เขาปู้โจวหายไปแล้ว กลางฟ้าดินพลันว่างเปล่าและกว้างใหญ่ขึ้นมา

พวกจินเทียนเสวียนเยวี่ย เหลิ่งซิวเจีย เซี่ยอวี่ฮวาต่างนั่งขัดสมาธิในบริเวณต่างๆ ฝึกตนทำสมาธิ เตรียมความพร้อมเพื่อทะลวงระดับ

ห่างจากการปิดม่านของเขตต้องห้ามเซียนโบราณอีกสิบวัน และพวกจินเทียนเสวียนเยวี่ยยังไม่ได้ลองทะลวงระดับ

หากจากไปเช่นนี้ นั่นเท่ากับพลาดโอกาสทองในการก้าวสู่ระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงอย่างไรมีพลังระเบียบมหามรรคของเขตต้องห้ามเซียนโบราณบดบัง สามารถทำให้ผู้ฝึกปราณหลีกเลี่ยงมหาเคราะห์ต้องห้ามที่มาจากส่วนลึกของท้องฟ้านั่นได้!

หลินสวินและหลิงเคอจื่อยืนอยู่ไกลๆ

หลิงเคอจื่อได้มอบทรัพย์หลังศึกให้หลินสวินแล้ว

ในศึกนองเลือดแห่งยุคหน้าประตูทลายนั่น ผู้แข็งแกร่งที่ถูกหลินสวินโจมตีสังหารมียี่สิบกว่าคน ในนั้นไม่ขาดพวกที่มีที่มายิ่งใหญ่อย่างเวินอวี๋ เฟิงเป่ยหลิง

นี่ก็ทำให้ทรัพย์หลังศึกที่หลิงเคอจื่อรวบรวมมาได้หลากหลายผิดธรรมดา แค่สมบัติจักรพรรดิก็มีมากถึงสิบหกชิ้นแล้ว!

มีทวนศึก กระบี่มรรค ดาบศึก ประทับเทพ… ล้วนเรียกได้ว่าวิเศษอย่างที่สุด ไม่ใช่สิ่งที่สมบัติจักรพรรดิทั่วไปจะเทียบได้

นอกจากนี้ยังมีสมบัติเก็บของมากมาย ภายในสั่งสมโอสถเทพ ของมีค่า วัตถุดิบวิญญาณ… มูลค่ามากจนไม่อาจประเมินได้

เพราะไม่เพียงแค่จำนวน มูลค่าก็น่าตกใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้!

จัดการอยู่ครู่ใหญ่ หลินสวินก็ยื่นสมบัติจักรพรรดิสองชิ้นและถุงเก็บของที่เต็มไปด้วยสมบัติต่างๆ ให้หลิงเคอจื่อพร้อมพูดว่า “จะให้เจ้าเปลืองแรงโดยไม่มีค่าตอบแทนไม่ได้ พวกนี้ให้เจ้า”

หลิงเคอจื่อปฏิเสธด้วยท่าทีแน่วแน่ “พี่หลิน เช่นนี้เท่ากับท่านทำร้ายข้าแล้ว เพียงแค่เอาสมบัติเหล่านี้ไป ไม่ว่าใคร หลังออกจากเขตต้องห้ามเซียนโบราณก็จะต้องถูกขุมอำนาจใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังสมบัติเหล่านี้กดดันอย่างแน่นอน”

หยุดไปครู่หนึ่งเขาค่อยเอ่ยต่อด้วยสีหน้าที่แฝงแววพิกล “ก็มีแค่พี่หลินที่ไม่กลัวทั้งหมดนี้ เพราะฉะนั้นท่านเก็บกลับไปเถอะ”

หลินสวินอึ้ง คล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “เจ้าหมายความว่าข้ามีเรื่องมากพออยู่แล้ว จะเพิ่มอีกเรื่องก็ไม่เป็นปัญหาหรือ”

