ตอนที่ 1999 ประลองหมากกับสวรรค์ สวรรค์ด้อยกว่าขั้นหนึ่ง

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 1999 ประลองหมากกับสวรรค์ สวรรค์ด้อยกว่าขั้นหนึ่ง
ในตารางหมากขาวดำ ลายเส้นหนาแน่นเคลื่อนคล้อยพราวระยับ ปราณกระบี่หลายสายที่เหมือนทลายฟ้ามลายดิน รวมอานุภาพเข้าหากันอย่างบ้าคลั่ง

ปราณกระบี่แต่ละสายล้วนควบรวมจากความทุ่มเททั้งชีวิตของจือไป๋ พูดว่าเป็นการปล่อยพลังถึงขีดสุดของมรรควิถีทั้งตัวเขาก็ไม่ถือว่าผิด

เวลานี้ทั้งตัวจือไป๋ราวลุกโชน พลังขับเคลื่อนดังกึกก้องราวอสนีบาต หว่างคิ้วเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวและบ้าระห่ำ

การประลองหมาก ยามตัดสินผลแพ้ชนะ ต้องวางหมากโดยไม่นึกเสียใจ!

“มา!”

เสียงตวาดดังก้องขึ้น

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!

ปราณกระบี่สายแล้วสายเล่าฟันลงมา ชักนำพลังมหามรรคของตารางหมากขาวดำทั้งหมด ลักษณ์ประหลาดชวนประหวั่นมากมายทยอยปรากฏราวกับจะทลายโลกา

กลับเห็นว่ายามนี้…

หลินสวินถึงกับเผยยิ้มออกมา นัยน์ตาสะท้อนเงากระบี่ทั่วฟ้า จิตใจสงบนิ่ง

“ข้าคนแซ่หลินตั้งท่ามาถึงตอนนี้ ก็เพื่อรอเวลานี้…”

ท่ามกลางเสียงทอดถอนใจที่เนิบช้า เงาร่างหลินสวินพลันกลายเป็นไอขุ่นมัวแถบหนึ่ง

ไอขุ่นมัวรวมเป็นหนึ่ง กลายสภาพเป็นเตาหลอม เปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นเหวลึก ในความรางเลือนกลับมีภาพของโลกกว้างใหญ่ที่โอ่อ่าและสมบูรณ์ปรากฏอยู่ มีหลักการฟ้าดิน สุริยันจันทราดารา วัฏจักรหมื่นลักษณ์ สี่ฤดูหมุนวน สรรพสิ่งเปลี่ยนผัน…

แต่เมื่อมองโดยละเอียดกลับพร่าเลือนขุ่นมัว ไม่อาจพรรณนา!

นี่ก็คือเขตแดนมรรคของหลินสวิน ยามนี้ได้ปลดปล่อยพลังถึงขีดสุดอย่างสมบูรณ์แล้ว

ตูม!

เสียงกัมปนาทที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินดังก้องขึ้น

พลันเห็นท้องนภาสั่นสะเทือน ปราณกระบี่สายแล้วสายเล่าที่สามารถสังหารเทพผีร่วงสู่ไอขุ่นมัว ราวกับดาวหางที่ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า ก่อนถูกดูดกลืนจนสิ้น

จากนั้นตารางหมากขาวดำแน่นขนัดที่อยู่ด้านหลังหลินสวินพลันระเบิดออกทีละช่อง ถูกทำลายและม้วนกลืนอย่างน่าหวาดกลัว

พรูด!

จือไป๋กระอักเลือด ดวงตาเบิกกว้าง มือเท้าเย็นเยียบ ใจสั่นสะท้านอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกยากจะเชื่อ

ทำไม…

ทำไมถึงเป็นเช่นนี้…

ตารางหมากขาวดำเป็นมรรคที่เขาเคี่ยวกรำออกมาได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด มองมหามรรคเป็นกระดานหมาก มองผู้ฝึกปราณเป็นตัวหมาก ผู้ที่ตกอยู่ในตารางหมากล้วนหนีฉากจบที่ต้องถูกสังหารไม่พ้น

เหมือนการประลองหมากกับสวรรค์!

ใครเคยเห็น ‘สวรรค์’ พ่ายแพ้บ้าง

และในตารางหมากขาวดำ เขาจือไป๋ก็คือ ‘สวรรค์’ !

