เสียงของบรรพจารย์จักรพรรดิซวีเหวินเพิ่งสิ้นสุด

ตูม!

รุ้งทองสายหนึ่งพาดอากาศพุ่งโฉบออกไป ชายที่สวมหมวกสูงคาดเข็มขัดคนหนึ่งเหยียบรุ้งทองเข้ามา

เขาดุจดั่งราชันจักรพรรดิก็ไม่ปาน มีมาดแห่งนายเหนือหัวมาเยือนใต้หล้า รูปร่างซูบผอม ดวงตาฉายลักษณ์ประหลาดมหามรรค

บรรพจารย์จักรพรรดิเทียนหลัน เรือนมรรคเหล่ามาร!

ก่อนหน้านี้ก็เป็นเขาที่เอ่ยปากวิวาทกับจักรพรรดิอสนีดับสูญ

“เฮอะ เจ้าคนที่เคยพ่ายแพ้ไปอย่างเจ้าในที่สุดก็ยอมปรากฏตัวแล้วหรือ”

จักรพรรดิอสนีดับสูญแค่นเสียงเย็น เผยแววเหยียดหยัน ต่อให้เป็นเพียงพลังจิตวิญญาณดั้งเดิมสายเดียว ยามเผชิญหน้ากับบรรพจารย์จักรพรรดิเทียนหลันกลับเห็นได้ชัดว่ากร้าวแกร่งถึงขีดสุด

“จี้เสวียน คิดจริงๆ หรือว่าพึ่งพิงคีรีดวงกมลแล้วจะสามารถทำตัวไร้ขื่อไร้แปได้”

สีหน้าบรรพจารย์จักรพรรดิเทียนหลันเย็นเยียบ “ข้าขอบอกเจ้า วันนี้พลังจิตวิญญาณดั้งเดิมนี้ของเจ้า อย่าหวังจะมีชีวิตได้อีกเลย!”

“แค่เจ้าคนเดียวน่ะหรือ”

จวินหวนถาม

“แน่นอนไม่ใช่แค่ข้าคนเดียว อานุภาพแห่งมรรคกระบี่ของสหายยุทธ์จวินหวนยอดเยี่ยมเลิศล้ำ หากหมายจะจับตายปลาใหญ่อย่างเจ้า ก็ต้องปฏิบัติอย่างจริงจังถึงจะใช้ได้”

บรรพจารย์จักรพรรดิเทียนหลันกล่าวราบเรียบ

น้ำเสียงยังไม่ทันสิ้นสุด ห้วงอากาศละแวกใกล้เคียงก็ม้วนตลบระลอกหนึ่ง พร้อมๆ กับปรากฏเงาร่างสายแล้วสายเล่าขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

เงาร่างเหล่านี้รวมทั้งสิ้นเจ็ดคน มีทั้งชายหญิง ลักษณะหน้าตาถึงแม้จะต่างกัน แต่บุคลิกล้วนน่าสะพรึงคับฟ้า ดุจดั่งบรรพจารย์แห่งมหามรรค อานุภาพศักดิ์สิทธิ์ไร้จำกัด!

ทันทีที่ปรากฏตัว ฟ้าดินร้องระงม คล้ายแบกรับอานุภาพบนตัวพวกเขาไม่ไหว

ระดับจักรพรรดิบางส่วนยิ่งตัวเกร็งไปทั้งร่าง รับรู้ถึงแรงกดดัน

ควรรู้ว่าด้วยระดับของพวกเขาก็สามารถข่มทั่วหล้า อาละวาดทั่วแผ่นดิน ทว่ายามเผชิญหน้ากับเงาร่างที่ปรากฏตัวออกมาอย่างต่อเนื่องเหล่านี้ กลับได้แต่แหงนมองเท่านั้น!

