หลังจากศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิปิดฉากลง เพราะการตายของพวกเก่ออวี้ผูทำให้เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงในหมู่ผู้สืบทอดคีรีดวงกมล
ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลที่มีลำดับห้าชื่อจวินเป็นแกนนำยึดติดจะแก้แค้น ไม่กลัวว่าต้องต่อให้สู้จนตัวตายก็ต้องชำระแค้นให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องที่ตายไปอย่างพวกเก่ออวี้ผูให้ได้
ส่วนผู้สืบทอดคีรีดวงกมลคนอื่นที่นำโดยรั่วซู่กลับไม่เห็นด้วยกับการทำเช่นนี้ คิดว่ายังไม่สบโอกาส ทำเช่นนี้บุ่มบ่ามเกินไป
ชื่อจวินจึงพาศิษย์พี่ศิษย์น้องจำนวนหนึ่งจากไปด้วยความโกรธ
ความขัดแย้งนี้ก็กลายเป็นปมในใจรั่วซู่เช่นนี้ ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดนี้ ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็จะทำให้นางหดหู่ รู้สึกผิดไม่หยุด
นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ยามเห็นพวกชื่อจวินปรากฏตัว รั่วซู่ถึงตื่นเต้นยินดีเช่นนี้
และเมื่อได้ยินคำพูดของรั่วซู่ ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลเหล่านั้นต่างเผยสีหน้าละอายใจออกมาอย่างอดไม่ได้
“ศิษย์พี่ ตอนนั้นพวกเราผิดไปแล้ว”
“คีรีดวงกมลของพวกเรา ศิษย์พี่ใหญ่ไม่อยู่นานแล้ว ศิษย์พี่รองก็ไม่รู้ร่องรอย ตอนนี้ท่านศิษย์พี่เป็นเสาหลักของพวกเราคีรีดวงกมล อย่าพูดถ้อยคำไม่เป็นมงคลเหล่านั้นอีก”
พวกเขาพากันเอ่ยปากปลอบโยนรั่วซู่
หลินสวินเห็นดังนี้ก็คิดขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า ถ้าไม่ใช่การประชันหมากน่ากลัวนี้ยังดำเนินอยู่ เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องได้พบกันอีกครั้ง พูดคคุยถึงเรื่องในตอนนั้น ร่ำสุราเคล้าบทสนทนา เช่นนั้นจะดีปานไหน
ก็ในตอนนี้เองเสียงหัวเราะเหี้ยมเกรียมเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นกะทันหัน
“รั่วซู่ พวกเจ้าจะไม่หันไปดูว่าศิษย์พี่ศิษย์น้องคีรีดวงกมลของพวกเจ้าเหล่านั้นเป็นตายร้ายดีอย่างไรหรือ”
เสียงดั่งอสนีบาต ดังก้องเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน
หลินสวินหันกลับไปทันที เห็นเพียงว่าเบื้องหลังมีแต่แสงมรรคที่เกิดขึ้นจากการห้ำหั่นดุเดือด ซัดสาดฟ้าดินอย่างไร้ขอบเขตราวกระแสธาร ไม่อาจชี้ชัดได้สักนิดว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่ตอนนี้พวกรั่วซู่พากันหน้าเปลี่ยนสี
ในครรลองสายตาของทุกคน ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่เงาร่างวิญญาณต้องห้ามร่างแล้วร่างเล่ากระโจนเข้าไปในการต่อสู้ดุเดือดตามที่ต่างๆ นั้น แต่ละตนมีประกายหมื่นจั้ง แผ่คลื่นพลังระเบียบต้องห้ามออกมา
ทันใดนั้นผู้สืบทอดคีรีดวงกมลอย่างปู่ซ่วนจื่อ เซิ่นเหยียน ชิงถิง จิ่งจงเยวี่ยต่างถูกวิญญาณต้องห้ามสองสามตนล้อมโจมตี!
เดิมทีในสถานการณ์ที่สู้กันหนึ่งต่อหนึ่งก็กินแรงผู้สืบทอดคีรีดวงกมลเหล่านี้อย่างหาใดเทียบแล้ว แม้มีพลังสู้กันซึ่งหน้า แต่คิดจะฆ่าอีกฝ่ายให้ตายกลับเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
และตอนนี้ จู่ๆ คู่ต่อสู้ก็มากขึ้น ทำให้สถานการณ์ของพวกเขาแปรเปลี่ยนเป็นอันตรายถึงขีดสุดทันที
ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลหลายคนถึงกับได้รับบาดเจ็บไปแล้ว!
ไหล่ของปู่ซ่วนจื่อถูกแทงทะลุ เลือดสดๆ ไหลเอ่อ
แผ่นหลังของจิ่งจงเยวี่ยถูกฟัน เนื้อตัวแตกยับ เห็นกระดูกอยู่รำไร
ชิงถิงกระอักเลือดอย่างต่อเนื่อง สีหน้าซีดเผือด
ร่างผู่เจินโชกเลือดราวกับกลายเป็นมนุษย์โลหิตคนหนึ่ง
…ภาพนองเลือดน่าอนาถแต่ละภาพทำให้พวกรั่วซู่ไม่สบายใจ แต่ละคนต่างหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่
ในศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิยุคบรรพกาลก็เคยมีพลังระเบียบต้องห้ามปรากฏขึ้น ทั้งยังแปรเปลี่ยนเป็นวิญญาณต้องห้ามแสงทองหมื่นจั้งตนแล้วตนเล่าเข้าสังหาร
แต่พวกรั่วซู่ต่างคิดไม่ถึงว่าวิญญาณต้องห้ามที่ปรากฏตัวขึ้นคราวนี้ จะมากมายขนาดนี้!