สามารถเข่นฆ่าได้ตามใจ วางหมากอย่างไร้ปรานี!

แต่ตอนนี้ ‘สวรรค์’ อย่างเขากลับแพ้แล้ว…

ตูม!

ตารางหมากขาวดำสั่นสะเทือน เหมือนโลกใบหนึ่งกำลังราพณาสูร เงามืดคลุมเครือที่น่ากลัวนั้นกำลังม้วนกลืนทุกสิ่งราวกับปากใหญ่มหึมา…

จือไป๋ร่างชุ่มไปด้วยเหงื่อ สีหน้าซีดเผือด สั่นไปทั้งตัวด้วยความไม่ยินยอม งุนงง และตื่นตระหนก

ตารางหมากขาวดำเป็นการสะท้อนให้เห็นมรรควิถีทั้งตัวเขา เมื่อถูกทำลายก็ย่อมทำให้เขาได้รับพลังสะท้อนกลับที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง

พลันเห็นมุมปากของเขามีเลือดแดงสดไหลออกมาไม่หยุด ประกายแสงในแววตาก็เปลี่ยนเป็นสลัวลง อาการบาดเจ็บกำลังเปลี่ยนเป็นสาหัสอย่างต่อเนื่อง!

แต่เขากลับเหมือนไม่รู้ตัว จ้องมองภาพแห่งการทำลายล้างนี้จนตาค้าง เหมือนยังไม่อยากเชื่อว่านี่คือเรื่องจริง…

เขารู้สึกแค่ว่าการเสาะหาทั้งชีวิตของตน ความหยิ่งทะนงทั้งหมด กำลังพังทลายสนั่นหวั่นไหว… ภายใต้การโจมตีนี้!

“เพราะอะไร… ทั้งที่เป็นยอดมรรคาเหมือนกัน แต่มรรควิถีของข้ากลับไม่เอาไหนเช่นนี้… นี่… เป็นถึงกระดานหมากของข้าเชียวนะ…”

เสียงพึมพำต่ำลึกดังออกจากปากของจือไป๋

ตูม!

ยามนี้ตารางหมากขาวดำพังทลายราบคาบต่อหน้าจือไป๋

เงาร่างของหลินสวินแหวกทะลวงออกมา ราวกับแสงที่เจิดจรัสที่สุดก่อนรุ่งอรุณ เขายืนอยู่กลางอากาศ อาภรณ์สะบัดโบก ไม่แปดเปื้อนโลกีย์

ทุกคนในที่นั้นซึ่งจับตามองการประลองแห่งยุคนี้อย่างตื่นเต้นอยู่นานแล้ว เมื่อเห็นภาพนี้ก็อึ้งงันไปก่อน จากนั้นจึงเผยสีหน้าตกตะลึง

“พลิกสถานการณ์ได้แล้ว!?”

มีคนยากจะเชื่อ

“ตัวอยู่ในอันตราย แต่สุดท้ายก็ยังทะลวงออกมาได้ นี่เหมือนเอาชนะพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของจือไป๋ได้ซึ่งหน้า!”

มีคนสูดหายใจเย็นเยียบ

“หลินสวินนี่ไม่แข็งแกร่งเกินไปหน่อยหรือ เขาทำได้อย่างไรกัน”

มีคนตะลึงงัน

ไม่มีใครรู้ เพราะการต่อสู้นี้เกิดขึ้นในตารางหมากขาวดำ การต่อสู้ห้ำหั่นและการประลองภายในนั้นก็มีแค่จือไป๋คนเดียวที่รู้

‘บนการประลองยอดมรรคา จือไป๋แพ้แล้ว…’

หมีอู๋หยาถอนใจเบาๆ

กวาดสายตามองทุกคนในที่นี้ คนที่เขาเห็นอยู่ในสายตามีจำนวนแค่นับนิ้วได้ จือไป๋ก็คือหนึ่งในนั้น

แต่น่าเสียดายที่เขาแพ้แล้ว

“แพ้แล้ว…”

ในใจเยวี่ยหรูหั่วพลันเครียดขมึงขึ้นมา

ในเวลานี้เองที่ผู้คนเห็นจือไป๋

ผมเผ้าเขายุ่งเหยิง สาบเสื้อตรงหน้าอกเปื้อนเลือด แววตามืดมน สีหน้าซีดเผือด เงียบงันไม่กล่าววาจาราวกับต้องคำสาป

ทุกคนต่างรับรู้ได้ว่า การประลองมรรควิถีนี้ได้สร้างแรงโจมตีอย่างหนักหน่วงให้กับปีศาจแห่งยุคอย่างจือไป๋แล้ว!