เนื่องจากคนเหล่านี้ล้วนเป็นบรรพจารย์จักรพรรดิที่ไม่เคยปรากฏตัวบนโลกมานานปี บ้างก็มาจากหกเรือนมรรคใหญ่ บ้างก็มาจากสิบเผ่านักรบใหญ่ และบ้างก็มาจากเผ่าจักรพรรดิดึกดำบรรพ์…

เพียงแต่สำหรับผู้สืบทอดคีรีดวงกมลอย่างพวกจวินหวน ผู่เจิน หลินสวินแล้ว คนพวกนี้ล้วนมีชื่อเรียกเดียวกันคือ…

ศัตรู!

บรรพจารย์จักรพรรดิเทียนหลัน รวมกับคนอื่นอีกเจ็ดคนที่ปรากฏตัวต่อเนื่อง ทำให้สถานการณ์ในที่นั้นพลอยเปลี่ยนไปอีกครั้ง

พลังระดับนี้ล้วนสามารถกวาดล้างทั่วหล้าได้!

นัยน์ตาหลินสวินหดรัดเล็กน้อย

เขาสามารถคาดการณ์ได้ว่าการประชันหมากที่มีการวางแผนมาล่วงหน้านี้ไม่ธรรมดาหาใดเปรียบ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะน่าสะพรึงปานนี้

ทอดสายตามองไป ระดับจักรพรรดิทั่วไปล้วนหม่นราศี และผู้ที่มีคุณสมบัติเอ่ยปาก แต่ละคนก็เป็นเฒ่าดึกดำบรรพ์ที่เพียงแค่ย่างเท้าก็สามารถทำให้ฟ้าดาราสั่นสะเทือนได้!

ภาพเหตุการณ์ระดับนี้ เกรงว่าคงมีแต่ ‘ศึกมรรคสิบทิศ’ ในยุคดึกดำบรรพ์ กับ ‘ศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิ’ สมัยบรรพกาลเท่านั้นที่จะเทียบรัศมีได้

กลับเห็นจวินหวนไม่ลนลานแม้แต่น้อย พูดเองเออเอง “ศิษย์พี่ผู่เจิน ตอนนี้มีเจ้าเฒ่าแปดคนที่อยากจัดการพวกเรา ข้าจัดการสามคน ท่านมาจัดการห้าคนเป็นอย่างไร”

ผู่เจินอึ้งไป กล่าวอย่างลังเล “เหตุใด… ถึงไม่แบ่งเท่ากัน”

จวินหวนกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ใครใช้ให้ท่านเป็นศิษย์พี่เล่า ย่อมต้องรับหน้าที่มากหน่อยอยู่แล้ว”

ถูกสายตาของจวินหวนจับจ้อง ผู่เจินได้แต่ยิ้มขื่น กล่าวเสียงงึมงำ “ดูเหมือน… จะเป็นเหตุผลข้อนี้จริงๆ”

“พวกข้าสองคนก็ช่วยได้เหมือนกัน”

ซย่าสิงเลี่ยเอ่ยปาก จักรพรรดิอสนีดับสูญที่อยู่ข้างๆ ก็พยักหน้าด้วย

จวินหวนปฏิเสธตรงๆ กล่าวสบายๆ ว่า “พวกเจ้าอยู่ที่นี่ดีกว่า คอยดูแลศิษย์น้องเล็กของข้าที่ทนทรมานไม่ไหวคนนี้ก็พอแล้ว”

ซย่าสิงเลี่ยและจักรพรรดิอสนีดับสูญมองหน้ากัน ทั้งคู่ก็ถือเป็นบุคคลเทียมฟ้าที่เรียกลมเรียกฝนได้บนทางเดินโบราณฟ้าดาราแห่งนี้เช่นกัน แต่ยามนี้กลับถูกดูหมิ่นกลายๆ…

ส่วนหลินสวินอึ้งค้างไปชั่วขณะ อะไรที่เรียกว่าทนทรมานไม่ไหว

เขาลอบวิพากษ์วิจารณ์ในใจ ‘ศิษย์พี่จวินหวนใช่แค่ซุกซนที่ไหน คำพูดก็ช่างทำร้ายใจคนเกินไปแล้ว ไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดผู้อาวุโสจี้เสวียนถึงได้หลงใหลคลั่งไคล้นางปานนั้น…’

