ตอนที่ 2001 หยิ่งผยองดั่งเทพ
หมีอู๋หยาอึ้งไป เขาที่ราบเรียบเหมือนน้ำเรื่อยมา ยามนี้ถึงกับเปล่งเสียงหัวเราะลั่นอย่างยากจะได้เห็น

“ในเมื่อพี่หลินมีความคิดเช่นนี้ ข้าหมีอู๋หยามีหรือจะปฏิเสธ เช่นนั้นก็ประชันสูงต่ำในการต่อสู้ชุลมุนนี้เลย!”

เสียงสะท้อนก้องเก้าชั้นฟ้า

ทุกคนต่างหน้าเปลี่ยนสี รู้สึกขมปาก

ก่อนหน้านี้พวกเขายังคิดว่าสองพยัคฆ์ประชันกัน ต้องมีการบาดเจ็บ จึงยินดีที่จะนั่งดูพวกเขาตีกัน

แต่หากการห้ำหั่นนี้เกิดขึ้นในการต่อสู้เพื่อชิงแท่นมรรค เกรงว่านั่นคงซวยมาถึงพวกเขาแล้ว!

วู้ม…

แท่นมรรคแผ่กลิ่นอายไพศาลออกมา ละอองแสงโปรยปราย ลอยคว้างอยู่กลางอากาศ

แต่เหล่าผู้กล้ากลับสบตากัน ไม่มีใครกล้าชิงลงมือก่อนสักคน ห่วงว่าเด่นเกินไปจะมีภัย กลายเป็นเป้าโจมตีของทุกคน

ต้องรู้ว่าแท่นมรรคจะหยุดค้างอยู่ในโลกภายนอกนี้หนึ่งก้านธูป ต่อให้ตอนนี้ชิงยืนอยู่บนนั้นได้ ก็ไม่มีทางเข้าไปในประตูทลายนั่นทันทีได้

ด้วยเหตุนี้แม้เหล่าผู้กล้าจะกระเหี้ยนกระหือรือ แต่ก็ไม่มีใครอยากพุ่งเข้าไปเป็นคนแรก

บรรยากาศในที่นั้นเปลี่ยนเป็นพิกลขึ้นมาทันที

โอกาสอยู่ตรงนั้นชัดๆ แต่ต่างฝ่ายกลับต้องรอบคอบและระมัดระวัง ไม่มีใครลงมือก่อน

“มีแต่คนฉลาด…”

เสวียนจิ่วอิ้นยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยปาก “ไม่อย่างนั้นให้ข้าลองขึ้นไปก่อน รอพวกเจ้าพร้อมแย่งชิงข้าค่อยสละแท่นมรรคให้เป็นอย่างไร”

เขาพูดพลางก้าวเท้าเตรียมเดินไป

แต่ในพริบตานี้เอง ไอสังหารน่ากลัวมากมายม้วนพัดมา จับจ้องไปที่เสวียนจิ่วอิ้น ทำให้เขาตัวแข็งทื่อ ฝีเท้าที่ก้าวออกไปพลันหดกลับ

“ได้ ข้ายอมแพ้ แค่ดูเรื่องสนุกตกลงไหม”

เขาเบ้ปาก กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ประเดี๋ยวข้าจะดู ว่าในบรรดาพวกเจ้าจะมีคนตายเท่าไหร่กัน”

“แน่นอนว่าเลือดต้องหลั่งรินเป็นกระแสน้ำ ข้าก็จะชมการต่อสู้ด้วย”

หลิงเคอจื่อพูดอยู่ข้างๆ

เสวียนจิ่วอิ้นเหลือบมองเขาเล็กน้อย คล้ายตระหนักถึงอะไรได้ ก่อนกล่าวเสียงเหี้ยม “ภิกษุน้อย เจ้าอย่าใช้ ‘จิตพุทธะไร้มลทิน’ มาดูข้าเชียว มิฉะนั้นข้าจะควักหัวใจของเจ้าออกมาซะ!”

