ตอนที่ 1994 พบหลิงเคอจื่ออีกครั้ง

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 1994 พบหลิงเคอจื่ออีกครั้ง
เย่จื่อ

หลินสวินจำชื่อของ ‘สิ่งที่ควรรู้ยามนี้’ ไว้ในใจ

“วิญญาณกระบี่มีนิสัยเหมือนเจ้านายของมัน เจตกระบี่มาจากแหล่งเดียวกัน เท่าที่เห็นกลิ่นอายของวิญญาณกระบี่นี้ เดิมทีข้าคิดว่าวิญญาณกระบี่นี้ต้องเป็นพวกอำมหิตจองหองแน่ ใครจะคิดว่านิสัยกลับอ่อนนุ่มทว่าเหนียวแน่นเหมือนใบไม้…”

จี้เสวียนอดทอดถอนใจไม่ได้

หลินสวินก็รู้สึกแบบเดียวกัน ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาได้รับผลกระทบจากเจตกระบี่ที่น่ากลัวนั่น สิ่งที่สัมผัสได้อย่างลึกซึ้งมีแค่คำเดียว

บ้าระห่ำ!

แต่เมื่อวิญญาณกระบี่เย่จื่อเก็บกลิ่นอาย กลับเป็นว่าไม่มีกลิ่นอายถือดีแม้แต่น้อย

จี้เสวียนกล่าว “ไปเถอะ ไม่เกินสองชั่วยามก็น่าจะถึงสถานที่ซึ่ง ‘ประตูทลาย’ ตั้งอยู่แล้ว”

ประตูทลาย!

นัยน์ตาดำของหลินสวินหรี่ลงเล็กน้อย เขาไม่ได้ซักถามก็เดินทางต่อ

บนหนทางต่อจากนั้น กลิ่นอายทำลายล้างที่ปกคลุมในเขาปู้โจวนี้น่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ เปลี่ยนเป็นกลิ่นอายที่เหมือนระเบียบมหามรรคอบอวลไปทั่วทิศ

มองเห็นลักษณ์ประหลาดน่าพรั่นพรึงปรากฏเป็นครั้งคราว มีเหล่ามารออกจากหุบเหวลึก เทพเซียนสะอื้นไห้ นภาพังทลาย สรรพชีวิตพินาศย่อยยับ มหามรรคดับสลาย โลกกลายเป็นเถ้าถ่าน…

เหตุการณ์ประหลาดต่างๆ แผ่กลิ่นอายน่ากลัวที่พาให้คนใจสั่นระรัว

แม้ในใจจะรู้ดีว่านั่นเป็นแค่ลักษณ์ประหลาด ไม่ใช่ความจริง แต่ยังทำให้ในใจหลินสวินตระหนก

แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกผิดคาดคือ ตลอดทางมานี้ล้วนตื่นตระหนกแต่ไร้อันตราย ไม่เจออุปสรรคและการโจมตีใดๆ อีก

ถึงขั้นไม่เจอแม้แต่ ‘ของดุร้าย’ ที่แปลกประหลาดน่ากลัวพวกนั้นด้วย ประหนึ่งระเหยไปกลางอากาศ

“เพราะกลิ่นอายของเย่จื่อทำให้ของดุร้ายพวกนี้ตระหนกถอยร่น ว่าไปแล้วตัวตนของเย่จื่อก็เป็นของดุร้ายที่เปื้อนกลิ่นอายทำลายล้างของเขาปู้โจว แค่การรับรู้ของเย่จื่อยังอยู่ จึงรักษาจิตวิญญาณที่ไม่เคยสลายไปไว้ได้”

เมื่อจี้เสวียนอธิบายเช่นนี้ หลินสวินจึงเข้าใจกระจ่าง

ชั่วยามกว่าให้หลัง หลินสวินเดินลัดเลาะข้ามเขาที่คดเคี้ยวเลี้ยวลดอยู่ครู่ใหญ่ ตลอดทางเงียบสงัด ทุกอย่างที่เห็นคือซากปรักหักพังและมลายล้างซึ่งไม่มีต้นหญ้าเจริญเติบโต

“เอ๋”

ทันใดนั้นในจิตรับรู้ของหลินสวินสังเกตเห็นเงาร่างสายหนึ่ง กำลังเดินอยู่เบื้องหน้าห่างจากตนไปไม่กี่พันจั้ง

นี่คือภิกษุเด็กหนุ่มที่ท่าทางซื่อๆ รูปหนึ่ง สวมจีวรสีพื้นแขนกว้าง หน้าตาดูว่านอนสอนง่าย ยามก้าวเดินทั่วร่างจะมีแสงธรรมเหมือนอริยเทพไหลบ่า

ผู้สืบทอดของอารามโบราณยอดทักษิณ หลิงเคอจื่อ!