ไม่เพียงแค่พวกหลินสวิน พวกบรรพจารย์จักรพรรดิเทียนหลันหลังจากได้ยินการจัดการของจวินหวนก็อึ้งงันไปครู่หนึ่ง พวกเขาเคยถูกดูเบาเช่นนี้เมื่อไหร่กัน

“มิน่าคีรีดวงกมลถึงถูกทำลาย ดูท่าคงมีสาเหตุมาจากพูดจาใหญ่โตเกินไป”

บรรพจารย์จักรพรรดิที่เหมือนเด็กหนุ่ม บุคลิกเย่อหยิ่งคนหนึ่งหัวเราะหยัน

จวินหวนยื่นมือมาชี้คนผู้ นี้ กล่าวว่า “ศิษย์พี่ผู่เจิน เจ้าเฒ่ากระจอกนี้มอบให้ข้าแล้วกัน อีกเดี๋ยวข้าจะทำให้เขาคุกเข่าพูดประโยคนี้กับข้าอีกครั้ง”

“ได้”

ผู่เจินตอบรับอย่างรวดเร็ว

“เฮอะ ไม่รู้ดีชั่ว!”

บรรพจารย์จักรพรรดิที่เหมือนเด็กหนุ่มคนนั้นสีหน้าอึมครึมลง

สิ่งที่ตอบเขาคือหนึ่งกระบี่ที่ไม่เกรงใจของจวินหวน ปราณกระบี่เจิดจรัสไร้สิ้นสุด งดงามยิ่งยวด มีความงามที่สะท้านจิตสะเทือนวิญญาณอย่างหนึ่ง

และก็เป็นกระบี่นี้ที่เปิดฉากการต่อสู้ในครั้งนี้

“ลงมือ!”

เกือบจะในเวลาเดียวกัน พวกบรรพจารย์จักรพรรดิเทียนหลันก็ลงมือพร้อมกัน

บรรพจารย์จักรพรรดิ ขอบเขตแห่งระดับจักรพรรดิที่ย้อนคืนบรรพ์

ระดับนี้สูงส่งน่าเกรงขามเกินไป อย่าว่าแต่มกุฎกึ่งจักรพรรดิอย่างหลินสวิน แม้แต่ระดับจักรพรรดิอย่างจักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นก็ยังได้แต่แหงนหน้ามอง

ยามเมื่อการต่อสู้ปะทุ เงาร่างของพวกเขาก็เคลื่อนย้ายไปยังส่วนลึกของเวิ้งฟ้าในพริบตา มีเพียงอยู่ภายใต้เวิ้งฟ้าเท่านั้นจึงจะสามารถปลดปล่อยอานุภาพของพวกเขาได้เต็มที่

หากสู้กันที่พื้นดิน ไม่เพียงจะขัดไม้ขัดมือ ซ้ำหายนะที่ก่อขึ้นยังใหญ่ยิ่งเกินไป ไม่ใช่ว่าใครๆ จะสามารถทนรับไหว

ศิษย์พี่ผู่เจินก็พุ่งออกไปเช่นกัน เอาจอบที่พาดบนบ่ามาถือไว้ในมือ

จอบยาวจั้งเศษ ตัวเรือนดำสนิท ลักษณะค่อนข้างหยาบหนา ดูเหมือนเปื้อนคราบสนิม แต่กลับให้ความรู้สึกขึงขังประหนึ่งหวนคืนธรรมชาติแก่ผู้คน

ยามเมื่อถืออยู่ในมือใหญ่ดุจใบพัดของผู่เจิน ทำให้อานุภาพทั้งตัวเขาเปลี่ยนไป ผิวสีทองแดงคร้ามเข้มที่เหมือนสร้างขึ้นจากทองแดงอบอวลพลังจิตวิญญาณที่แน่นหนา ประกอบกับร่างกายล่ำสันที่เหมือนเจดีย์ทองแดงก็ไม่ปานของเขา ทำให้มีกลิ่นอายกลืนกินฟ้าดิน

ยามเอ่ยว่าลงมือ ผู่เจินไม่ลังเลสักนิด เท้าเหยียบขึ้นห้วงอากาศ การโจมตีก็คือการตวัดจอบครั้งหนึ่ง ฟันใส่บรรพจารย์จักรพรรดิคนหนึ่งอย่างแรง

ตูม!