“พี่จือไป๋”

เยวี่ยหรูหั่วเอ่ยเรียกอย่างอดไม่ได้

“ข้าแพ้แล้ว…”

จือไป๋ยิ้มเจื่อน ท่าทางเซื่องซึม สายตาเขามองไปยังหลินสวินที่อยู่ห่างออกไป “ความแข็งแกร่งด้านมรรควิถีของพี่หลิน ทำให้ข้าน้อยได้เปิดโลกทัศน์ ขอชื่นชมจากใจ”

เขาเว้นช่วงไปก่อนสูดหายใจลึกกล่าว “ตามข้อตกลงก่อนหน้านี้ พี่หลินจะนำของชิ้นใดบนตัวข้าน้อยไปก็ได้ รวมถึง… ชีวิตของข้าน้อยด้วย!”

ทั้งที่นั้นเงียบสงัด คนมากมายต่างไหวหวั่น พากันมองไปยังหลินสวิน

“พี่หลิน ในเมื่อตัดสินผลแพ้ชนะแล้ว เจ้า… ไว้ชีวิตจือไป๋สักครั้งได้หรือไม่”

เยวี่ยหรูหั่วอดกล่าวอ้อนวอนไม่ได้

บุคคลแห่งยุคอย่างเขาย่อมหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี ถ้าไม่ถูกบีบจนถึงที่สุดคงไม่มีทางก้มหัวร้องขอความเมตตาจากคนอื่นแน่

แต่เยวี่ยหรูหั่วในตอนนี้ เห็นชัดว่าไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลย

หลินสวินพูดเรียบๆ “เจ้าอยากได้ศุภโชคของข้าคนแซ่หลิน แต่ข้าคนแซ่หลินไม่สนใจชีวิตของเจ้า ในเมื่อเจ้ายอมแพ้ก็ทิ้งสมบัติไว้อย่างหนึ่ง ออกจากที่นี่ไปเสียตอนนี้ เรื่องนี้จะถือว่าแล้วกันไป”

สำหรับผู้ฝึกปราณคนอื่น ข้อเรียกร้องนี้ร้ายแรงเป็นอย่างยิ่ง ยากจะรับได้

ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นหน้าประตูทลายของเขตต้องห้ามเซียนโบราณ ให้คนอื่นจากไป ก็หมายความว่าพลาดโอกาสช่วงชิงมหาสมบัติแรกกำเนิด!

ใครจะทำใจยอมรับได้

แต่สำหรับจือไป๋ เทียบกับการสละชีวิต ข้อเรียกร้องนี้ถือว่าเมตตามากแล้ว ทำให้เขาอดรู้สึกผิดคาดไม่ได้

“ขอบคุณพี่หลิน!”

พลันเห็นเยวี่ยหรูหั่วเอ่ยปาก “เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความจริงใจ ข้าจะจากไปพร้อมกับจือไป๋ ไม่เข้าร่วมการช่วงชิงมหาสมบัติแรกกำเนิดชิ้นนั้นอีก”

เมื่อเอ่ยปากออกมา ทั้งที่นั้นพลันฮือฮา!

ใครก็คิดไม่ถึงว่าเยวี่ยหรูหั่วจะตัดสินใจเช่นนี้เพื่อจือไป๋ การจ่ายค่าตอบแทนนี้จะมากเกินไปแล้ว

“พี่เยวี่ย เจ้า…”

จือไป๋อดตะลึงไม่ได้ แต่ไม่รอให้เขาพูดจบก็ถูกเยวี่ยหรูหั่วตัดบท “ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้”

ในใจจือไป๋พลันรู้สึกอบอุ่น เขาเพิ่งได้รับความพ่ายแพ้ จิตใจหมองหม่น แต่การกระทำของเยวี่ยหรูหั่วกลับเหมือนแสงที่สาดส่องเข้าไปในใจของเขา ขับไล่ความมืดมิดไปได้

“ยอดสหาย!”