หลิงเคอจื่ออักอ่วน พูดอย่างหวาดกลัว “ข้า… เพียงแค่พูดตามจริงเท่านั้น ถึงอย่างไรสมบัติจักรพรรดิเหล่านี้ล้วนมีที่มายิ่งใหญ่ หากไม่ใช่สมบัติพิทักษ์สำนัก ก็เป็นสมบัติพิทักษ์เผ่าพิทักษ์ตระกูล คนทั่วไป… ไม่กล้าครอบครองเป็นของตนแน่”

หลินสวินเองก็ไม่บังคับ เก็บสมบัติแล้วเอ่ยว่า “อีกสิบวันเขตต้องห้ามเซียนโบราณก็จะปิดม่านลง เจ้ามาพัวพันกับข้าตอนนี้ ยามจากไปคงต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วยแน่…”

ไม่รอพูดจบหลิงเคอจื่อก็ยืดอกพูดว่า “พี่หลินไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่กลัวจะถูกดึงไปพัวพันด้วย”

เขาดูมั่นใจมาก

“เช่นนั้นก็ดี”

หลินสวินมองหลิงเคอจื่ออย่างคล้ายขบคิดอะไรอยู่

เขานึกถึงเสวียนจิ่วอิ้น ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่กลัวที่จะปฏิสัมพันธ์กับตน แต่เสวียนจิ่วอิ้นกล้าทำเช่นนี้เพราะมีตระกูลเสวียนหนุนหลัง

หลิงเคอจื่อล่ะ ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน

หลินสวินคิดๆ แล้วก็ส่ายหน้า ภิกษุคนนี้ปากแข็งเกินไป แม้ถามไปก็ต้องไม่ได้คำตอบอะไรแน่

บนเวิ้งฟ้าจู่ๆ ก็ปรากฏเมฆาเคราะห์ที่ดำราวกับน้ำหมึกแถบหนึ่ง กลิ่นอายต้องห้ามน่ากลัวแผ่กระจายเงียบๆ

จินเทียนเสวียนเยวี่ยที่เดิมนั่งขัดสมาธิอยู่ลืมตาขึ้น

นางจะข้ามด่านเคราะห์แล้ว!

แทบจะในเวลาเดียวกัน กลางฟ้าดินพวยพุ่งพลังระเบียบมหามรรคอันลึกลับ ทะยานขึ้นฟ้าไป ปิดคลุมกลิ่นอายด่านเคราะห์ปานต้องห้ามนั่น

เห็นเช่นนี้หลินสวินจึงเก็บสายตากลับมา ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ด้วยพรสวรรค์และรากฐานพลังของจินเทียนเสวียนเยวี่ย ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่สามารถทะลวงระดับได้แล้ว

“พี่หลิน ยามออกจากเขตต้องห้ามเซียนโบราณ ฐานะของท่านต้องถูกเปิดโปงแน่ ทุกสิ่งที่ท่านทำที่นี่จะถูกคนใหญ่คนโตระดับจักรพรรดิล่วงรู้ในทันที ท่าน… ไม่กังวลหรือ”

หลิงเคอจื่ออดถามไม่ได้

หลินสวินดูนิ่งสงบมาก ราวกับไม่ได้กังวลเรื่องตอนที่จะออกไปเลย

“เป็นห่วงแล้วมีประโยชน์หรือ”

หลินสวินย้อนถาม

หลิงเคอจื่อขานรับว่าอ้อ พูดไม่ออกไปชั่วขณะ

“วางใจเถอะ ปัญหามาก็ย่อมมีทางแก้”

นัยน์ตาดำของหลินสวินลึกล้ำและราบเรียบ

เขานึกถึงสิ่งที่ศิษย์พี่สามรั่วซู่เคยพูด ขอแค่สามารถชิงมหาสมบัติแรกกำเนิดชิ้นนี้มาอยู่ในมือได้ แม้ฐานะถูกเปิดเผยก็ไม่เป็นไร

นี่ทำให้หลินสวินมีสังหรณ์แรงกล้า ว่าเหล่าศิษย์พี่คีรีดวงกมล… ไม่มีทางทนมองตนประสบเคราะห์ตาปริบๆ แน่

ขณะเดียวกันในมือหลินสวินก็มีไพ่ตายจำนวนหนึ่ง แม้ประสบเคราะห์ใหญ่ก็ยังมั่นใจว่าจะสามารถหลบหนีได้!

“พี่หลิน”

หลิงเคอจื่อสูดหายใจลึกคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ท่านอยากรู้ว่าข้าเห็นอะไรในตัวท่านใช่หรือไม่”

เขาคล้ายตัดสินใจแล้ว

นัยน์ตาดำของหลินสวินหดรัดลงเล็กน้อย มองหลิงเคอจื่อที่ใบหน้าเคร่งขรึมแล้วอดยิ้มไม่ได้ “เรื่องพวกนี้รอภายหน้าค่อยว่ากันก็ไม่สาย”

หลิงเคอจื่อเผยสีหน้าผิดคาด ร้อนรนขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “แต่ถ้ายามออกจากเขตต้องห้ามเซียนโบราณเกิดเรื่องไม่คาดคิดอะไรกับท่าน เช่นนั้น…”

“ใช่แล้ว หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรขึ้นกับข้า แม้รู้เรื่องบางอย่างไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร ฉะนั้นเจ้าควรจะอธิษฐานว่าอย่าให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นกับข้า”

หลินสวินยิ้มน้อยๆ พลางเขกหน้าผากหลิงเคอจื่อทีหนึ่ง

หลิงเคอจื่อเกาหัวแกรกๆ ในใจสงสัย หรือเขาดูออกแล้วว่า หากข้าพูดในสิ่งที่เห็นไป ตนก็จะถูกเล่นงานกลับอย่างน่ากลัวที่สุด?

หรือเขาเป็นห่วงว่าหลังจากรู้เรื่องพวกนี้จะส่งผลกระทบต่อสภาวะจิต

“หยุดคิดฟุ้งซ่านได้แล้ว ขอเพียงข้าคนแซ่หลินรอดจากมหาเคราะห์ที่กำลังจะมาเยือนได้ จะต้องไปพูดคุยกับเจ้าแน่”

หลินสวินอดเขกหน้าผากหลิงเคอจื่ออีกทีไม่ได้ ภิกษุที่ราวกับเด็กหนุ่มคนนี้หน้าตาอ่อนโยน ท่าทางไร้เดียงสา น่ารักมาก

……

หนึ่งวันหลังจากนั้น

จินเทียนเสวียนเยวี่ยทะลวงระดับสำเร็จ ก้าวสู่ระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิอย่างราบรื่น กลิ่นอายทั้งตัวเปลี่ยนไป ยิ่งว่างเปล่าและใสเย็น ราวกับเซียนภูเขาน้ำแข็ง งดงามดั่งภาพวาด

สามวันหลังจากนั้น

เหลิ่งซิวเจียทะลวงระดับสำเร็จ

เจ็ดวันหลังจากนั้น

เซี่ยอวี่ฮวาทะลวงระดับสำเร็จ

หากอยู่ในโลกภายนอกจะต้องสร้างความฮือฮาอย่างมากแน่ ทำให้เกิดผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนคารวะชื่นชม ถึงอย่างไรการก้าวสู่ระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิก็ยากเกินไปจริงๆ

แต่ในเขตต้องห้ามเซียนโบราณแห่งนี้ ขอแค่รากฐานพลังแข็งแกร่งพอ ยามทะลวงระดับย่อมง่ายดาย!

อันทีจริง ขอเพียงเป็นผู้แข็งแกร่งที่ยังมีชีวิตอยู่ในเขตต้องห้ามเซียนโบราณตอนนี้ ล้วนทยอยทะลวงระดับแทบจะทุกคน ก้าวสู่ระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิ

หลายวันมานี้สภาวะจิตของหลินสวินกระจ่างใส หยั่งรู้และฝึกหลอมมรรควิถีแห่งตน ไม่มีเรื่องไม่คาดฝันและอุปสรรคเกิดขึ้นอีก

ส่วนโลกภายนอก ลมพายุกำลังจะมาเยือน

……

“เหลือเพียงสามวันแล้ว…”

