครจะกล้ายืนยันว่าจะไม่เกิดเหตุขึ้นเลย
“เจ้าอยากออกไปตายหรือ”
ข่งเจากล่าวเยียบเย็น “ยันต์มรรครักษาชีวิตบนตัวข้ามีแค่ชิ้นเดียว ก่อนหน้านี้ใช้ไปแล้ว หากออกจากที่นี่ตอนนี้แล้วเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรอีกจะทำอย่างไร”
คนอื่นๆ ล้วนนิ่งเงียบไป
ใครต่างก็มองออกว่าสภาวะจิตของข่งเจาย่ำแย่มาก ลองคิดดูก็จริง รวมพลังทุกคนแล้วกลับถูกจินตู๋อีนั่นฆ่าจนต้องหนีหัวซุกหัวซุนฝ่ายเดียว หากเป็นคนอื่นใครจะอารมณ์ดีได้กันเล่า
มีคนสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง พูดขึ้นว่า “ถ้าเผื่อว่า… ข้าหมายถึงเผื่อว่าจินตู๋อีนั่นหาที่นี่พบ…”
“หาพบแล้วอย่างไร”
ข่งเจากล่าวตัดบท สีหน้าเขาอึมครึมลงมา “หรือพวกเจ้าถูกเขาข่มขวัญจนปอดแหกกันหมดแล้ว”
ทุกคนมองหน้ากันไปมา ต่างไม่กล้าเอ่ยค้านอีก
ฟุ่บ!
และในเวลานี้ เสียงแหวกอากาศของธนูที่บาดหูสายหนึ่ง จู่ๆ ก็ดังขึ้นในส่วนลึกของป่าโบราณอันเงียบกริบผืนนี้ราวกับลมพายุ
“แย่แล้ว!”
ผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์เหล่านี้ต่างหน้าเผือดสี ตระหนักถึงอันตรายถึงชีวิตที่ลอบโจมตีมา รีบเบี่ยงหลบไปไกลๆ โดยไม่ลังเลสักนิด
ตูม!
ตำแหน่งที่พวกเขาอยู่แต่เดิม ถูกลูกศรดอกหนึ่งระเบิดจนป่นปี้ ต้นไม้โบราณแถวนั้นล้วนกลายเป็นผุยผง แผ่นดินกว้างถูกแยกเป็นโพรงลึกสุดหยั่ง
พร้อมกันนั้นเสียงร้องเจ็บปวดดังขึ้น เป็นผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์คนหนึ่ง ที่ยามหลบหลีกถูกธนูกรีดผ่าน แผ่นหลังเลือดเนื้อล้วนถูกเปิดแยก เลือดสดไหลหลั่ง กระดูกขาวเปิดเปลือย
“เป็นจินตู๋อี ก่อนหน้านี้เขาก็ใช้ศรเทพสังหารศิษย์น้องหวัง!”
เหลยเฟิงเชวียตะโกนลั่น เผยแววตื่นตระหนก
ฉับพลันคนอื่นๆ ล้วนหน้าเปลี่ยนสี จินตู๋อีนั่นถึงกับไล่ฆ่าเข้ามาแล้วหรือ
“เขามาแล้วจริงๆ…”
ข่งเจาขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เสียงเผยแววเคืองแค้น
กลางฝ่ามือเขาลายยันต์มรรคแรดวิญญาณปรากฏขึ้น ตรวจจับกลิ่นอายผิดประหลาดได้สายหนึ่ง กำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้จากไกลๆ ด้วยความเร็วน่าตกใจ
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้ข่งเจาคิดไม่ถึงสักนิด คือเรื่องที่หลินสวินมาเร็วขนาดนี้!
“ไป!”
ข่งเจาไม่มัวรอหมีอู๋หยาและหวงฝู่เซ่าหนงอีกต่อไป พาพวกเหลยเฟิงเชวียเผ่นหนีเต็มเหยียด
ฟุ่บ!
ขณะที่พวกเขาหนี ลูกศรสายหนึ่งพุ่งโจมตีเข้ามาอีกครั้ง พิสดารและแผ่วพลิ้ว ซ้ำยังเร็วจนน่าเหลือเชื่อ
ตามมาด้วยเสียงร้องอนาถที่ดังขึ้น ผู้แข็งแกร่งคนที่แผ่นหลังกรีดเปิดขณะเบี่ยงตัวหลบก่อนหน้านี้ ครั้งนี้ดวงไม่ดีขนาดนั้นแล้ว ถูกกระบี่หนึ่งปาดคอ!
“ศิษย์น้องลี่!”
พวกข่งเจาส่งเสียงตะโกนลั่นอย่างเศร้าโศกแกมเดือดดาล แค่พริบตาฝั่งพวกเขาก็ร่วงหล่นไปอีกคนแล้ว การโจมตีถึงตายเช่นนี้ทำให้พวกเขาจวนจะเสียสติ
ทว่าความเร็วในการหลบหนีของพวกเขาก็ไม่ได้ช้าลง แทบจะเหมือนทุ่มสุดกำลัง เกรงแต่ว่าจะต้องตายไปเหมือนคนข้างหลัง
ในป่าโบราณสีเลือด เงาร่างหลินสวินพริบไหวไม่ช้าไม่เร็ว หลังจากเก็บศรนภาครามและศรนิรันดร์ที่ยิงออกไปก่อนหน้านี้แล้ว คราวนี้จึงไล่ตามต่อ
สีหน้าเขาไม่สุขไม่ทุกข์ เยือกเย็นจนน่ากลัว ส่วนสภาวะจิตของเขาก็อยู่ในสภาพเยี่ยมยอดมาโดยตลอด หลุดพ้นผ่องใส สงบเย็นราวหิมะ
เขาสามารถรับรู้ความเดือดดาล เคืองแค้น รวมถึงไอสังหารของตนได้ชัด แต่ภาวะอารมณ์เหล่านี้ล้วนเพียงสะท้อนอยู่ในสภาวะจิต แต่ไม่อาจทำให้สภาวะจิตเกิดระลอกคลื่นได้
กายข้าดุจเดือด โกรธแค้นราวลุกโหม แต่ใจข้าดั่งคันฉ่องกระจ่างใส!
ครั้งนี้หลินสวินจะไม่ปล่อยพวกข่งเจาไปเด็ดขาด
ไม่เด็ดขาด!
…
พวกข่งเจาทั้งขบวนเหมือนเสียสติ พุ่งพรวดออกจากป่าโบราณสีเลือด เคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศหนีตายสุดกำลัง
เพียงแต่ในใจแต่ละคนล้วนกระวนกระวาย ระส่ำระสาย กดดัน ตึงเครียดยิ่งยวด ซ้ำยังรู้สึกอัดอั้นและเดือดดาลอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
พวกเขาเคยถูกปฏิบัติเช่นนี้เสียเมื่อไหร่
สะบักสะบอมปางตาย แตกตื่นราวสุนัข!
“ศิษย์พี่ข่งเจา พวกเราควรหนีไปที่ไหน”
มีคนซักถามอย่างร้อนรน เงาทะมึนแห่งความตายเกี่ยวรัดจิตใจ ทำให้พวกเขาล้วนแบกรับความกดดันที่ยิ่งใหญ่หาใดเปรียบ
“ไปเขาปู้โจว!”
ข่งเจาคำราม
มีแต่ไปเขาปู้โจวถึงจะสามารถยุติการล่าสังหารครั้งนี้ได้ เพราะเมื่อไปถึงที่นั่น จะมีผู้แข็งแกร่งมากมายปรากฏตัว
ถึงเวลานั้นจินตู๋อีนั่น… ไม่สิ เจ้าหลินสวินนั่นยังจะกล้าไล่ล่าสังหารพวกเขาเช่นนี้อีกหรือไม่
ยิ่งกว่านั้น หมีอู๋หยา หวงฝู่เซ่าหนงย่อมต้องอยู่ระหว่างทาง กำลังเร่งรุดมาเป็นแน่ ขอเพียงฝืนยืนหยัดอีกสักระยะ ย่อมต้องคลี่คลายสถานการณ์ยากลำบากในตอนนี้ได้แน่!
ผึง!
เพียงแต่ไม่ทันไร เสียงสะเทือนของสายธนูที่ดุจดั่งลมพายุนั่นก็ดังขึ้นกลางฟ้าดินอีกครั้ง
สิ่งที่ไวยิ่งกว่าเสียง คือศรที่เจิดจ้าไร้ทัดเทียมสายหนึ่ง ห่อหุ้มด้วยแสงมรรคพร่างพราว แหวกทะลวงเวิ้งฟ้าเข้ามา
พวกข่งเจาหนังศีรษะชาหนึบ วิญญาณแทบหลุดออกมา ขณะที่หลบหนีเต็มกำลัง ต่างก็ดึงสมบัติและวิชาลับมาใช้ป้องกัน
ตูม!
ในเสียงกึกก้องที่สะเทือนจนหูจะหนวก ผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์คนหนึ่งถูกซัดกระเด็น เบื้องหน้าสายตาปรากฏดาวสีทอง เลือดลมในกายม้วนตลบระลอกหนึ่ง
เขาไม่ตาย เพราะชุดเกราะสีทองที่สวมบนตัวขวางศรลูกนี้เอาไว้
แต่ยามเมื่อเขามีปฏิกิริยา ตั้งท่าหมายจะเผ่นหนีต่อ กลับพบว่าเงาร่างสูงโปร่งสายหนึ่งมาขวางทางเบื้องหน้าเอาไว้
ส่วนพวกข่งเจาหนีไปไกลตั้งแต่ต้น ไม่ได้คิดจะยื่นมือช่วยเหลือเขาแต่อย่างใด
ภัยร้ายมาถึงตรงหน้า ไม่ว่าใครล้วนหนีเอาตัวรอด!
ความหวาดกลัวและสิ้นหวังที่บอกไม่ถูกทะลักเข้าสู่หัวใจ คนผู้นี้ส่งเสียงคำรามราวสัตว์ร้ายแล้วพุ่งเข้าใส่หลินสวิน
“จินตู๋อี ข้าขอสู้ตายกับ…”
ยังพูดไม่ทันจบเสียงก็เงียบไป
หัวของเขาถูกหลินสวินปลิดลงมาในคราเดียวแล้วโยนส่งๆ ไปด้านข้าง ส่วนคอของเขาก็มีเลือดสดพุ่งกระฉูด
ปึง!
ตอนที่เงาร่างหลินสวินจากไป ศพไร้หัวของเขาถึงร่วงลงพื้นเสียงดัง
“ศิษย์พี่ข่งเจา เหลือแค่พวกเราสามคนแล้ว…”
ไกลออกไป เหลยเฟิงเชวียที่กำลังหนีตายจนผมยุ่งตะโกนลั่น เสียงเจือแววสะอื้น เผยอาการเศร้าระคนเดือดดาลไม่สิ้น และมีความหวาดกลัวที่ยากจะปกปิด
ข่งเจาตาแทบถลน กัดฟันพูด “ฝืนทนอีกระยะ พวกเราต้องได้รับความช่วยเหลือแน่”
อันที่จริงเขาเองก็ว้าวุ่นในใจยิ่งเช่นกัน!
ตอนแรกสุดเขามองหลินสวินเป็นเหยื่อ พูดไปหัวเราะไป คิดเอาเองว่าชัยชนะอยู่ในกำมือ ยิ่งยามสังหารลู่ตู๋ปู้กับซูมู่หานต่อหน้าหลินสวิน ยิ่งได้ใจและลำพองตนอย่างบอกไม่ถูก
เขาเป็นผู้สืบทอดแกนหลักของเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ เป็นอันดับห้าในกระดานราชันอริยะปวงสวรรค์ และยิ่งเป็นดวงดาวที่สะดุดตาที่สุดในหมู่คนรุ่นหลังของเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่ง
แต่ยามนี้เขากลับสภาพทุลักทุเลราวสุนัขจรจัด ถูกไล่ฆ่าจนได้แต่หนีตาย ทำได้เพียงมองดูพวกพ้องข้างกายตายไปภายใต้ความหวาดกลัวทีละคนตาปริบๆ…
รสชาตินี้ทรมานจนข่งเจาแทบพังทลาย!
ถึงขั้นที่เขาเริ่มจะนึกเสียใจภายหลังว่าไม่ควรตั้งตนเป็นศัตรูกับหลินสวินเช่นนี้เลย น่าเสียดาย ตอนนี้พูดอะไรล้วนสายไปแล้ว
ผึง!
หลังหนึ่งถ้วยชา เสียงสะเทือนไหวของสายธนูอันคุ้นเคยนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง ประหนึ่งเสียงเร่งเร้าเอาชีวิตจากขุมนรก
ครั้งนี้คนที่เหลืออยู่ข้างกายข่งเจาและเหลยเฟิงเชวียก็ถูกระเบิดสังหารเช่นกัน!
สมบัติ วิชามรรค และพลังป้องกันแห่งตนของคนผู้นี้ล้วนประหนึ่งกระดาษเปื่อย ต้านอานุภาพของศรนั้นไม่ได้สักนิด แม้แต่ร่างของเขาก็ยังถูกทะลวงไปพร้อมกัน แตกระเบิดกลางห้วงอากาศ
ทอดมองจากไกลๆ ก็เหมือนดอกไม้ไฟสีเลือดแดงฉานดอกหนึ่งเบ่งบานกลางอากาศ
ขณะนี้เหลยเฟิงเชวียคล้ายพังทลายแล้ว แผดเสียงร้องลั่น “ตั้งแต่เริ่มพวกเราไม่ควรหนีเลย ต่อให้ลงมือสู้พร้อมกันก็ยังดีกว่าอยู่ในสภาพเช่นนี้ ถูกเจ้าคนร้ายกาจนั่นฆ่าตายทีละคนในระหว่างที่หนีตาย!”
…………………….