จือไป๋เอ่ยปากหัวเราะลั่น คล้ายก้าวออกมาจากความพ่ายแพ้ครั้งนี้ได้แล้ว

“พี่หลิน โปรดรับของสิ่งนี้ไว้”

เขาหยิบขวดหยกสีเขียวใบเล็กออกมา ส่งผ่านอากาศให้หลินสวินที่อยู่ห่างออกไป

เมื่อเห็นขวดใบนี้ นัยน์ตาเยวี่ยหรูหั่วพลันหดรัดลง จากนั้นก็ยิ้มกล่าว “ดูท่าว่าเจ้าจะปล่อยวางได้แล้ว ไม่เลว ไม่เลวจริงๆ”

“ไป ในเมื่อพวกเราพี่น้องไม่แสวงชื่อ ก็ไม่แสวงหาวาสนา อย่าขวางหูขวางตาอยู่ที่นี่อีกเลย”

จือไป๋ประสานมือไปทางหลินสวิน ก่อนหันหลังจากไป

“เรื่องทางโลกล้วนเคลื่อนคล้อยดั่งเมฆา มีเพียงมหามรรคของข้าที่แท้จริง พี่หลิน ขอลา”

เยวี่ยหรูหั่วพูดพลางจากไปพร้อมจือไป๋

มองส่งทั้งสองคนจากไป เหล่าผู้กล้าในที่นั้นจิตใจสั่นไหว มีคนยินดีที่คู่แข่งซึ่งยากจัดการหาใดเปรียบน้อยไปอีกสองคน

และมีคนเคารพนับถือ กล้าตัดสินใจกล้าปล่อยวาง สมเป็นวีรบุรุษโดยแท้!

‘วันหน้าบนหนทางสู่จักรพรรดิ ต้องมีพวกเขาสองคนแน่’

ในใจหมีอู๋หยามีลางสังหรณ์

‘ที่ไว้ชีวิตเจ้า ก็แค่ไม่อยากให้หนทางแจ้งมรรคในวันหน้าโดดเดี่ยวเกินไปเท่านั้น… หวังว่า… ภายหน้าจะได้เจอกันอีก’

หลินสวินเล่นขวดหยกสีเขียวใบเล็กในมือ พึมพำในใจ

ในขวดหยกนี้ผนึกลูกกลอนโอสถไว้เม็ดหนึ่งนามว่า ‘ลูกกลอนหลอมมรรคคืนกำเนิด’ จัดอยู่ในอันดับสองของกระดานโอสถเทพทั่วหล้า!

หายากยิ่งกว่า ‘ลูกกลอนเก้าทวารโลกาสวรรค์’ ที่อยู่ในอันดับสาม เคยปรากฏแค่ในสมัยดึกดำบรรพ์ ยากพบเห็นดุจตำนาน

แต่จือไป๋กลับทิ้งสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ไว้ เป็นค่าตอบแทนของการพ่ายแพ้!

นี่ทำให้หลินสวินรู้สึกผิดคาดมาก ความประทับใจที่มีต่อจือไป๋เปลี่ยนไปไม่น้อย

ถังซูกล่าวขึ้นทันใด “พี่หลิน จือไป๋และเยวี่ยหรูหั่วไปแล้ว แม้ว่าเจ้าจะได้ชัยชนะครั้งใหญ่ แต่พลังกายย่อมถูกผลาญไปด้วย เจ้าเชื่อไหมว่าตอนนี้มีคนอีกมากที่กำลังลอบดีใจ”

ประโยคเดียวแต่กลับทำให้บรรยากาศในที่นั้นเปลี่ยนเป็นพิกลขึ้นมา

หลายคนต่างลอบกัดฟันกรอด ถังซูนี่ทำตัวเป็นแตรลำโพงจริงๆ ความคิดบางอย่างที่ได้แต่เก็บเงียบไว้ กลับถูกเผยออกมาจนหมด

“งั้นรึ”

นัยน์ตาดำของหลินสวินกวาดมองทุกคนในที่นั้นแล้วกล่าวเรียบๆ “ถ้าเป็นเช่นนี้จริง ข้าคนแซ่หลินจะไม่ถือสา หากจะต้องฆ่าพวกที่ไม่ลืมหูลืมตาอีกสองสามคน”

