“จะมาแล้วหรือ…”
หลี่เสวียนเวยเงยหน้ามองไปยังเวิ้งฟ้า
ตูม!
โลกว่างเปล่าที่เขาอยู่พังทลายประหนึ่งเครื่องแก้ว ทำให้สายตาของเขามองเห็นได้ชัดเจน ว่าในท้องนภาที่อยู่ส่วนลึกสุดนั้นมีพลังลึกลับกำลังรวมตัวกันอยู่รางๆ
‘ศิษย์น้องหลี่ ควรไปแล้ว’
เสียงสุภาพอ่อนโยนของรั่วซู่ดังขึ้นในใจหลี่เสวียนเวย
หลี่เสวียนเวยพยักหน้า เงาร่างพลันหายไป
…
เขาเมฆา
บรรยากาศกดดันหาใดเปรียบ
ผู้สืบทอดแห่งคีรีดวงกมลห้าคนอย่างหลินสวิน รั่วซู่ จวินหวน ผู่เจิน เสวี่ยหยา รวมตัวกับพวกจี้เสวียนและซย่าสิงเลี่ย
ห่างออกไประดับจักรพรรดิมากมายสีหน้าจริงจัง ไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม
ในที่ลับยิ่งมีเฒ่าดึกดำบรรพ์นับไม่ถ้วนซุ่มเงียบและไม่เคยลงมือเช่นกัน คล้ายกำลังเฝ้ารออะไรอยู่
เมื่อเงาร่างของหลี่เสวียนเวยปรากฏ ศัตรูมากมายในที่นั้นล้วนหยุดหายใจ
มาอีกคนแล้ว!?
นี่ทำให้พวกเขาใจสั่นสะท้าน
กลับเห็นจวินหวนกล่าวพึมพำ “ศิษย์พี่หลี่ พลังต่อสู้ของท่านแข็งแกร่งกว่าศิษย์พี่ผู่เจินมาก เหตุใดกลับมาช้าเช่นนี้”
หลี่เสวียนเวยพลันยิ้มขื่น “เดิมทีข้าคิดว่าแค่จัดการเจ้าเฒ่าที่มาจากโลกมืดสองคนเท่านั้น ไหนเลยจะคิดว่าพวกเขายังมีผู้ช่วย สุดท้ายก็ฆ่าไปแค่สามคน ทำให้สองคนที่เหลือหนีไปได้”
คำพูดนี้กล่าวอย่างสบายๆ แต่นัยในคำพูดกลับทำให้ทุกคนขนพองสยองเกล้า
“เรื่องพวกนั้นล้วนไม่สำคัญ หลังจากนี้พวกเราต้องเผชิญหน้ากับศึกหินแล้ว…”
สีหน้ารั่วซู่เผยแววเคร่งขรึมเสี้ยวหนึ่ง
สายตาของนางมองไปยังส่วนลึกของเวิ้งฟ้าโดยตลอด คล้ายกำลังอนุมานอะไรอยู่
“ศิษย์พี่วางใจ ครั้งนี้ต่อให้เอาชีวิตเข้าแลก ข้าก็จะชิงโอกาสมาให้ศิษย์น้องเล็กแน่นอน” ผู่เจินกล่าวด้วยเสียงแน่นหนัก
เสวี่ยหยายิ้มรับ “พวกเราเฝ้ารอมาเกือบแสนปีแล้ว แพ้หรือชนะอยู่ที่การกระทำในครั้งนี้ หากช่วยเป็นกำลังสร้างคีรีดวงกมลขึ้นใหม่ได้ ต่อให้ตายเก้าครั้งก็ไม่เสียใจ”
“เหอะ! พวกเรารอมาแสนปีไม่ง่ายเลยกว่าจะสบโอกาส พูดจาไม่เป็นมงคลเช่นนี้ได้อย่างไร”
จวินหวนถลึงตามองผู่เจินกับเสวี่ยหยาคราหนึ่งพลางกล่าว “ข้าจะพูดแค่ประโยคเดียวสี่คำ ร่วมเป็นร่วมตาย”
หมดจดชัดเจน แต่มีความเด็ดเดี่ยวอย่างหนึ่ง
“ใช่ ร่วมเป็นร่วมตาย”
นัยน์ตาหลี่เสวียนเวยฉายแววเศร้าอาดูร “ปีนั้นพวกศิษย์พี่เก่ออวี้ผูประสบเคราะห์ ทำให้ข้ารู้สึกผิดมาถึงตอนนี้ ครั้งนี้จะไม่มีทางให้เรื่องแบบเดียวกันเปิดฉากขึ้นอีก…”
เมื่อพูดถึงพวกเก่ออวี้ผู ในใจพวกรั่วซู่ จวินหวนต่างมืดมนไปพักหนึ่ง
นี่คือความเจ็บปวดเดียวที่ไม่อาจลบไปจากใจของพวกเขา!