ฟ้าดินเปลี่ยนสี จอบเล่มเดียวเท่านั้น กลับดุจดั่งมองฟ้าดินเป็นท้องนา และผู่เจินก็เหมือนกำลังขุดดิน บดขยี้ห้วงอากาศเป็นผุยผง ภาพเหตุการณ์ชวนสยอง

“กลัวเจ้ารึไง”

บรรพจารย์จักรพรรดิคนนั้นสีหน้าอึมครึม ตั้งแต่ผู่เจินและจวินหวนปรากฏตัวก็เอาแต่ใช้ท่าทีสูงส่งเพิกเฉยต่อการคงอยู่ของพวกเขา ยามนี้ยิ่งลงมือหนักหน่วงโดยไม่พูดสักแอะ นี่ยั่วโทสะเขาอย่างสิ้นเชิงแล้ว

ขณะพูดเงาร่างของเขาพลันเคลื่อนขวาง ทั่วร่างห้อมล้อมด้วยตรวนเทพสีชาดเป็นเส้นๆ ร่ายระบำคลั่ง กลายเป็นขวานสีชาดเล่มหนึ่งทันควัน เข้าปะทะผู่เจิน

ปัง!

เสียงกระแทกระลอกหนึ่งดังสนั่นหวั่นไหวก้องฟ้าดิน พลังจิตวิญญาณแผ่กว้างพายุกระโชก ก่อเกิดลักษณ์ประหลาดมากมายอย่างเช่นเสียงเทพมารโหยไห้ เลือดเทพสาดกระเซ็น มหามรรคร้องครวญอยู่รำไร โกลาหลทั่วแปดทิศ

เงาร่างบรรพจารย์จักรพรรดิคนนั้นซวนเซ ถอยหลังไปหลายสิบก้าว สีหน้าคล้ำเขียวสลับซีดขาว

“ข้าเป็นคนหยาบกระด้างคนหนึ่ง ทำเป็นแต่ขุดแปลงทำนา เชื่อใจแค่จอบในมือตัวเอง ในสายตาของข้า พวกเจ้าก็เหมือนวัชพืนในท้องนา จำเป็นต้องกำจัดทิ้ง เจ้าคนเดียวไม่พอให้มอง เข้ามาพร้อมกันเลยเถอะ”

เมื่อโจมตีอยู่หมัด ผู่เจินก็เอ่ยปากเสียงขรึม ผิวสีทองแดงเข้มทั่วร่างพวยพุ่งพลังเทพ ตวัดจอบกระแทกเข้ามาอีกครั้ง หบายกระด้างเรียบง่ายอย่างที่สุด

“ฆ่า!”

บรรพจารย์จักรพรรดิคนอื่นๆ สั่งสมพลังเตรียมสู้ตั้งแต่เนิ่นๆ เมื่อเห็นเช่นนี้สองคนในนั้นก็ไม่ลังเลสักนิด ร่วมมือกันจัดการผู่เจินทันที

ส่วนอีกห้าคนที่เหลือกลับพุ่งโจมตีไปทางจวินหวนโดยปริยาย

“ศิษย์น้องจวินหวนบอกแล้ว ให้ข้าฆ่าห้าคน เหตุใดพวกเจ้าไม่ฟังกันบ้าง”

ผู่เจินสะบัดจอบอย่างแรง เงาร่างพริบวาบ ชั่วอึดใจก็ซัดออกไปพันครั้ง ถึงกับสะเทือนการโจมตีร่วมกันของบรรพจารย์จักรพรรดิสามคนได้

ขณะเดียวกันเมื่อเขาโบกมือ ก็ขัดขวางบรรพจารย์จักรพรรดิอีกสองคนที่เดิมทีพุ่งเข้าใส่จวินหวนเอาไว้

หรือกล่าวอีกนัยคือ เวลาเพียงพริบตา ผู่เจินคนเดียวเริ่มเปิดศึกกับบรรพจารย์จักรพรรดิห้าคน!