หลินสวินจำได้ในพริบตา ตอนที่อยู่แหล่งสถานคุนหลุน เขาก็รู้สึกว่าภิกษุที่ดูเชื่องเชื่อรูปนี้น่าสนใจมาก ยามที่เจอตน เขาจะตกใจและขี้ขลาดเหมือนกระต่าย

แต่ต่อมาที่หน้างานชุมนุมถกมรรค หลินสวินกลับได้ยินว่าภิกษุที่ขี้ขลาดหาใดเปรียบอย่างหลิงเคอจื่อ กลับกลายเป็นอันดับหนึ่งของศึกถกมรรคแคว้นมาร!

แคว้นมาร นั่นเป็นถึงอาณาเขตที่ราวกับแดนมาร เป็นโลกของผู้ฝึกปราณสายมาร แต่หลิงเคอจื่อที่เป็นผู้บำเพ็ญธรรมกลับกำราบเหล่ามาร ยืนผงาดเหนือผู้ใด!

นี่ทำให้คนคาดไม่ถึงอย่างไม่ต้องสงสัย

เมื่อดูบันทึกข้อมูล หลินสวินจึงรู้ว่าหลิงเคอจื่อมีพรสวรรค์ ‘จิตพุทธะไร้มลทิน’ ครอบครองเขตแดนมรรค ‘โพธิสังฆาราม’ มีอานุภาพสยบคนโดยไม่ต้องสู้

คำว่าโพธิ เดิมก็สื่อถึงความรู้แจ้งถ่องแท้ ใจปลอดโปร่งย่อมเห็นแจ้ง ราวกับผู้ตื่นรู้ในชั่วขณะ พบทางสว่างฉับพลัน บรรลุถึงขั้นโดดเด่นเหนือธรรมดา

เขตแดนมรรคของหลิงเคอจื่อถึงกับมีคำว่า ‘โพธิ’ แค่คิดก็รู้แล้วว่ามรรควิถีของเขาต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

อันที่จริงหลิงเคอจื่อสามารถเข้าร่วมงานชุมนุมถกมรรคด้วยฐานะ ‘อันดับหนึ่งของแคว้น’ ทั้งยังโดดเด่นเหนือผู้อื่นในการต่อสู้ของแดนลับโลกาสวรรค์ กลายเป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งร้อยแปดคนที่เข้ามาในเขตต้องห้ามเซียนโบราณนี้ได้ เดิมทีก็สามารถพิสูจน์ความแข็งแกร่งของเขาแล้ว!

แต่หลินสวินกลับคิดไม่ถึง ว่าจะได้เจอเจ้าหมอนี่อีกครั้งในเขาปู้โจวที่อันตรายหาใดเปรียบนี้

“อ๊าก…!”

พร้อมกันนั้นเมื่อหลิงเคอจื่อหันไปเห็นหลินสวินที่อยู่ห่างไปไม่ไกลก็สั่นเทาไปทั้งตัว บนใบหน้าซื่อๆ เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก แผดเสียงตะโกนคำหนึ่งแล้วเผ่นหนีทันที

‘ในสายตาของเจ้าหมอนี่ ข้าน่ากลัวกว่าเขาปู้โจวรึ’

หลินสวินหมดคำพูด เร่งตามไปทันที

เขากลับอยากถามว่าภิกษุน้อยรูปนี้กลัวอะไรกันแน่ ตอนอยู่ที่แหล่งสถานคุนหลุนก็เป็นเช่นนี้ ยามอยู่ที่เขาปู้โจวนี่ก็ยังเป็นเช่นนี้อีก

นี่จะผิดปกติเกินไปแล้ว!