หลินสวินเห็นภาพต่างๆ นี้แล้วอดกล่าวมึนงงไม่ได้ “ศิษย์พี่ทุกท่าน พวกท่านกำลังพูดอะไรกันแน่”
การแสดงออกของพวกรั่วซู่เวลานี้ราวกับจะไปสู้สุดชีวิต นี่ทำให้ในใจเขารู้สึกกดดันอย่างไม่อาจอธิบายได้
“ศิษย์น้อง ประเดี๋ยวเจ้าก็รู้แล้ว”
เสียงของรั่วซู่นุ่มนวล ตบบ่าหลินสวินพลางกล่าว “สำหรับตอนนี้ เจ้าแค่คอยดูก็พอ”
หลินสวินกล่าวอืมออกมาคำหนึ่ง ความจริงในใจเขาก็เดาได้รางๆ ทุกอย่างนี้เกรงว่าคงเกี่ยวข้องกับพลังระเบียบต้องห้ามนั่น…
“ศิษย์พี่ ลงมือได้เลยหรือไม่” จวินหวนเอ่ยถาม
“รออีกหน่อย”
รั่วซู่กล่าวอย่างใคร่ครวญ
ในที่นั้นเงียบสงัดแปลกประหลาด การประชันหมากนี้เหมือนตกอยู่ในสภาพหยุดนิ่งที่แปลกพิกล
ศัตรูเงียบไป เหมือนว่ารออะไรอยู่
ก่อนที่พวกรั่วซู่จะจากไป ก็คล้ายว่าเฝ้ารออะไรอยู่เช่นกัน
…
ทางเดินโบราณฟ้าดารา ในเขตแดนดาราที่อลหม่านและรกร้างว่างเปล่าแห่งหนึ่ง
ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หิมะน้ำแข็งต้นหนึ่งหยั่งรากกลางอากาศ รากพลิ้วไหว กิ่งก้านยืดขยายไปยังส่วนลึกของฟ้าดารา ดาวดวงโตมากมายล้อมอยู่ระหว่างกิ่งก้าน
จักจั่นทองตัวหนึ่งนอนคว่ำอยู่บนใบไม้ที่โปร่งแสงดุจหิมะน้ำแข็งใบหนึ่งในนั้น
“มหามรรคห้าสิบ อุบัติฟ้าสี่สิบเก้า รอดพ้นเพียงหนึ่ง อาไป๋ ยังจำสหายน้อยหลินสวินคนนั้นได้ไหม”
“ทำไมพูดถึงเจ้าเด็กนั่นอีกแล้ว”
เสียงหงุดหงิดหนึ่งดังขึ้น ห่างจากต้นไม้นี้ไปไม่ไกล เด็กสาวชุดขาวคนหนึ่งกำลังนั่งสมาธิ ได้ยินดังนี้ก็กล่าวพึมพำอย่างรำคาญ
ผิวของนางหมดจดเหมือนหยกขาวที่ใสบริสุทธิ์และแวววาวที่สุดบนโลก ผมยาวดำขลับทั้งศีรษะมัดไว้หลวมๆ อยู่เบื้องหลัง เผยให้เห็นใบหน้างามพริ้มเพรา คิ้วดั่งจันทร์เสี้ยว นัยน์ตางามประณีตดุจเคลือบเงา
แม้แต่เสียงก็ใสไพเราะเสนาะหู ราวกับกระดิ่งลมที่พลิ้วไหว
จักจั่นทองกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ “ปีนั้นตอนอยู่ที่ป่าต้นหม่อน ข้าเคยพูดว่าเขามาจากคีรีดวงกมล เหมือนกับคนผู้หนึ่งยิ่ง”
เด็กสาวชุดขาวมุ่นคิ้วใคร่ครวญครู่ใหญ่แล้วส่ายหัวกล่าว “ผ่านมานานมากแล้ว ข้าลืมไปนานแล้ว”
จักจั่นทองกล่าว “เจ้าก็รู้ แต่เจ้าไม่อยากให้พูดถึงเขา”