คำพูดง่ายๆ แต่กลับเผยความเผด็จการออกมาอย่างสมบูรณ์

ก่อนหน้านี้เขาก็แข็งกร้าวอยู่แล้ว ยามนี้แม้ผ่านศึกใหญ่มาเขาก็ยังแข็งกร้าวอยู่ดี ทำให้ผู้แข็งแกร่งบางคนในที่นั้นอดมุ่นคิ้วไม่ได้ รู้สึกเคลือบแคลงสงสัย

เจ้าหมอนี่จะไม่รู้หรือว่าอะไรที่เรียกว่าสำรวม

หรือจะบอกว่าเดิมทีเขาก็ไม่ห่วงอันตรายที่ต้องเผชิญจากการผลาญพลังกายไป

แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไร ยามนี้ก็ไม่มีใครกล้าตอบรับคำพูดของหลินสวิน!

ความพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถของจือไป๋ ทำให้พวกเขาสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งและน่ากลัวของหลินสวินยิ่งกว่าเดิม ใครก็คงไม่โง่ไปหาเรื่องหลินสวินอีก

หลินสวินเห็นดังนี้จึงชักสายตากลับ นั่งขัดสมาธิกับพื้นง่ายๆ กินโอสถเทพแล้วเริ่มทำสมาธิ

การประลองก่อนหน้านี้ทำให้เขาผลาญพลังกายไปไม่น้อยจริงๆ แต่ไม่ถึงขั้นร้ายแรง ด้วยเหตุนี้จึงไม่ต้องห่วงว่าจะมีคนกระโดดออกมาท้าทายอีกหรือไม่

เวลาล่วงเลย หน้าประตูทลายกลับสู่ความสงบเหมือนก่อนหน้านี้

เหล่าผู้กล้าต่างยืนอยู่กันคนละบริเวณ ระวังภัยรอบทิศ เฝ้ารออยู่เงียบๆ

และมีคนสื่อจิตพูดคุย คล้ายกำลังหารือเตรียมแผนการ

ทว่าทุกอย่างนี้หลินสวินคร้านจะใส่ใจ

“ฮ่าๆๆ พี่หลินหนอพี่หลิน ในที่สุดข้าก็รู้ความเป็นมาที่แท้จริงของเจ้าแล้ว”

ผ่านไปครึ่งชั่วยามพลันมีเสียงหัวเราะดังขึ้น ก็เห็นเสวียนจิ่วอิ้นเด็กหนุ่มที่สวมชุดป่าน เดินหัวเราะคิกคักมาแต่ไกล

ท่าทางเกียจคร้าน ไม่อนาทรร้อนใจ ไม่สนใจสายตารอบๆ ที่จับจ้องมา มุ่งตรงไปยังหน้าหลินสวิน

“ข้าเป็นเศษเดนแห่งคีรีดวงกมล ไม่กังวลว่าจะดึงเจ้าเข้ามาข้องเกี่ยวด้วยหรือ” หลินสวินมองเขาวูบหนึ่ง

หลังจากแดนลับโลกาสวรรค์ปิดฉาก ยามเผชิญหน้ากับการกระทู้ถามอย่างข่มขู่ของจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิง เสวียนจิ่วอิ้นเคยเรียกร้องความยุติธรรม ออกหน้าแทนหลินสวิน

นี่ทำให้หลินสวินผิดคาด คิดไม่ถึงว่าคนที่ชอบดูเรื่องสนุกอย่างเจ้าหมอนี่จะออกมาช่วยตนในสถานการณ์เช่นนั้น

แม้จะดูไม่ประมาณตนเอง แต่ในใจหลินสวินมีหรือจะไม่รับน้ำใจ

“อย่าว่าแต่เจ้าเป็นผู้สืบทอดของคีรีดวงกมลเลย ต่อให้เป็นจอมมารที่เทพชังผีรังเกียจแล้วอย่างไร ผู้ชายตระกูลเสวียนของข้ากลัวเรื่องพวกนี้เมื่อไหร่กัน”

เสวียนจิ่วอิ้นพูดพลางหย่อนก้นนั่งลงข้างกายหลินสวิน พูดเองเออเอง

……………………………..