ศิษย์น้องสองคนของฟูจิบายาชิมาสะจับตาดูสถานการณ์อยู่รอบๆห้องโถงของโรงแรม

เมื่อเห็นเย่เฉินกลับมาที่โรงแรมเพียงคนเดียวและทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเขาก็รีบรายงานให้ฟูจิบายาชิมาสะทราบทันที ในขณะเดียวกันพวกเขาสองคนก็รู้สึกประหลาดใจ ผู้ชายคนนี้ดูเหมือนออกไปเดินเล่นเฉยๆ และมองไม่ออกว่าเขามีร่องรอยการต่อสู้มาก่อน หรือว่าฟูจิบายาชิโอตะไม่ได้ลงมือต่อสู้กับเขา?!

เหตุผลที่พวกเขาคิดแบบนี้ เพราะพวกเขาสองคนคิดว่า ถึงแม้ฟูจิบายาชิโอตะจะสู้เย่เฉินไม่ได้ แต่เขาคงไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดรับมือเย่เฉินไม่ไหว

ถ้าหากตอนนี้เขาเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น งั้นคู่ต่อสู้ของเขาก็คงจะได้รับบาดเจ็บบ้าง และเป็นไปไม่ได้ที่คู่ต่อสู้ของเขาจะไม่เป็นอะไรเลย

ฟูจิบายาชิมาสะที่ใส่เครื่องดักฟังหลายๆอันในห้องของเย่เฉินจนเสร็จ ก็แอบออกมาจากห้องของเย่เฉิน จากนั้นก็ใช้อินเตอร์โฟนบอกพวกเขาสองคน:”มาที่ห้องของฉัน!”

อันที่จริง ทันทีที่เย่เฉินเดินเข้ามาในโรงแรม ก็สังเกตเห็นพวกเขาสองคนทันที

เพราะพวกเขาสะกดรอยตามตัวเองตั้งแต่โตเกียวมาถึงนาโงยะ และเขาก็คุ้นเคยกับสี่คนนี้มาระดับหนึ่งแล้ว

เมื่อเห็นคนพวกนี้มานั่งรอตัวเองที่ห้องโถงของโรงแรม เย่เฉินรู้ว่าพวกเขาต้องมีแผนอะไรบางอย่าง

ดังนั้น เขาไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไรออกมาเลย และนั่งลิฟต์ขึ้นไปในห้องของตัวเอง

เมื่อเดินเข้ามาในห้อง เขาก็รู้สึกว่าในอากาศมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกคุ้นชิน

จาก《ตำราเก้าเสวียนเทียน》เย่เฉินรู้ว่าทุกคนมีลมหายใจที่ไม่เหมือนกัน

สิ่งที่เรียกว่าลมหายใจ มันก็คือสนามแม่เหล็กในวิชาฟิสิกส์

คนๆหนึ่งถึงแม้ว่าจะอำพรางตัวได้อย่างแนบเนียน แต่ถ้าเขาไม่มีความสามารถเหมือนกับเย่เฉิน มันยากมากที่เขาจะซ่อนลมหายใจของตัวเองได้

ก็เหมือนรถยนต์ที่กำลังวิ่งอยู่ ถึงแม้มันจะเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแค่ไหน แต่มันก็ปล่อยควันไอเสียจางๆออกมา หลังจากที่รถยนต์วิ่งผ่าน ควันไอเสียก็จะอยู่ในอากาศ

อย่างไรก็ตาม ถ้าใครที่มีประสาทสัมผัสไวในด้านการดมกลิ่น ก็จะสามารถพบกลิ่นของควันไอเสียได้

แต่ลมหายใจอันแผ่วเบาของร่างกายมนุษย์ มันจะระเหยไปได้ง่าย เว้นแต่คนที่มีประสาทสัมผัสที่ไว ถ้าเป็นคนทั่วไปก็จะสัมผัสได้ยาก

ฟูจิบายาชิมาสะนึกว่าตัวเองอำพรางได้อย่างแนบเนียน แต่เขาคิดไม่ถึง เมื่อเย่เฉินเข้ามาในห้อง ก็สัมผัสได้ถึงร่องรอยที่เขาหลงเหลือไว้