“เจ้าจะพูดถึงคนเฮงซวยที่สู้จนบ้าคลั่งนั่นอีกทำไม”
ในดวงตาของเด็กสาวชุดขาวฉายแววโหดเหี้ยม “ปีนั้นหากไม่ใช่เขาอวดดี เจ้ากับข้ามีหรือจะต้องรออยู่ที่ป่าต้นหม่อนมาตลอดเหมือนคนโง่”
“ไม่เหมือนกัน”
จักจั่นทองถอนใจเบาๆ “ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ตั้งแต่เส้นทางมุ่งสู่ฟากฝั่งฟ้าดาราถูกปิด ผู้สืบทอดอันดับหนึ่งของคีรีดวงกมลอย่างเขาก็เป็นคนเดียวที่เกือบทำสำเร็จ”
เด็กสาวชุดขาวกล่าวชัดทีละคำ “ไม่ว่าเขาจะทำเพื่อพิสูจน์ความแข็งแกร่งของตน หรืออยากจะทำลายพันธนาการที่ครอบคลุมเหนือทางเดินโบราณฟ้าดารานี้ สุดท้ายเขาก็ล้มเหลว!”
“ไม่ ไม่ได้ล้มเหลว”
จักจั่นทองพูดพลางเปลี่ยนเป็นชายหนุ่มที่บุคลิกสง่าเหนือธรรมดา สีหน้าอบอุ่นคนหนึ่งทันที เขาสวมชุดป่าน เปลือยเท้าเปล่า บนผมปักปิ่นไม้ไว้อันหนึ่ง ทั้งตัวไม่แปดเปื้อนโลกีย์
“การสร้างพันธมิตรสงครามรกร้างโบราณ มีเพื่อทำลายสามพันธนาการต้องห้ามที่ปกคลุมอยู่บนดินแดนรกร้างโบราณ แต่จนถึงวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นเจ้ากับข้า หรือพันธมิตรสงครามรกร้างโบราณคนอื่น ล้วนทำได้แค่จำศีลอยู่ใน ‘ดินแดนแห่งการทอดทิ้ง’ บนฟ้าดารานี้เท่านั้น เพราะเหตุใด”
เสียงของชายหนุ่มจักจั่นทองราบเรียบต่ำลึก “สาเหตุอยู่ที่กรงนี้ ไม่เพียงแต่ตัดความหวังของดินแดนรกร้างโบราณ ยังปิดเส้นทางมุ่งสู่ฟากฝั่งฟ้าดาราด้วย ในกรงที่เต็มไปด้วยเครื่องพันธนาการนี้ ขอแค่เป็นสิ่งมีชีวิตที่มาจากดินแดนรกร้างโบราณ ย่อมถูกมองเป็นพวกนอกรีต”
เด็กสาวชุดขาวฟังจนมึนงงพลางกล่าว “จักจั่นทอง เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่”
ชายหนุ่มจักจั่นทองเงยหน้ามองไปยังที่ห่างไกล สายตาราวกับตัดผ่านฟ้าดาราไร้ขอบเขต
“ไปหาหนึ่งรอดพ้นนั่น”
เขาพูดพลางก้าวออกไป ดาวเคลื่อนดาราคล้อย เงาร่างพลันหายไป
เด็กสาวชุดขาวกำลังจะตามไป แต่ในฟ้าดารากว้างใหญ่นี้ไม่มีเงาของชายหนุ่มจักจั่นทองแล้ว
สีหน้านางดูสับสน ครู่ใหญ่จึงกล่าวอย่างไม่พอใจ “จักจั่นทองหนอจักจั่นทอง เจ้ายังมีความลับปิดบังข้าอยู่อีกเท่าไหร่กันแน่”
“หืม?”