หลิงเคอจื่อส่ายหน้าเป็นพัลวัน “ไม่กล้าๆ”

เสวียนจิ่วอิ้นยิ้มอย่างภาคภูมิ

หลิงเคอจื่อจนปัญญา เจ้า คุณชายน้อยที่เป็นบุตรชายคนเดียวของผู้นำตระกูลเสวียน รังแกภิกษุอย่างข้ามีอะไรให้ภูมิใจนัก

เห็นชัดว่าไม่ได้มีแค่เสวียนจิ่วอิ้นที่เหมือนรู้ความลับบางอย่างของหลิงเคอจื่อ หลิงเคอจื่อก็กุมความลับบางอย่างของเสวียนจิ่วอิ้นไว้เช่นกัน

ตามเวลาที่ล่วงเลย บรรยากาศในที่นั้นดูกดดันและตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม

เหล่าผู้กล้าจากต่างบริเวณจับจ้องแท่นมรรคที่ลอยอยู่กลางอากาศนั่น พลังขับเคลื่อนทั่วร่างก็แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม ทำให้ฟ้าดินต่างเปลี่ยนสี

พวกเขากำลังรอ

รอช่วงเวลาที่แท่นมรรคกลับเข้าไปในประตูทลาย

มีแค่ลงมือเวลานั้น ถึงจะมีหวังชิงแท่นมรรคและถือโอกาสเข้าไปในประตูทลายได้มากที่สุด

‘สหายน้อย จวินหวนเคยมอบประทับที่เกี่ยวข้องกับเขาปู้โจวให้เจ้าไม่ใช่หรือ ตอนนี้เจ้าใช้กลิ่นอายของประทับนี้ไปเชื่อมต่อกับแท่นมรรคนั้นดูสิ บางทีอาจมีเรื่องที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นก็ได้’

ทันใดนั้นเสียงของจี้เสวียนพลันดังขึ้นในใจของหลินสวิน

‘ปีนั้นศิษย์พี่จวินหวนเคยซ่อนหมากตาท้ายไว้ที่นี่หรือ’ หลินสวินใจเต้น

‘ไม่ผิด แต่ข้ารู้แค่ปีนั้นจวินหวนเคยบอกว่า แม้นางจะกลับไปมือเปล่า แต่ได้ทิ้งความหวังเสี้ยวหนึ่งไว้ ไม่ช้าก็เร็วต้องมีสักวันที่ความหวังเสี้ยวนี้บังเกิดผล’

จี้เสวียนกล่าว ‘ตลอดทางมานี้ข้าใคร่ครวญอยู่นาน สุดท้ายก็นึกได้ว่าหากจวินหวนซ่อนหมากตาท้ายไว้จริงๆ เช่นนั้นก็ต้องอยู่ในประทับนั่นที่มอบให้เจ้าแน่’

‘ที่แท้เป็นเช่นนี้’

หลินสวินใจไหววูบ ในหัวเผยพลังประทับที่เกี่ยวข้องกับเขาปู้โจวออกมา

ขณะเดียวกันเขายังลองหยั่งสัมผัสแท่นมรรคนั้นด้วย

ตูม!

ในหัวของเขาสั่นสะเทือนชั่วพริบตา ประทับที่จวินหวนเหลือทิ้งไว้พลันส่องประกายสว่างไสว ปรากฏสัญลักษณ์อักษร ‘ผนึก’ ที่แปลกประหลาดออกมา

เกือบจะเวลาเดียวกัน แท่นมรรคที่ลอยอยู่กลางอากาศนั้นพลันสะเทือนดังวู้ม ลอยมาทางหลินสวินราวกับถูกมือใหญ่ไร้รูปข้างหนึ่งพันธนาการไว้

เหล่าผู้กล้าที่เตรียมตัวและเกร็งพลังขับเคลื่อนรอบตัวไว้นานแล้วเห็นดังนี้ ก็เผยสีหน้าตื่นตะลึง

เจ้าหลินสวินนี่ ถึงกับกล้าลงมือก่อน!?

เวลานี้หลินสวินสัมผัสได้ถึงไอสังหารน่ากลัวมากมายที่เล็งมาทางตนอย่างมืดฟ้ามัวดิน ในใจพลันยิ้มขื่นทันที

ความหวังเสี้ยวหนึ่งที่ศิษย์พี่จวินหวนเหลือทิ้งไว้มีประโยชน์ก็จริง แต่จะมีประโยชน์มากเกินไปแล้ว ถึงกับดึงแท่นมรรคนั่นมาตรงๆ!

เมื่อเป็นเช่นนี้เลยทำให้เขากลายเป็นเป้าโจมตีในชั่วขณะเดียว!

“ฆ่า!”

มีคนตวาดลั่น เรียกกระบี่จักรพรรดิเล่มหนึ่งออกมา แหวกอากาศพุ่งสังหารเข้ามาตรงๆ

เหตุไม่คาดฝันเช่นนี้ทำให้ผู้คนเชื่อโดยจิตใต้สำนึก ว่าหลินสวินลอบใช้แผนการ ทำให้การต่อสู้แย่งชิงที่เดิมทีก็กดดันตึงเครียดอยู่แล้วปะทุขึ้นเหมือนจุดชนวนระเบิด

“ลงมือ!”

“หลินสวิน ภายใต้สายตาผู้คนที่จับจ้องเจ้ายังกล้าทำเช่นนี้ ไม่ประมาณตนจริงๆ คิดชิงแท่นมรรคไปรึ ไม่มีทาง!”

“ฆ่า!”

เสียงตวาดดังก้องขึ้น แสงสมบัติและวิชามรรคนานัปการพุ่งออกมาจากต่างบริเวณ พร่างพรายลานตา น่าสะพรึงอย่างที่สุด

จนถึงตอนนี้หน้าประตูทลายมีผู้แข็งแกร่งอยู่รวมกันราวสี่สิบกว่าคน แต่ละคนหากไม่ใช่ปีศาจแห่งยุคที่เกริกก้องในดินแดนหนึ่ง ก็เป็นยอดอัจฉริยะที่กิตติศัพท์ล้นฟ้า

เมื่อพวกเขาลงมือพร้อมกันเพื่อสังหารคนผู้เดียว ภาพเหตุการณ์นั้นช่างทำให้เทพผีถอยร่น สรรพชีวิตสิ้นหวัง

น่ากลัวเกินไปแล้ว!

วิชามรรคไม่มีวิชาใดที่ไม่ใช่ชั้นยอด สมบัติก็ไม่ขาดยอดอาวุธสังหารอย่างศาสตราจักรพรรดิ เมื่อพุ่งโจมตีเข้ามาพร้อมกัน มีหรือจะใช้คำว่าน่ากลัวมาบรรยายได้หมด

‘เจ้าหมอนี่… ก็ร้อนใจเกินไปแล้วกระมัง’

เสวียนจิ่วอิ้นงงงวย

‘ตัวคนเดียว ศัตรูรอบด้าน นี่เท่ากับตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายที่สุดแล้ว’

หลิงเคอจื่อก็สูดหายใจเย็นเยียบ

‘ทำไมถึงเป็นเช่นนี้…’

หมีอู๋หยามุ่นคิ้ว เขาไม่เชื่อว่าหลินสวินจะเป็นคนโง่ที่เลือกชิงลงมือก่อนในยามนี้

หลินสวินในตอนนี้ขมปากจนพูดไม่ออก ไหนเลยจะคิดว่าหมากตาท้ายที่ศิษย์พี่จวินหวนเหลือไว้ กลับมีประโยชน์ที่คาดไม่ถึงเช่นนี้

สิ่งที่จนปัญญาที่สุดคือ เขาไม่มีแม้แต่โอกาสยอมแพ้และหลบหลีก!

ในช่วงวิกฤติถึงขีดสุดนี้ เจตจำนงแห่งการต่อสู้ที่หลินสวินเคี่ยวกรำจากการกรำศึกมานานปี ยามนี้ได้ช่วยสลัดความคิดฟุ้งซ่านในหัวออกไปทั้งหมด

จิตใจก็ผ่องแผ้วยากจับต้องตามไปด้วย เยือกเย็นดุจหิมะ!

แววตาที่ล้ำลึกของเขาฉายแววเด็ดเดี่ยว

ตูม!