ต้องรู้ว่าระหว่างพวกเขาไม่มีความแค้นใดต่อกัน

“อย่าตามข้า… ไม่ อย่าฆ่าข้า… ข้ายอมเรียกท่านว่าบิดาแล้ว พอใจไหม”

หลิงเคอจื่อวิ่งหนีอย่างบ้าคลั่ง เหมือนกระต่ายที่ถูกทำให้ตกใจเกินเหตุ ปากยังร้องเสียงดังไปด้วย

“บิดาบ้านเจ้าสิ!”

หลินสวินกล่าวไม่สบอารมณ์ “ข้าบอกว่าจะฆ่าเจ้าเมื่อไหร่กัน”

“แต่ข้า… กลัวนี่นา!”

ท่าทางของหลิงเคอจื่อเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรมและตื่นตระหนก

หลินสวินเห็นว่าเจ้าหมอนี่รีบหนีไม่ดูทางจึงตวาดใส่ทันที “ถ้าเจ้าหนีอีก ข้าจะลงมือจริงๆ แล้ว!”

ประโยคเดียวทำเอาเงาร่างของหลิงเคอจื่อหยุดชะงัก หันกลับมาอย่างยากลำบาก สีหน้าเต็มไปด้วยคำว่า ‘ขลาดกลัว’ มีท่าทีว่ายอมแพ้

“จะฆ่าจะแกงก็ตามใจเถอะ!”

หลิงเคอจื่อพูดพลางหลับตาปี๋

หลินสวินเคาะหน้าผากที่เงาวาวของเขาคราหนึ่งพลางกล่าว “ถ้าจะฆ่าเจ้า ต้องให้เจ้าเตือนด้วยหรือ”

หลิงเคอจื่อลืมตาแล้วกล่าวอึ้งๆ “เช่นนั้นเจ้าตามข้ามาทำไม”

หลินสวินเอามือกุมหน้าผาก สีหน้าจนใจ “ถ้าเจ้าไม่หนี ข้าจะตามเจ้ามาทำไมเล่า”

หลิงเคอจื่อค่อยกล่าวเหมือนยกภูเขาออกจากอก “ก่อนหน้านี้ข้ายังนึกว่าพี่หลินเชื่อว่าข้าเปิดโปงฐานะของท่าน ดังนั้นจึงคิดจะฆ่าข้าเพื่อระบายความโกรธ ที่แท้ก็ไม่ใช่”

นัยน์ตาดำของหลินสวินหรี่ลงเล็กน้อย “ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็มองออกอยู่ก่อนแล้วว่าข้าไม่ใช่จินตู๋อี?”

หลิงเคอจื่อสะอึก พลันตระหนักขึ้นมาได้ “ที่แท้พี่หลินก็ไม่รู้นี่เอง”

ครานี้หลินสวินใคร่รู้ยิ่งกว่าเดิมแล้ว

ต้องรู้ว่าเขาสวมชุดนักพรตสมประสงค์ไว้ ทั้งยังเดินทางโดยใช้กายมรรคทองขาว ตอนอยู่ที่เรือนมรรคโลกาสวรรค์ แม้แต่ระดับจักรพรรดิมากมายยังมองฐานะของเขาไม่ออก

แต่หลิงเคอจื่อนี่กลับทำได้!

“ไป พวกเราเคลื่อนไหวด้วยกัน”

หลินสวินคิดไปคิดมาก่อนตัดสินใจ หลิงเคอจื่อนี่เป็นผู้บำเพ็ญธรรมที่แปลกประหลาดมาก แต่หลังจากเขามองทะลุฐานะของตนแล้วกลับไม่เคยแพร่งพรายออกมา ทั้งยังไม่มีความคิดจะทำอะไร อย่างน้อยก็ทำให้หลินสวินสบายใจ

นี่ก็พิสูจน์ได้ว่าหลิงเคอจื่อไม่มีเจตนาเป็นศัตรูกับตน

“นี่…”

หลิงเคอจื่อปั้นหน้าขมขื่น “พี่หลิน ที่นี่คือเขาปู้โจว เป็นแดนอันตราย ถ้าข้าอยู่ข้างกายท่านต้องกลายเป็นตัวภาระแน่”

“แต่ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าในสายตาของเจ้า ข้าดูอันตรายยิ่งกว่าเขาปู้โจวนี่อีก”

หลินสวินเอ่ยถาม

หลิงเคอจื่อยิ้มขื่นทันที ทั้งสับสนและว้าวุ่นใจ อึดอัดอยู่นานกว่าจะกล่าว “พี่หลิน ข้ารู้ว่าท่านอยากถามอะไร แต่ข้าบอกไม่ได้จริงๆ ถ้าพูดออกมาแล้ว ล้วนไม่ดีทั้งกับท่านและกับข้า ท่านแค่… มองข้าเป็นลมที่ผายออกมาแล้วปล่อยไปได้ไหม”

หลินสวินพลันหมดคำพูดอีกครั้ง ผู้สืบทอดของอารามโบราณยอดทักษิณที่ถูกเรียกขานว่าเป็น ‘อนุสุขาวดี’ บุคคลระดับมกุฎราชันอริยะที่ช่วงชิงสิทธิ์เข้ามาในเขตต้องห้ามเซียนโบราณได้ หลิงเคอจื่อนี่ไม่ขี้ขลาดเกินไปหน่อยหรือ เมื่ออยู่ต่อหน้าตนก็ยิ่งเหมือนคนใจปลาซิว!

เขากล่าว “ให้เจ้าเลือกอย่างหนึ่ง จะไปกับข้าโดยดี หรือจะให้ข้าหิ้วตัวเจ้าไป เจ้าเลือกเองเถิด”

“นี่เรียกว่าเลือกด้วยหรือ”

หลิงเคอจื่อเบิกตากว้าง

“จะไปหรือไม่ไป”

หลินสวินถลึงตามองเขาคราหนึ่ง ทำเอาหลิงเคอจื่อสั่นไปทั้งตัว กล่าวโหยหวน “ไป! จะกล้าไม่ไปได้อย่างไร ถ้าไม่ไปเกรงว่าอาตมาคงสิ้นชีพแน่!”

หลินสวินยิ้มแล้วตบบ่าเขา “เป็นการเลือกที่ฉลาดมาก”

ทั้งสองคนเริ่มเคลื่อนไหวพร้อมกันทันที

ตลอดทางหลิงเคอจื่อมีท่าทีเหมือนจิตใจพังทลาย หมดอาลัยตายอยาก นี่ทำให้หลินสวินอยากจะเคาะหน้าผากที่เกลี้ยงเกลานั่นของเขาอยู่หลายครั้ง อยากจะถามว่าในสมองเขาคิดอะไรอยู่กันแน่

“บอกข้ามาว่าเจ้ามองฐานะของข้าออกได้อย่างไร”

หลินสวินถาม

“พระท่านว่า มิอาจพูด”

หลิงเคอจื่อประสานมือทั้งสอง

หลินสวินมุมปากกระตุกเล็กน้อยพลางกล่าว “เช่นนั้นข้าขอถามเจ้าว่า ทำไมทุกครั้งที่เจอข้าต้องขวัญกระเจิงเช่นนี้ด้วย”

หลิงเคอจื่อตาเพ่งจมูกจมูกเพ่งจิต “พระท่านว่า มิอาจพูด”

หลินสวิน “…”

เขาสูดหายใจลึก สะกดข่มความรู้สึกที่อยากจะต่อยภิกษุนี่เอาไว้ “เจ้ามีพรสวรรค์จิตพุทธะไร้มลทิน ต้องเห็นอะไรในตัวข้าแน่ ใช่หรือไม่”

“พระท่านว่า มิอาจพูด”

หลิงเคอจื่อตั้งท่าเหมือนหมูตายไม่กลัวน้ำร้อน ไม่ยอมเอ่ยปาก

หลินสวินหยุดเท้า เหล่มองภิกษุที่มองความตายดุจดั่งการหวนคืนนี่ ฝ่ายหลังตกใจจนขนลุกชัน แต่ก็กัดฟันแน่นไม่ยอมเปิดปาก

“ได้ ถ้าเจ้าไม่พูดก็อยู่ข้างกายข้าไปตลอด เมื่อไหร่ที่เปลี่ยนใจ ข้าอาจจะพิจารณาปล่อยเจ้าไป”

หลิงเคอจื่อเบิกตากว้างเหมือนถูกฟ้าผ่า “พระท่านว่า…”

หลินสวินยิ้มแย้มถาม “ครั้งนี้พระท่านว่าว่ากระไร”

หลิงเคอจื่ออยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออก กล่าวเค้นอย่างมีใจแต่ไร้พลัง “ประเสริฐสุด!”