ดังนั้นเย่เฉินมองไปรอบๆห้องด้วยความสงบ และพบเครื่องดักฟังไร้สายหลายๆอันซ่อนอยู่ด้านหลังเฟอร์นิเจอร์ ด้านล่างโซฟาและด้านในของโคมไฟแชนเดอเรียที่ติดอยู่บนเพดาน

เมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้ เย่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะเย้ย

ในเมื่อเพื่อนชาวญี่ปุ่นพวกนี้ใช้เครื่องดักฟังแล้ว ถ้าตัวเองไม่แสดงละครฉากหนึ่งเพื่อหลอกพวกเขา ก็จะทำให้พวกเขาเสียความตั้งใจในสิ่งที่พวกเขาทำไว้

ดังนั้นเขาก็เลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ส่งข้อความตัวหนังสือทางวีแชทให้เฉินจื๋อข่ายกับหงห้า:”ห้องของฉันมีเครื่องดักฟัง หงห้าอย่าพึ่งมาที่ห้องของฉัน เหล่าเฉิน เดี๋ยวคุณมาเล่นละครฉากหนึ่งกับฉันเพื่อหลอกพวกเขาหน่อย”

เฉินจื๋อข่ายรีบส่งข้อความตัวหนังสือกลับมา ถามเขาว่าต้องเตรียมการอะไรบ้าง

เย่เฉินส่งข้อความตัวหนังสือมากมายเป็นสคริปต์ที่ตัวพึ่งคิดออกมาให้เฉินจื๋อข่าย จากนั้นก็ส่งข้อความเสียงไปให้เขา:”เหล่าเฉิน มาที่ห้องฉันหน่อย”

ผ่านไปครึ่งนาที เฉินจื๋อข่ายก็มาเคาะประตูห้องของเย่เฉิน

เมื่อปิดประตูห้อง เย่เฉินก็พูดอย่างประหม่า:”เหล่าเฉิน ฉันรู้สึกว่านาโงยะมีอะไรแปลกๆ”

เฉินจื๋อข่ายรีบอ่านตามสคริปต์ที่เย่เฉินส่งมาให้เขาและถามว่า:”คุณชาย คำว่าแปลกๆ คุณหมายความว่าอะไร?”

เย่เฉินพูดด้วยความกังวลว่า:”เมื่อสักครู่ตอนที่ฉันออกไปเดินเล่น ฉันก็มีความรู้สึกแปลกๆ เหมือนมีคนสะกดรอยตามฉันตลอดเวลา”

“คุณชาย มันเป็นเรื่องจริงเหรอ!”เฉินจื๋อข่ายรีบถาม:”พวกเราเดินทางออกมาจากโตเกียว ระหว่างทางก็แวะไปที่โยโกฮามา ตอนนี้ก็มาถึงนาโงยะ คงไม่มีใครสะกดรอยตามพวกเรามาถึงที่นี่หรอก?”

“มันก็พูดยาก”เย่เฉินถอนหายใจ:”ฉันเคยทำร้ายอันธพาลบนถนนในโตเกียว ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป มีสำนวนจีนที่พูดว่า คุณจะมีอำนาจและแข็งแกร่งแค่ไหน ก็ไม่ควรไปมีเรื่องกับเจ้าถิ่น พวกเราออกมาข้างนอก และมีเรื่องผิดใจกับตระกูลใหญ่ในท้องถิ่น ยังไงก็คงมีเรื่องยุ่งยากลำบากตามมาอย่างแน่นอน!”

ในขณะนี้ ในห้องของฟูจิบายาชิมาสะ พวกเขาสามคนกำลังฟังการสนทนาอยู่ และพวกเขาก็ตกตะลึงมากๆ

น้องสามเอ่ยปากพูด:”ศิษย์พี่ ฉันฟังการสนทนาของพวกเขา ดูเหมือนเขาไม่ได้พบเจอโอตะซึ่งๆหน้า?”

ฟูจิบายาชิมาสะส่งสัญญาณมือให้เขาหยุดและเอ่ยปากพูด:”ฟังต่อไป!”

ในเวลานี้ เฉินจื๋อข่ายพูดอีกครั้ง:”คุณชาย คุณคิดมากเกินไปหรือเปล่า? ฉันก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีคนสะกดรอยตามพวกเราเลย”