ตอนที่ 2006 เหล่าผู้กล้ารวมตัว ลานสังหารมารอ

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 2006 เหล่าผู้กล้ารวมตัว ลานสังหารมารอ
ไม่จำเป็นต้องสงสัย เวินอวี๋แข็งแกร่งมาก

มรรคกระบี่ยอดเยี่ยม รากฐานพลังน่าพรั่นพรึง ทั้งยังครอบครองศาสตราจักรพรรดิอัศจรรย์ พลังต่อสู้เรืองรอง เหนือกว่าผู้แข็งแกร่งส่วนใหญ่ในที่นั้นอยู่โข

อานุภาพของเขาถึงขั้นเทียบกับหวงฝู่เซ่าหนงแล้วมีแต่จะเหนือกว่า!

แต่น่าเสียดาย หลินสวินในตอนนี้ปลดปล่อยพลังสุดกำลังแล้ว โคจรมรรควิถีทั้งตัวถึงขั้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ต่อให้อยู่ในสถานการณ์ที่ถูกปิดล้อม หนทางมุ่งหน้าของเขาก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเวินอวี๋จะขวางได้

เพียงครู่เดียว

เวินอวี๋ก็ถูกบีบจนด้อยกว่าชัดเจน แทบเชิดหน้าขึ้นมาไม่ได้!

พูดอย่างไม่เกินจริง หากหลินสวินไม่ได้ตกอยู่ในสภาพถูกปิดล้อมยามต่อสู้ เวินอวี๋คงถูกซัดพินาศไปนานแล้ว

เมื่อเห็นภาพนี้เสวียนจิ่วอิ้นอดสูดหายใจเย็นเยียบไม่ได้ ในใจสั่นสะท้าน

ต่อสู้ถึงตอนนี้ก็ดำเนินมาหนึ่งเค่อแล้ว ตั้งแต่หลินสวินถูกปิดล้อมจนถึงตอนนี้ที่ซัดกวาดไปข้างหน้าทีละก้าว บุคคลแห่งยุคที่ตายในมือเขามีไม่ต่ำกว่าเก้าคนแล้ว!

ก่อนหน้านี้ใครเล่าจะคาดคิด

และตอนนี้เขายังอยู่ห่างจากประตูทลายนั่นแค่เก้าจั้ง

“พี่หลิน เวินอวี๋พูดไม่ผิด เจ้าควรหยุดได้แล้ว”

เสียงทอดถอนใจหนึ่งดังขึ้น จิ่งเทียนหนานที่สวมชุดสีหยก ร่างกำยำล่ำสันดุจภูผาพุ่งโจมตีเข้ามา

เขามีนัยน์ตาทองแต่กำเนิด แววตาเปล่งประกายดั่งดวงตะวันเจิดจ้า ดูดจิตชิงวิญญาณ อานุภาพองอาจทะลุเมฆไปทั้งตัวราวกับเทพจุติลงมา

ตรงหน้าเขามีบาตรที่เปลวไฟลุกโชนปรากฏ ภายในบาตรเผยลักษณ์ประหลาดน่าพรั่นพรึงราวเผาฟ้าผลาญดิน

ตูม!

เมื่อเขาปรากฏตัว บาตรเพลิงนั้นพลันมีฝนเพลิงลานตาแถบหนึ่งพุ่งโฉบออกมา หลอมละลายห้วงอากาศ แผ่อานุภาพแห่งยอดมรรคจักรพรรดิออกมา

หลินสวินหยุดฝีเท้า นัยน์ตาดำล้ำลึกยิ่งกว่าเดิม

จิ่งเทียนหนานถูกมองเป็นอันดับหนึ่งในหมู่คนที่มาจากโลกอื่นในฟ้าดารา วิชายุทธ์เลิศล้ำ พลานุภาพล้นฟ้า เคยเผยประกายในแดนลับโลกาสวรรค์ ทำให้บุคคลระดับจักรพรรดิมากมายตื่นตะลึงอย่างต่อเนื่อง

หากมีแค่เขาคนเดียว หลินสวินคงไม่เห็นอยู่ในสายตาแต่แรก

แต่ตอนนี้สิ่งที่เขาเผชิญคือการปิดล้อมของเหล่าผู้กล้า นอกจากจิ่งเทียนหนานแล้ว ยังมีบุคคลแห่งยุคอย่างเวินอวี๋ด้วย

นี่ทำให้หลินสวินรู้สึกกดดันเพิ่มขึ้นเท่าตัว

แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้จิตต่อสู้ในใจเขาก็ยิ่งลุกโชน เลือดทุกอณูในร่างเหมือนใกล้จะลุกโหม

ฝึกปราณมาถึงตอนนี้ การต่อสู้ตรงหน้านี้ถือว่าอันตรายและน่ากลัวที่สุด ถึงขั้นทำให้คนมองไม่เห็นความหวังแม้เพียงเสี้ยว

แต่หลินสวินไม่หวาดกลัว!

เขาไม่ได้ลิ้มรสชาติของสภาพที่เกือบจะใกล้สิ้นหวังเช่นนี้มานานเหลือเกิน

“พี่หลิน พลังต่อสู้ของเจ้าควรค่าให้พวกเรานับถือ มาถึงตอนนี้หากเจ้าไม่ยอมแพ้อีก พวกเราก็ไม่อาจนิ่งดูดายแล้ว”

เสียงเย็นชาหนึ่งดังขึ้น หลิงหงจวงก็มาแล้ว เนตรดาราดุจอสนี มือถือแส้ยาวประมาณสามจั้ง ลักษณะคล้ายมังกร อบอวลด้วยสายฟ้าสีเขียวตลอดเส้น

เวลานี้การล้อมโจมตีในที่นั้นถึงกับหยุดชะงักไปเสี้ยวหนึ่ง

ด้วยหลินสวินหยุดเท้าไม่พุ่งไปข้างหน้าอีก และด้วยการปรากฏตัวของพวกจิ่งเทียนหนานกับหลิงหงจวง ทำให้สถานการณ์พลิกผันไปอย่างเงียบๆ!

แต่บรรยากาศในที่นั้นกลับกดดันและหนาวเหน็บยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ อากาศแทบจะชะงักค้าง อึดอัดจนเกือบทำให้คนหายใจไม่สะดวก

แววตาเสวียนจิ่วอิ้นวูบไหว ไม่รู้ว่ากำสองมือแน่นตั้งแต่เมื่อไหร่

หลิงเคอจื่อพนมมือ สีหน้าเคร่งขรึม

“เฮ้อ แม้จะไม่อยากเป็นศัตรูกับพี่หลิน แต่พวกเรามาครานี้ล้วนเพื่อแย่งชิงมหาสมบัติแรกกำเนิดชิ้นนั้น โอกาสนี้พวกเราจำเป็นต้องสู้กันหน่อย”

ฮว่าซิงหลีก็ลอยล่องมา ผมขาวดุจหิมะพลิ้วไหว ใบหน้าดูประหลาด

ผู้แข็งแกร่งบางส่วนของเรือนมรรคเหล่ามารเดินตามหลังเขามาติดๆ การขับเคลื่อนพลังของแต่ละคนเดือดพล่าน หว่างคิ้วเจือไอสังหารเยียบเย็น

ตอนนี้หลินสวินอยู่ห่างจากประตูทลายเพียงเก้าจั้ง นี่ทำให้พวกเขานั่งกันไม่ติดแล้ว

ว่ากันตามจริง ที่ฮว่าซิงหลีกล่าวมาทั้งหมดก็ไม่ผิด

มหาสมบัติแรกกำเนิดทุกคนล้วนช่วงชิงได้ ไม่อาจพูดได้ว่าเป็นศัตรูหรือมุ่งร้าย แค่ใครต่างไม่ยอมพลาดวาสนาไปก็เท่านั้น

ตอนนี้หลินสวินยึดครองแท่นมรรคนั้นไว้แน่น ย่อมกลายเป็นเป้าหมายที่ถูกล้อมโจมตีเป็นธรรมดา

แต่เช่นเดียวกัน เมื่อการประลองนี้เริ่มต้นจะต้องตัดสินเป็นตาย ย่อมมีการนองเลือดเกิดขึ้น สุดท้ายก็จะผูกเงื่อนแค้นต่อกัน!