ทันใดนั้นเด็กสาวชุดขาวพลันสังเกตเห็น เงาร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากส่วนลึกของเขตแดนดาราที่อลหม่านและรกร้างว่างเปล่าแถบนี้
“นี่ เจ้าจะไปไหน”
เงาร่างนั้นสูงตระหง่านและผึ่งผายเป็นอย่างยิ่ง ราวกับยอดเขาสันโดษพุ่งทะลวงขึ้นฟ้า ละอองแสงมากมายร้อยถักเข้าด้วยกัน ดูประหนึ่งภาพฝันลวงตา
สามารถมองเห็นได้รางๆ ว่านี่เป็นชายที่ท่าทางโดดเด่นยิ่งคนหนึ่ง
ได้ยินดังนี้เขาหันกลับมามองเด็กสาวชุดขาวทันที
เมื่อลืมตาคู่นั้น ราวกับดวงดาวนับพันล้านท่ามกลางความว่างเปล่าโดยรอบดับสูญ เดือดพล่าน แผ่ลอยอยู่ภายใน สะท้อนปรากฏการณ์ประหลาดอันยิ่งใหญ่ที่จักรวาลผันเปลี่ยน สรรพชีวิตเกิดดับ!
แค่ถูกสายตาเขากวาดมอง ก็ทำให้เด็กสาวชุดขาวขนลุกขนชันไปทั่วร่าง จิตวิญญาณสั่นระรัว
แต่เมื่อดูอย่างละเอียด ในดวงตาของอีกฝ่ายกลับไม่มีลักษณ์ประหลาดใดอีก เผยความนิ่งสงบถึงขีดสุด ไม่มีคลื่นความรู้สึกอีกต่อไป
“ข้าก็ จะไปหาคน”
ชายคนนั้นยิ้มอย่างเบิกบานใจ หมุนตัวจากไป
‘เจ้าแซ่เฉินนี่ ปิดด่านเก็บตัวในพันธมิตรสงครามรกร้างโบราณนี้มาตลอด ไม่สนใจเรื่องทางโลก แทบจะไม่รู้สึกว่ามีตัวตน แต่ดูเหมือนว่า… จะถูกเขาหลอกแล้ว…’
เด็กสาวชุดขาวนึกถึงภาพที่ถูกสายตาของอีกฝ่ายกวาดมองเมื่อครู่ ในใจก็กดดันขึ้นมาทันที
นี่ทำให้นางตระหนักได้ว่า พันธมิตรสงครามรกร้างโบราณที่จำศีลอยู่ใน ‘ดินแดนแห่งการทอดทิ้ง’ นี้มาตลอด ไม่ได้ธรรมดาเหมือนที่นางเข้าใจ!
…
ดินแดนรกร้างโบราณ โลกชั้นล่าง
บนหอดูดาวหลวงแห่งจักรวรรดิจื่อเย่า ราชครูสองมือไพล่หลัง พิงราวกั้นทอดสายตามองไปไกล
ผืนฟ้ายังนิ่งสงบเช่นนั้น ไม่ต่างอะไรกับแต่ก่อน แต่ในสายตาเขากลับเห็นภาพน่ากลัวที่ไม่มีใครมองเห็นมากมาย
“ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง”
ราชครูพึมพำ ในดวงตาที่ใสกระจ่างราวกับทารกนั้นเผยแววทอดถอนใจอย่างยินดีออกมา
“เจ้าเฒ่า ดูพอหรือยัง”
ใต้หอดูดาวหลวง ผู้อาวุโสที่ผมเผ้าหนวดเครากระเซิง ร่างผอมเหมือนไม้ฟืนคนหนึ่งแหงนคอตะโกน
บนท้องถนนผู้คนสัญจรคลาคล่ำ แต่เหมือนไม่มีใครรับรู้ถึงการมีอยู่ของผู้อาวุโสร่างผอมคนนี้ ถึงขั้นไม่ได้ยินแม้แต่เสียง
ราชครูถาม “ละทิ้งมหามรรค หลบซ่อนมาหลายปี ตอนนี้เจ้า… อยากก้าวออกมาแล้วหรือ”
ผู้อาวุโสร่างผอมตะคอกด่า “ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีความหวังเสี้ยวหนึ่ง ถ้าไม่ไปแล้วยังจะอยู่ในสถานที่แร้นแค้นนี่อีกทำไม”
คนผู้นี้ แน่นอนว่าเป็นเฒ่าโดดเดี่ยวแห่งเรือนโอบดารานิทราบุหลัน
“แร้นแค้นหรือ… นี่เป็นถึงแดนต้นกำเนิดมหามรรคของทั่วฟ้าดารานะ…”