ไท่ซูหงเจ้าสำนักเรือนมรรคโลกาสวรรค์ส่งเสียงทอดถอนใจ

ช่วงที่ผ่านมานี้พวกเขารออยู่ที่นี่โดยตลอด แม้ไม่สามารถมองเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นในเขตต้องห้ามเซียนโบราณได้ ทว่าจากตะเกียงชีวิตแต่ละดวงที่ดับไป กลับทำให้พวกเขาพอจะคาดเดาสถานการณ์ได้คร่าวๆ

จนถึงตอนนี้ผู้สืบทอดแกนหลักเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ที่เข้าสู่เขตต้องห้ามเซียนโบราณล้วนพังทลายจบสิ้น

เรือนมรรคจักรวาลเข้าไปสิบเก้าคน เหลือเพียงสองคน

เรือนมรรคยุทธจักรสิบห้าคน เหลือเพียงเก้าคน

เรือนมรรคโลกาสวรรค์สิบเจ็ดคน เหลือแปดคน

เรือนมรรคเหล่ามาร…

เพียงแค่ผู้สืบทอดแกนหลักของหกเรือนมรรคใหญ่ก็สูญเสียไปเกินครึ่งแล้ว สองเรือนมรรคใหญ่อย่างเรือนมรรคดึกดำบรรพ์และเรือนมรรคจักรวาลแทบจะพังทลายทั้งหมด!

จากเรื่องนี้สามารถคาดเดาได้ว่า สถานการณ์ในเขตต้องห้ามเซียนโบราณนั่นอันตราย โหดร้าย และนองเลือดเพียงใด

ตอนนี้ตะเกียงชีวิตที่ยังสว่างอยู่เหลือเพียงยี่สิบเก้าดวงเท่านั้น!

จำนวนนี้สามารถทำให้ทั่วหล้าสะท้านไหว

ควรรู้ว่าผู้แข็งแกร่งที่เข้าสู่เขตต้องห้ามเซียนโบราณครั้งนี้แม้มีแค่หนึ่งร้อยแปดคน แต่ทุกคนล้วนเรียกได้ว่าเป็นบุคคลชั้นยอดในระดับมกุฎราชันอริยะ เมื่อใกล้ถึงช่วงเวลาผิดฉากกลับเหลือเพียงแค่ยี่สิบเก้าคน ความสูญเสียนี้เรียกได้ว่ารุนแรงยิ่งยวด!

ก็เหมือนหลายวันมานี้ เหล่าคนใหญ่คนโตระดับจักรพรรดิที่อยู่ที่นี่สีหน้าอึมครึม ไม่ปริปากพูดสักคำ

ไท่ซูหงรู้ดีว่าในใจเฒ่าชราเหล่านี้ล้วนอัดอั้น

“จริงสิ เหลือแค่สามวันแล้ว…”

จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงเองก็ทอดถอนใจ “อย่าว่าแต่เขตต้องห้ามเซียนโบราณ แม้แต่บริเวณเขาเมฆาแห่งนี้ก็เรียกได้ว่ามีคลื่นใต้น้ำรุนแรง ลมพายุใกล้มาเยือน”

สีหน้าของเหล่าจักรพรรดิต่างซับซ้อน

มหาสมบัติแรกกำเนิดชิ้นหนึ่ง ดึงดูดสายตาของทั่วหล้าทั้งบนล่าง ในที่มืดมีสัตว์ประหลาดเฒ่าไม่รู้เท่าไหร่จับจ้องความเคลื่อนไหวที่นี่

ขณะเดียวกันก็ไม่มีใครรู้ว่าอีกสามวันยามเขตต้องห้ามเซียนโบราณปิดฉากลง จะเกิดเหตุการณ์ยิ่งใหญ่แค่ไหน

แต่คลื่นลมครั้งนี้ไม่อาจหลีกเลี่ยง ถูกกำหนดให้ต้องปะทุอย่างแน่นอน

เพียงแต่ถึงตอนนั้นใครเป็นคนล่า ใครเป็นเหยื่อ ยังไม่อาจรู้ได้

“พวกเจ้าว่ารอบๆ เขาเมฆานี้มีคนรุ่นเรากี่คนกันแน่”

จู่ๆ จักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นแห่งเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ก็ถามขึ้น

“คลื่นลมใหญ่เช่นนี้ จะมีผู้ร่วมมรรคเข้าร่วมน้อยได้อย่างไร”