หลินสวินอดหัวเราะลั่นไม่ได้ สาวเท้าก้าวใหญ่ไปข้างหน้า ไม่ถามอะไรอีก

หลิงเคอจื่อคอตก สีหน้าสับสน ตลอดทางเหมือนอยากพูดอะไรแต่ก็หยุดไปหลายครั้ง หลินสวินแสร้งว่ามองไม่เห็น ท่าทางเหมือนนั่งรอปลาอย่างสบายใจ

สิ่งที่ทำให้หลินสวินประหลาดใจคือ หลิงเคอจื่อที่หวาดกลัวตนเพียงนั้นกลับอดกลั้น ไม่คิดจะแพร่งพรายความลับใดๆ

‘ดูท่าว่าเจ้าหมอนี่ต้องเห็นความลับอะไรที่พูดไม่ได้จากตัวข้าแน่…’

หลินสวินเหมือนนึกอะไรได้

ตอนอยู่ที่จักรวรรดิจื่อเย่าในโลกชั้นล่าง ราชครูบนหอดูดาวหลวงคนนั้นก็เคยทำนายให้เขา

ภาพทำนายไร้สิ้นสุดเหมือนหมอกหนา ไม่อาจมองทะลุได้

แต่ยามที่ราชครูทำนายโชคเคราะห์ให้เขา กลับเห็นภาพที่สะเทือนใต้หล้า…

หนทางข้างหน้าเขา หมอกควันทบเป็นชั้นๆ

แต่ด้านหลังของเขา ฟ้าดินกลับถล่มทลาย สรรพสิ่งพังพินาศ ทุกอย่างหายไป!

แม้แต่ราชครูยังรู้สึกว่าไม่อาจเข้าใจ

แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าหลิงเคอจื่อนี่มองอะไรออก ถึงได้หวั่นหวาดและเกรงกลัวตนเช่นนั้น แม้ว่าภิกษุนี่จะใจมด แต่กลับไม่พูดออกมาสักคำ

แม้หลินสวินจะรู้สึกว่าจนปัญญา แต่ก็ทำได้เพียงปล่อยไป

“พี่หลิน…”

หลิงเคอจื่อพลันเอ่ยปาก

“หืม?”

สายตาหลินสวินมองไปทางเขา

หลิงเคอจื่อสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าว “รอเมื่อได้โอกาส ข้าจะบอกท่านแน่นอน แต่ท่านต้องรับปากข้าเรื่องหนึ่งก่อน”

หลินสวินกล่าว “เรื่องใดหรือ”

หน้าผากหลิงเคอจื่อมีเหงื่อซึมออกมาชั้นหนึ่ง คล้ายว้าวุ่นใจหาใดเปรียบ แต่สุดท้ายเขาก็กัดฟันกล่าว

“วันหน้าหากพี่หลินได้ขึ้นที่สูง มีพลังพอก้าวผ่านทางเดินโบราณฟ้าดารา ท่าน… พาข้าไปชมฟากฝั่งฟ้าดาราด้วย… ได้หรือไม่”

เขากล่าวกระท่อนกระแท่น พูดจบก็ทำท่าเหมือนจะเป็นลม ปาดเหงื่อบนหน้าผากอย่างห้ามไม่อยู่ แต่สายตากลับเจือความวาดหวังเหลือคณา มองมายังหลินสวิน

“ได้”

หลินสวินอึ้งไป แต่ยังพยักหน้ารับปาก

ด้วยเพราะก่อนหน้านี้ข้อเรียกร้องที่วิญญาณกระบี่เย่จื่อเสนอ ก็เหมือนหลิงเคอจื่อทุกประการ หากมีโอกาสก้าวผ่านความว่างเปล่า มุ่งหน้าไปยังฟากฝั่งฟ้าดาราจริง เขาไม่ถือสาที่จะพาไปเพิ่มอีกคน

ทว่าเขากลับแปลกใจยิ่งนัก

……………………………