ท่าทางทรงพลังที่หนึ่งต่อกรห้า มาดที่ดูแคลนระดับจักรพรรดิทั่วหล้า สง่างามมีอานุภาพประหนึ่งเหนือฟ้าใต้หล้ามีเพียงข้าเป็นหนึ่งเช่นนั้น ทำให้ผู้คนสะท้านสะเทือน

“รนหาที่ตาย!”

“พวกสมควรตายอย่างเจ้า ช่างไม่รู้ดีชั่ว!”

ท่าทางอวดดีถึงที่สุดเช่นนี้ของผู่เจินยั่วโทสะบรรพจารย์จักรพรรดิพวกนั้นอย่างสิ้นเชิง ต่างเข้าปะทะกับเขา ลงมือไม่โดยไว้ไมตรีสักนิด ทุกคนล้วนใช้ไพ่เด็ดกันทั้งสิ้น

ชั่วขณะหนึ่งกลางฟ้าดินถูกเงาร่างประดุจเทพสายแล้วาสายเล่าเติมเต็ม พาดขวางที่ส่วนลึกของเวิ้งฟ้า รบพุ่งเหนือฟ้า เข่นฆ่าตรงๆ จนฟ้ามืดดินดับ สุริยันจันทราอับแสง

นี่เป็นถึงการต่อสู้กันระหว่างบรรพจารย์จักรพรรดิ!

วิชาที่ใช้ทั้งหมดล้วนเป็นวิชาลับมรรคจักรพรรดิซึ่งเรียกได้ว่าชั้นยอดทั้งสิ้น แค่คิดก็รู้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้เย้ยฟ้าปานใด

ยามนี้ภายในเขตแคว้นแห่งนี้ที่เขาเมฆาตั้งอยู่ ล้วนถูกลูกหลง ทุกแห่งหนปรากฏภาพเหตุการณ์น่าสะพรึงที่ฟ้ามืดดินดับ ห้วงอากาศแตกสะบั้น ผืนดินใหญ่พังทลาย ตะวันร่วงจันทราหล่น

ทุกหย่อมหญ้าเกิดเสียงสายฟ้าอึงอล พลังเทพไหลพุ่ง ปั่นป่วนฟ้าดินเมฆลม!

พื้นที่หนึ่งแคว้นของโลกใหญ่หงเหมิงกว้างใหญ่เสมือนโลกใหญ่แห่งหนึ่ง สรรพชีวิตมากมายอาศัยอยู่ในนี้ ยามนี้ไม่ว่าพลังปราณสูงหรือต่ำล้วนต่างตกใจจนทั่วร่างอ่อนแรง ขวัญหลุดลอย ยังนึกว่ามหาเคราะห์วันสิ้นโลกมาเยือน

พวกใจเสาะบางส่วนยิ่งถูกทำให้ผวาจนฉี่เล็ด หมดสติไปตรงๆ ทุกแห่งล้วนเป็นภาพพิบัติร้ายที่โกลาหลยิ่งยวด

ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นเพราะ ‘ศึกแห่งบรรพจารย์จักรพรรดิ’ ในครั้งนี้!