มีคนเผยยิ้มหยัน

“ผู้มาเยือนล้วนเป็นผู้ร่วมมรรคหรือ ไม่มีทางหรอก”

มีคนสีหน้าเย็นชา

“ไม่ว่าเป็นใคร อยากจะเข้าร่วมคลื่นลมครั้งนี้ก็ต้องคำนึงถึงผลลัพธ์”

จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงพูดอย่างเย่อหยิ่ง

ในหุบเขาเงียบสงบที่ห่างจากที่นี่ไกลโพ้น

การประชันหมากระหว่างภิกษุเฒ่ากับเด็กหนุ่มชุดดำเข้าสู่ช่วงที่ดุเดือดที่สุดแล้ว

แต่สีหน้าของทั้งสองไม่เห็นความตื่นเต้นใดๆ แต่ละคนมั่นคงและสงบนิ่ง

“ความจำของจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงแห่งเรือนมรรคจักรวาลนี่แย่จริงๆ หากผีเร่ร่อนพวกนั้นของคีรีดวงกมลมา จะหวาดกลัวคำว่า ‘ผลลัพธ์’ ที่นางพูดถึงได้อย่างไร นอกเสียจากนางคิดว่าตนเป็นคนวางหมาก”

เด็กหนุ่มชุดดำหลุดขำออกมาคราหนึ่ง

ศีรษะของเขาสวมเกี้ยวประดับดอกไม้ รูปลักษณ์ราวกับเด็กหนุ่ม สายตากลับซ่อนแฝงไว้ซึ่งประสบการณ์ไร้จำกัด

บรรพจารย์จักรพรรดิเสินซวีแห่งสำนักโบราณจรัสเทพคนนี้ ไม่ได้ปกปิดความดูถูกของตนเลย

“ใครเป็นตัวหมาก ใครเป็นคนวางยังพูดไม่ได้ เหตุการณ์ครั้งนี้เต็มไปด้วยตัวแปร บางทีตัวหมากอาจกลายเป็นคนวางหมากก็ได้”

ภิกษุเฒ่าพูดเรียบๆ รูปลักษณ์ของเขาผอมแห้ง เต็มไปด้วยริ้วรอย สวมชุดภิกษุเรียบง่ายสะอาดสะอ้าน

แต่ในโลกมืด เขากลับมีฉายาที่สามารถทำให้ทุกคนหน้าเปลี่ยนสี…

บรรพจารย์จักรพรรดิเนี่ยคง!

บรรพจารย์จักรพรรดิเสินซวีหยิบหมากตัวหนึ่งขึ้นมา พึมพำว่า “ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น สร้างสถานการณ์ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เกรงว่าจะสำแดงศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิอีกครั้งกระมัง สหายยุทธ์เตรียมพร้อมหรือยัง”

บรรพจารย์จักรพรรดิเนี่ยคงพยักหน้าน้อยๆ พูดเรียบๆ “คนทำเต็มความสามารถ ฟังชะตาฟ้าดิน ได้ก็โชคดี เสียก็เป็นชะตาข้า”

“ข้าเองก็เช่นกัน”

บรรพจารย์จักรพรรดิเสินซวีที่ราวกับเด็กหนุ่มยิ้ม “แต่มีจุดหนึ่งที่ข้าไม่เหมือนเจ้า”

“หืม?”

บรรพจารย์จักรพรรดิเนี่ยคงพูด “ไม่เหมือนตรงไหน”

“เพื่อมหาสมบัติแรกกำเนิดชิ้นนั้น ข้ากล้าทุ่มสุดชีวิต”

บรรพจารย์จักรพรรดิเสินซวีว่าพลางวางหมากในมือบนกระดานเบาๆ

คำพูดของเขาเรียบเรื่อย แต่กลับทำให้บรรพจารย์จักรพรรดิเนี่ยคงเลิกคิ้วเล็กน้อย ถอนหายใจอย่างคลุมเครือ “หากเป็นเช่นนี้ ถึงเวลานั้นคงต้องขอคำชี้แนะจากความองอาจของสหายยุทธ์สักหน่อยแล้ว”