เขตแดนมรรคแรกกำเนิดปรากฏ กลายเป็นเหวลึกที่บังฟ้าคลุมตะวัน

เหนือศีรษะหลินสวิน เจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุดปรากฏ ตัวเจดีย์ที่เหมือนหล่อจากทองเทพหลากสีส่องแสงสว่างไสวไร้สิ้นสุด

ตึง…

เสียงอึกทึกสนั่นหูดังก้องขึ้น ทวนจักรพรรดิที่แสงดาวส่องระยับเล่มหนึ่งตัดผ่าอากาศ ม้วนแสงดารามากมายขึ้นมา เข้าปะทะกับเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุด

ดวงดาวแตกระเบิด ละอองแสงสาดกระจายทันที

ทวนวงเดือนที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายมรรคจักรพรรดินั้นถูกเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุดกระแทกปลิว

แต่ก็มีสมบัติและวิชามรรคมากมายพุ่งตามมาจากทั่วสารทิศ เข้าปกคลุมพื้นที่ซึ่งหลินสวินอยู่จนสิ้น

มีแสงสายฟ้าวาบแปลบปลาบดังครั่นครืน มีน้ำไฟไหลพุ่ง มีกระบี่มรรค ดาบศึก ทวน ค้อนทองแดงบุกสังหารเข้ามาดั่งมรสุมคลั่ง!

ตูม โครม…

ที่นี่มีลักษณ์ประหลาดพวยพุ่ง กลิ่นอายทำลายล้างถาโถมทั่วเก้าฟ้าสิบแผ่นดิน สภาพอากาศแปรปรวนที่น่ากลัวม้วนกลืน ราวกับจะลบพื้นที่แถบนี้ให้หายไป!

เสวียนจิ่วอิ้นและหลิงเคอจื่อหน้าเปลี่ยนสีพร้อมกัน มือเท้าเย็นเยียบ

ศัตรูมากขนาดนี้ กวาดสายตามองทั่วหล้า ล้วนเรียกได้ว่าไม่เคยได้ยิน ไม่เคยได้เห็น

ต้องรู้ว่าในหมู่ศัตรูที่โจมตีมานั่น หากสุ่มมาสักคนก็ย่อมเป็นคนที่เหมือนราชันในระดับมกุฎราชันอริยะ ชื่อเสียงโด่งดังในดินแดนแห่งหนึ่ง พลังต่อสู้สะเทือนใต้หล้า

และตอนนี้ยังบุกโจมตีกันเต็มกำลัง หันปลายหอกจ่อใส่หลินสวินคนเดียว นี่สามารถทำให้ไม่ว่าใครต่างรู้สึกสิ้นหวัง!

ในที่นั้นยังมีบางคนที่ไม่ลงมือ อย่างพวกหมีอู๋หยา หลิงหงจวงเป็นต้น แต่ไม่จำเป็นต้องสงสัย สำหรับการช่วงชิงแท่นมรรค พวกเขาไม่มีทางเก็บมือเฝ้ามอง แค่คิดลงมือยามสบโอกาสเท่านั้น

‘เกรงว่าหลินสวินนี่คงจบเห่แล้ว…’

แววตาของถังซูไหววูบ นางก็ไม่ได้ลงมือเช่นกัน แต่การต่อสู้ที่ปะทุขึ้นในพริบตานี้กลับทำให้นางรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว

‘หลินสวินนี่… น่าเสียดาย…’

ฮว่าซิงหลีทอดถอนใจ

เดิมทีหลินสวินน่าจะเป็นคนที่มีภัยคุกคามยิ่งใหญ่เหมือนหมีอู๋หยา แต่ด้วยเขาชิงลงมือก่อนจึงชักนำให้เกิดการสังหารทั่วทิศ!

นี่จะสู้อย่างไรเล่า

ไม่มีแม้แต่โอกาสชนะด้วยซ้ำ!

ตูม…

ฟ้าดินส่งเสียงกัมปนาท ห้วงอากาศระเบิดออก

แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือ ภายใต้การโจมตีที่น่ากลัวเช่นนี้ กลับเห็นหุบเหวลึกที่วิวัฒน์อยู่รอบตัวหลินสวิน แม้จะสั่นสะเทือนม้วนซัดอย่างรุนแรง แต่กลับไม่ถูกตีพ่ายยับเยิน!

ภายใต้การโจมตีของสมบัติจักรพรรดิพวกนั้น แม้เจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุดจะส่งเสียงกัมปนาทต่อเนื่อง มีสัญญาณว่าจะถูกกำราบ แต่กลับสลายการโจมตีนานัปการได้!