ราชครูพึมพำ แววตาทอดมองไปทั่วจักรวรรดิจื่อเย่า ราวกับเห็นทะเลกลืนวิญญาณที่ห่างไกล รวมถึงแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณด้วย
“ข้าถามเจ้าว่าจะไปหรือยัง”
เฒ่าโดดเดี่ยวกล่าวอย่างหงุดหงิด
“ไม่ไปได้ด้วยหรือ”
ราชครูยิ้มขื่นพลางส่ายหัว
วันนี้ราชครูของหอดูดาวหลวงแห่งจักรวรรดิจื่อเย่าและเฒ่าโดดเดี่ยวหายไปพร้อมกัน ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยดึงดูดความสนใจของผู้ใด
ในสายตาของคนทั่วไป พวกเขาดูแก่เกินไป แก่จนถึงขั้นไร้คนเหลียวแล
บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่เรียกว่าฤาษีไร้นาม
…
แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ หนึ่งในจตุโบราณสถานบรรพกาล
เล่าลือว่าแม่น้ำทุกสายทั่วหล้าหมื่นพิภพ รวมไปถึงสายน้ำในธารดาราของส่วนลึกแห่งจักรวาล สุดท้ายจะมารวมอยู่ในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ลึกลับและดึกดำบรรพ์นี้
ตั้งแต่สมัยบรรพกาล รอบด้านของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์โอบล้อมด้วยคีรีเทพห้าลูก แยกออกเป็นอิ๋งโจว เผิงไหล ฟางหู ไต้อวี่ หยวนเจี้ยว
คีรีเทพแต่ละลูกบนล่างเหยียดยาวสามหมื่นลี้ ระหว่างภูเขาห่างกันเจ็ดหมื่นจั้ง ด้านบนทะลุธารดารา ด้านล่างประชิดนรกขุมที่เก้า
แต่หลังจากศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิครั้งบรรพกาลปะทุขึ้น ภูเขาเทพห้าลูกนี้ก็หายไป แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่มีสภาพเหมือน ‘ตาสมุทร’ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เปลี่ยนจนต่างไปจากสมัยบรรพกาล
หลายปีก่อนหลินสวินที่ยังเด็กเคยเข้าไปใน ‘แดนลับอสูรมารอริยะ’ ของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ได้รับ ‘มรรคคาถา’ บทหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุดมา
และได้รับมรดกของ ‘วิชาอริยะยุทธ์’ มาด้วย
ก่อนหน้านี้ไปอีก ตอนที่ทางเดินโบราณฟ้าดารายังไม่ถูกปิด ลั่วทงเทียนเจ้าแห่งห้องโถงมรรคาสวรรค์ที่มาจากฟากฝั่งฟ้าดาราเคยปรากฏตัวในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์…
และมีข่าวลือว่า ประตูทางเข้าสำนักคีรีดวงกมลก็ตั้งอยู่ในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ด้วย
สรุปคือ แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์มีตำนานที่ลึกลับมากเกินไป
และตอนนี้ในส่วนลึกของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ก็มีเงาร่างหนึ่งค่อยๆ ตื่นจากการเก็บตัวเงียบในกาลเวลาไร้สิ้นสุดแล้วลืมตาขึ้น
“ในที่สุดก็มาถึงแล้ว…”
พริบตานี้ ไอพลังต่อสู้ที่น่าสะพรึงไร้ขอบเขตซัดสาดออกมา
………………………………..