นับแต่อดีตจนปัจจุบัน เรื่องชิงวาสนาและผูกพยาบาทแน่นอนว่ามีนับครั้งไม่ถ้วน เห็นบ่อยจนชินตา

ในบรรยากาศที่หนาวเหน็บ กลับเห็นหลินสวินหันกลับมา เงยหน้ามองไปยังจุดที่ห่างไปไม่ไกล

“พี่หมี ก่อนหน้านี้เจ้ากับข้านัดประชันสูงต่ำในการต่อสู้ชุลมุน ทำไมจนถึงตอนนี้ยังไม่ยอมมาสู้อีก”

แววตาเขาล้ำลึก น้ำเสียงเรียบเฉย

นี่ทำให้เหล่าผู้กล้าล้วนเผยสีหน้าประหลาด ยากจะจินตนาการว่าในสถานการณ์ที่อันตรายเช่นนี้ หลินสวินกลับทำเหมือนมองไม่เห็น เชิญหมีอู๋หยามาประลองโดยตรง!

ไม่ว่าหลินสวินจะคิดอย่างไร แต่ด้วยความกล้าที่เขาเผยออกมาตอนนี้กลับทำให้หลายคนสั่นสะเทือน คิดจะไม่ยอมรับก็ไม่ได้แล้ว!

“เดิมทีข้าอยากสู้กับเจ้าอย่างยุติธรรม ต่อให้เป็นการต่อสู้ชุลมุนก็ไม่คิดจะเอาเปรียบเจ้าแม้แต่น้อย”

หมีอู๋หยาถอนหายใจคราหนึ่ง

แววตาเขาผ่องแผ้วดุจทะเลสาบ เผยแววซับซ้อนที่ยากจะได้เห็นเสี้ยวหนึ่ง

ก่อนหน้านี้ภาพต่างๆ ที่หลินสวินมุ่งหน้าซัดกวาด ฟาดฟันเหล่าผู้กล้าล้วนถูกเขาเห็นอยู่ในสายตา ในใจก็ไม่อาจไม่ทอดถอนใจ ‘สหายร่วมวิถี’ คนนี้ ไม่ว่าจะเป็นความกล้า มาดสง่างามหรือพลังต่อสู้ ล้วนเรียกได้ว่ายากพบเห็นในรอบพันหมื่นปี

แต่นี่ก็ทำให้หมีอู๋หยายากจะตัดสินใจลงมือมากเช่นกัน

บนหนทางสู่มหามรรค การได้เจอคู่ต่อสู้เช่นนี้ไม่ง่ายนัก เขาไม่อยากและไม่สนใจที่จะตีชิงตามไฟในการต่อสู้

“บนโลกนี้มีคำว่ายุติธรรมจริงๆ เสียที่ไหน”

หลินสวินยิ้ม เขาสีหน้าซีดเผือด สาบเสื้อเปื้อนเลือด ได้รับบาดเจ็บนานแล้ว ทั้งพลังกายก็ผลาญไปกับการต่อสู้อย่างต่อเนื่องค่อนข้างมาก

แต่หว่างคิ้วยังคงมีความเชื่อมั่นประหนึ่งว่าไร้คู่ต่อกร!

หลินสวินเว้นช่วงไป ในดวงตาฉายแววหยิ่งผยองก่อนกล่าวเรียบๆ “ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เจ้าลงมือก็เกรงว่าคงขวางข้าคนแซ่หลินไม่อยู่”

หลายคนต่างตื่นตะลึง

หลินสวินนี่… ถึงกับไม่เห็นหมีอู๋หยาอยู่ในสายตาหรือ

“แม้รู้ว่านี่คือวิธีกระตุ้นของพี่หลิน แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าหมีอู๋หยา… มีหรือจะปฏิเสธอีก”

หมีอู๋หยาถอนหายใจเบาๆ ในที่สุดก็ก้าวเท้าออกมา สีหน้าราบเรียบไม่มีคลื่นความรู้สึกอีก

เมื่อเขาเคลื่อนไหว พลานุภาพน่าหวาดกลัวไร้รูปก็อบอวลตามมา ฟ้าดินแถบนี้ตกอยู่ในความเงียบสงัดแปลกประหลาด

ราวกับถูกอานุภาพของเขาสยบ!

ผู้แข็งแกร่งหลายคนลมหายใจสะดุด กลิ่นอายของหมีอู๋หยาดูเหมือนไม่ลึกลับซับซ้อน แต่ในสายตาของพวกเขากลับประหนึ่งมหามรรคจำแลง เต็มไปด้วยความน่าเกรงขามยิ่งใหญ่ ทำให้คนได้แต่แหงนมองไม่กล้าดูหมิ่น!

เวลานี้แม้แต่ความสง่างามของพวกจิ่งเทียนหนาน เวินอวี๋ หลิงหงจวงก็ถูกหมีอู๋หยาคนเดียวสยบ!

นี่ก็คือหมีอู๋หยาที่ครองอันดับหนึ่งของกระดานราชันอริยะปวงสวรรค์มาหกร้อยปี ผู้ที่ถูกคนมองเป็นยอดบุคคลทรงพลังไร้ซึ่งคู่ต่อกรอย่างแท้จริงในระดับนี้!

“เป็นเช่นนี้แล้วจะสู้อย่างไร…”

เสวียนจิ่วอิ้นแววตาส่องประกาย ท่าทางที่เดิมหยิบหย่งดูจริงจังขึ้นมาอย่างยากจะได้เห็น

หลิงเคอจื่อเม้มปากเงียบ มีเพียงนัยน์ตาที่จ้องมองพวกหมีอู๋หยาและหลินสวิน

ในระดับมกุฎราชันอริยะ มีคนที่ไร้คู่ต่อกรจริงหรือ

มาดสง่างามที่ไร้คู่ต่อกรในระดับนี้ จะมีอานุภาพที่แข็งแกร่งระดับใด

หากต้องการหาคำตอบที่ชัดเจนในใต้หล้านี้ ต้องอยู่ที่ตัวหมีอู๋หยาหรือหลินสวินอย่างแน่นอน!

จะเป็นใครกัน

หลิงเคอจื่อก็ดูไม่ออก

ด้วยในการต่อสู้นี้ แม้หมีอู๋หยาจะเข้าร่วมในตอนท้าย แต่ก็เป็นการประลองที่ไม่ยุติธรรมแล้ว!

“พี่หลิน”

หมีอู๋หยาปรากฏตัวในที่นั้น แววตาจ้องมองหลินสวิน

“เชิญว่ามาเถอะ”

หลินสวินกล่าว

“ศึกนี้ข้าคนแซ่หมีไม่มีทางออมมือ”

หมีอู๋หยาสีหน้านิ่งสงบและจริงจัง

“หากเจ้าออมมือ กลับจะทำให้ข้าหยามน้ำหน้าเจ้า”

หลินสวินฉีกยิ้มกล่าวเหมือนรู้ใจ ส่วนลึกในใจเขาก็ไม่อยากให้หมีอู๋หยาออมมือด้วยรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมเช่นกัน

เขาหลินสวิน ไม่อยากให้คู่ต่อสู้เวทนาและกังวลเช่นนั้น!

หมีอู๋หยาถูกคนทั่วไปมองว่าไร้คู่ต่อกรในระดับนี้

ศิษย์พี่เสวียนคงถูกมองว่า ‘ใต้หล้าบนล่าง ไร้ศัตรูในระดับอริยะ’

ส่วนเขาหลินสวินฝึกปราณมาถึงตอนนี้ มีพลังปราณระดับมกุฎราชันอริยะขั้นสมบูรณ์ มรรควิถีทั้งร่างก็บรรลุถึงขั้นสมบูรณ์สูงสุดแล้ว

มรรคาที่เขาเสาะหา ไม่กลัวที่จะประลองกับใครๆ!

รวมถึงหมีอู๋หยา

และรวมถึงศิษย์พี่เสวียนคงด้วย!

“การต่อสู้นี้มีเหล่าผู้กล้ารวมตัว มุ่งเป้าไปที่เจ้าคนเดียว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากข้าคนแซ่หมีขวางเจ้าไม่ได้ก็นับว่าข้าแพ้”

หมีอู๋หยากล่าวราบเรียบ ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความมาดมั่น

“ได้!”

หลินสวินยิ้มกล่าวอย่างยินดี

ศัตรูที่แข็งแกร่งรุมล้อม แต่เขากลับไม่เห็นใครในสายตา!

“เชิญ!”

หมีอู๋หยาเอ่ยปาก แผ่นจานหมุนสำริดที่เกลี้ยงกลมโปร่งแสงปรากฏ หมุนวนอักษรมรรคที่เร้นลับและอัศจรรย์ไปรอบตัว

นี่คือศาสตราจักรพรรดิที่อัศจรรย์เกินคาดเดาชิ้นหนึ่ง นำมาใช้เพื่อต้านพลังของดาบไร้วิชาเช่นกัน

ขณะเดียวกันเขาชูมือขึ้น กฎเกณฑ์ที่ส่องประกายแถบหนึ่งร้อยถักเข้าด้วยกันกลายเป็นกิเลนม่วงที่ขยับเคลื่อนมีชีวิตชีวาตัวหนึ่ง ชูคอร้องครวญ พุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า

ตูม!

ห้วงอากาศถูกเหยียบย่ำ กิเลนม่วงเปล่งแสงโชติช่วง มีอานุภาพประหนึ่งใต้หล้านี้ตนยิ่งใหญ่เพียงหนึ่งเดียว ดิ่งสังหารลงมา

คนมากมายใจสั่นสะท้าน

การโจมตีนี้ราบเรียบแผ่วเบา แต่พลังที่ประทับไว้กลับบรรลุถึงขั้นโดดเด่นสะเทือนใต้หล้า

กิเลนม่วงตัวหนึ่งเหมือนก้าวออกมาจากตำนานเทพดึกดำบรรพ์!

“หมีอู๋หยา… หมีอู๋หยา… ที่แท้เขาก็เป็นทายาทของเผ่านั้น…”

เสวียนจิ่วอิ้นคล้ายตระหนักถึงอะไรได้ นัยน์ตาพลันหดรัด

“ตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ถึงตอนนี้ เผ่านี้ไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน…”

หลิงเคอจื่อก็อ้าปากค้างเหมือนตกใจ

ตูม!

ในที่นั้นกิเลนม่วงโฉบผ่านอากาศ แผดเสียงคำรามดั่งฟ้าร้องราวกับจะกลืนกินเทพผี

หลินสวินสูดหายใจลึก ใต้ฝ่าเท้ามีชือน้ำแข็งขาวดุจหิมะพุ่งออกมา เชิดศีรษะสะบัดหางเข้าปะทะ

ทั้งสองปะทะกัน กระแสลมน่าหวาดกลัวแผ่กระจาย ประกายแสงพุ่งทะลวงเก้าฟ้าสิบแผ่นดิน เสียงมรรคดังกระหึ่มเป็นระลอก ทำให้พื้นที่แถบนี้ยุ่งเหยิงอลหม่าน

ผู้แข็งแกร่งบางคนไม่อาจไม่หลบหลีก

พลังปะทะเช่นนั้นทำให้พวกเขาต่างขนพองสยองเกล้า

เมื่อฝุ่นควันจางหาย หมีอู๋หยานิ่งไม่ขยับ นัยน์ตาผ่องแผ้วดุจทะเลสาบ

เงาร่างหลินสวินไหวเอนเล็กน้อย แต่พอทรงตัวได้ก็ไม่ตระหนกกลับยินดี หัวเราะร่ากล่าว “ดี! ใต้หล้ามีศัตรู มรรคข้าไม่เดียวดาย!”

หมีอู๋หยายิ้มเล็กน้อย นัยน์ตาที่ผ่องแผ้วดุจทะเลสาบฉายแววเจิดจ้าวูบหนึ่ง “มรรคข้าก็ไม่เดียวดาย ในที่สุดตัวข้าก็มีคู่ต่อสู้”

“หึ! แค่ช่วงชิงวาสนาเท่านั้น จะพูดถึงสวรรค์กล่าวถึงมรรคอะไร!?”

จิ่งเทียนหนานแค่นเสียงเย็นชา เห็นว่าหมีอู๋หยาและหลินสวินพูดคุยไม่ยี่หระระหว่างต่อสู้ ทำให้ในใจเขาอึดอัดยิ่งนัก

ราวกับคนมากมายในระดับเดียวกันตรงนั้น รวมถึงเขาจิ่งเทียนหนานล้วนไม่ถูกสองคนนี้เห็นอยู่ในสายตา

นี่ย่อมทำให้คนไม่พอใจเป็นธรรมดา

ขณะกล่าวจิ่งเทียนหนานพลันลงมือ บาตรเพลิงลุกโชนทะยานสู่ฟากฟ้า ส่วนตัวเขาก็พุ่งโจมตีเข้าใส่หลินสวิน

อานุภาพดั่งฟ้าคำราม เผด็จการรุนแรงคลั่งระห่ำ!

…………..