“นี่…”

หลายคนนัยน์ตาหดรัดทันที ในใจสั่นสะท้าน

ในตอนนี้เอง…

ตูม!

ท่ามกลางเสียงกึกก้องปานสะท้านฟ้าสะเทือนดิน เขตแดนมรรคแรกกำเนิดที่ลึกลับยากหยั่งถึงพลันแผ่ขยายเป็นวงกว้างโดยมีหลินสวินเป็นศูนย์กลาง คล้ายเหวลึกม้วนกลืนสวรรค์

ทุกหนแห่งที่พาดผ่าน สรรพสิ่งเปลี่ยนเป็นว่างเปล่า ทุกอย่างกลายเป็นจุณ หมื่นวิชาดับสลาย!

เมื่อเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุดส่งเสียงกัมปนาท เปล่งแสงมรรคทองนิลกาฬสายแล้วสายเล่าออกมา อานุภาพแห่งการกำราบที่เต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่พลันพุ่งทำลายการปิดล้อมของสมบัติจักรพรรดิทั้งมวล เสียงมรรคดังครั่นครืนสะเทือนจักรวาล ศักดิ์สิทธิ์เหลือประมาณ!

เพียงชั่วขณะ การโจมตีที่เดิมทีควรถึงฆาตกลับถูกพลิกผัน!

เหล่าผู้กล้าที่ล้อมโจมตีหลินสวินเห็นดังนี้ แต่ละคนต่างใจสั่นสะท้าน เผยสีหน้ายากจะเชื่อ ไม่มีใครกล้าเชื่อ

นี่น่าเหลือเชื่อนัก คนผู้หนึ่งกลับสลายการล้อมโจมตีของพวกเขาได้!

หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ใครจะกล้าเชื่อ

“แข็งแกร่ง! แข็งแกร่งยิ่งนัก!”

เสวียนจิ่วอิ้นตบเข่าฉาด ร้องออกมาอย่างต่อเนื่อง

‘ข้าก็รู้อยู่แล้ว…’

หลิงเคอจื่อแอบพูดในใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก คนอย่างเขามีหรือจะถูกลบหายไปจากโลกง่ายๆ

‘ช่าง… พาให้คนคาดไม่ถึงจริงๆ…’

ถังซูอึ้งไป

ฮว่าซิงหลีก็ตะลึงงัน

ขอเพียงเป็นคนที่เห็นเหตุการณ์นี้ด้วยตาตนเอง ก็ย่อมรู้สึกว่าเหมือนฝันไป

ยามนี้ไม่รู้ว่าหลินสวินไปยืนอยู่บนแท่นมรรคนั่นตั้งแต่เมื่อไหร่ เหนือศีรษะเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุดลอยคว้าง ร่างกายมีแสงลึกลับไหลบ่า ดูพร่าเลือนขุ่นมัว

เขานัยน์ตาเยียบเย็นดุจอสนี พรั่งไปด้วยแววเย็นชาที่พาให้คนใจสั่น เสื้อผ้าโบกสะบัดไปตามลม ขับเน้นให้เขาดูสันโดษเป็นเอกเทศยิ่งกว่าเดิม

เขาในตอนนี้เหมือนเทพมารมาเยือนโลก อานุภาพครอบคลุมแผ่นฟ้า!

‘คนอย่างเจ้ากับข้า เดิมก็ควรเป็นเช่นนี้…’

หมีอู๋หยากล่าวทอดถอนใจอยู่ภายในใจ ท่าทีแข็งกร้าวที่พลิกสถานการณ์ในคราเดียวนั้นของหลินสวินทำให้เขาอดตะลึงไม่ได้

“แท่นมรรคนี้ ข้าคนแซ่หลินจับจองไว้แล้ว!”

หลินสวินกล่าวราบเรียบ แต่เสียงกลับกึกก้องสะท้านปฐพี สะท้อนทั่วบริเวณ

สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณรอบตัวเขาพลุ่งพล่าน ราวกับหินหนืดที่ลุกโหม กฎเกณฑ์ของพลังมหามรรคนานัปการร้อยถักเข้าด้วยกัน ทำให้เขาแฝงมาดสง่างามประหนึ่งว่าไร้คู่ต่อกร

หยิ่งผยองดั่งเทพ!

……………………….