……

“ศิษย์พี่ผู่เจินสมกับที่เกิดในท้องไร่ท้องนา วิธีนี้ช่างหยาบกระด้างนัก…”

จวินหวนส่งเสียงทอดถอนใจออกมาคราหนึ่ง นางหรี่ดวงตาเรียวชี้งดงามลง “หากไม่ออกแรงสักหน่อย เกรงว่าคงจะยืดเยื้อ ดูท่าข้าเองก็ได้แต่ต้องหยาบกระด้างสักครั้งเท่านั้นแล้ว”

ใกล้ๆ นาง พวกบรรพจารย์จักรพรรดิสามคนอย่างพวกบรรพจารย์จักรพรรดิเทียนหลันลงมือกันแล้ว ปิดล้อมโจมตีนาง

และขณะพูด จวินหวนโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง

กระบี่ไร้รูปเล่มหนึ่งห้อมล้อมด้วยประกายศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นกลางอากาศ ชั่วอึดใจเดียวฟ้าดินเปลี่ยนสี พลังเทพไพศาลไร้ขอบเขตพุ่งเข้าสู่กระบี่ไร้รูปเล่มนั้น

กลางห้วงอากาศว่างเปล่านั้น กลับปรากฏอักษรกระบี่มรรคเป็นสายๆ มีอักษรทองที่บิดเบี้ยวเหมือนไส้เดือน มีอักษรจารึกที่เก่าแก่เรียบง่าย มีอักษรแห่งเทพมารที่คลุมเครือลึกลับ มีอักษรลับแรกกำเนิดที่แฝงนัยนับไม่ถ้วน…

อักษรเก่าแก่โบราณที่แตกต่างกันเหล่านี้ล้วนกลายเป็นปราณกระบี่สายหนึ่ง ประทับพลังแห่งประสวัตศาสตร์ บรรจุอานุภาพแห่งกาลเวลา ทันทีที่ปรากฏต่างรายล้อมอยู่รอบๆ กระบี่ไร้รูปสายนั้น

เพียงพริบตาเท่านั้น กระบี่ไร้รูปเล่มนี้ถึงกับดุจดั่งได้รับจิตวิญญาณ แผ่เจตเทพไร้จำกัด พุ่งไปยังนอกเก้าชั้นฟ้า สั่นคลอนฟ้าดารามากมาย!

อานุภาพระดับนี้เรียกได้ว่าหายากสะท้านโลก!

กระทั่งสิ่งมีชีวิตทั้งปวงภายในอาณาเขตแคว้น ยามนี้เวลานี้ถึงกับรับรู้อย่างฉับไวถึงพลังแห่งกระบี่ที่ไพศาลเลิศล้ำสายหนึ่ง กำลังปกคลุมอยู่เหนือเวิ้งฟ้าที่ยาวไกลไร้เขตแดน!

ส่วนจวินหวนยกมือหยกเรียวขึ้น กำกระบี่ไร้รูปนั่นไว้ก่อนพุ่งขวางออกไป

สวบ!

เพียงชั่วอึดใจ ฟ้าถล่มดินทลาย สรรพชีวิตดับสูญ!

บรรพจารย์จักรพรรดิสามคนอย่างพวกเทียนหลันหน้าเปลี่ยนสีกันถ้วนหน้า เข้าปะทะเต็มกำลัง

ตูม!

เสียงกัมปนาทรุนแรงดังขึ้นระลอกหนึ่ง ส่วนลึกของเวิ้งฟ้านั่น ถูกประกายศักดิ์สิทธิ์และแสงมรรคน่าสะพรึงท่วมท้น ไพศาลไร้จำกัด

สามารถมองเห็นว่าบรรพจารย์จักรพรรดิที่ดุจดั่งทวยเทพก็ไม่ปานอย่างพวกเทียนหลันทั้งสามคน ภายใต้การเข่นฆ่าแห่งพลังมรรคกระบี่ของจวินหวน ถึงกับถูกกดข่มตั้งแต่เริ่ม!

“จวินหวนยังเหมือนแต่ก่อน เมื่อลงมือก็แข็งแกร่งและดุดันยิ่งกว่าผู้ชายเสียอีก…”

มองเห็นภาพเหตุการณ์นี้ จี้เสวียนก็เผยสีหน้าลุ่มหลงขึ้นมาอีกครั้ง จิตใจสั่นไหว