ครืน!
ฟ้าดินแห่งนี้คล้ายกำลังพังทลาย การต่อสู้เช่นนั้นน่าสะพรึงกลัวเกินไป
แต่ก็ในสถานการณ์อันตรายหาใดเทียบเช่นนี้เอง ไม่ว่าจะเป็นพวกหลี่เสวียนเวย จวินหวน ผู่เจิน หรือพวกปู่ซ่วนจื่อ ชิงถิง จิ่งจงเยวี่ย ต่างก็อาบเลือดโรมรัน กัดฟันสู้สุดแรง
ไม่มีคนร้องขอความช่วยเหลือ
ทั้งไม่มีการถอยร่นแต่อย่างใด!
รั่วซู่ขอบตาแดงแล้ว
นางรู้ว่าที่ไม่ร้องขอความช่วยเหลือก็เพราะกังวลว่าจะกระทบการเคลื่อนไหวของพวกเขาเหล่านี้
ที่ไม่ถอยร่นก็เพื่อชิงโอกาสให้พวกเขาจากไป!
“เจ้าโง่พวกนี้ ตกลงกันแล้วว่าจะร่วมเป็นร่วมตายกัน แต่เหตุใดพวกเจ้าถึงไม่ฟังนะ…”
รั่วซู่พึมพำ ขณะนี้ความคิดเป็นเหตุเป็นผลของนางถูกความรู้สึกที่ไม่อาจกดข่มได้จู่โจมดั่งกระแสน้ำเชี่ยว นางไม่อาจมองดูศิษย์น้องเหล่านั้นของตนประสบเคราะห์ไปต่อหน้าต่อตา
ทำไม่ได้จริงๆ!
ตั้งแต่ยุคบรรพกาล การประสบเคราะห์ของพวกเก่ออวี้ผูก็ทำให้รั่วซู่รู้สึกผิดมาถึงตอนนี้ ถ้าคราวนี้ทิ้งศิษย์น้องเหล่านี้ไปแบบนี้อีก…
ต่อให้สุดท้ายจะรอดชีวิต ชนะการประชันหมากครั้งนี้ได้ แต่คนตายหมดแล้ว… เรื่องเหล่านี้จะยังมีความหมายอะไร
“ศิษย์น้องทุกคน ศิษย์พี่ขอพวกเจ้าเพียงเรื่องเดียว พาศิษย์น้องเล็กออกไป ขอเพียงศิษย์น้องเล็กยังอยู่ สุดท้ายการประชันหมากคราวนี้ผู้ชนะจะต้องเป็นพวกเราคีรีดวงกมล!”
รั่วซู่สูดหายใจเฮือกหนึ่ง ดวงตาฉายแววแน่วแน่ เสียงนางยังนุ่มนวลเหมือนเคย แต่กลับไม่มีช่องให้กังขาได้
ทันใดนั้นหลินสวินก็รับรู้ได้ทันทีว่าสถานการณ์ชอบกล การเคลื่อนไหวของศิษย์พี่รั่วซู่นี้ คิดจะไปสู้ตายชัดๆ!
เพียงแต่ไม่ทันรอให้เขากับรั่วซู่ได้ตอบโต้ ก็เห็นว่าศิษย์พี่ชายหญิงที่อยู่ใกล้ๆ เหล่านั้นเคลื่อนไหวในทันใด
กระโจนไปข้างหลัง!
“ศิษย์พี่ เรื่องนี้ให้พวกเราจัดการเถอะ”
ศิษย์พี่ที่เหมือนเด็กหนุ่มสง่างามคนหนึ่งยิ้มละไมเอ่ยปาก
“ใช่ คีรีดวงกมลจะมีหรือไม่มีพวกเราก็ได้ แต่จะขาดศิษย์พี่ไม่ได้”
ศิษย์พี่หญิงที่รูปลักษณ์เย่อหยิ่งเย็นชาคนหนึ่งเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ
“ศิษย์พี่ อภัยให้พวกเราด้วยที่ไม่เชื่อฟังคำของท่านอีกครั้ง…”
…เสียงเหล่านั้นยังดังก้องกลางฟ้าดิน ส่วนเงาร่างของพวกเขากระโจนไปยังสนามรบนานแล้ว
ไม่คิดจะหันหลังกลับ!
พริบตานี้รั่วซู่อึ้งไป ในดวงตามีประกายน้ำตาเอ่อขึ้น
รอมาไม่รู้กี่ปี ในที่สุดถึงได้พบกันอีกครั้ง ให้อภัยความขัดแย้งในอดีต จะต้อง… จากกันอีกครั้งเช่นนี้หรือ
นางกำมือทั้งสองแน่นอยู่เงียบๆ ร่างกายสั่นเล็กน้อยเพราะกำลังจะคุมความรู้สึกไม่อยู่
นางบรรลุขั้นที่คนธรรมดาไม่อาจคาดคิดได้ในมรรคาไปแล้ว เห็นการเกิดขึ้นและดับไปของเรื่องราวในโลก รวมถึงความเป็นตายไม่แน่นอนจนเจนตามานานแล้ว
แต่ขณะนี้นางยังรู้สึกเจ็บปวดปานนั้น รู้สึกอัดอั้นจนหายใจไม่ออก เหมือนทรวงอกถูกความเศร้ากดเอาไว้
หลินสวินก็นิ่งไปแล้ว
ฝึกปราณมาจนตอนนี้ ยังไม่เคยมีครั้งไหนที่ทำให้จิตใจเขาแปรปรวนเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลงได้มากขนาดนี้ ความรู้สึกที่ยากบรรยายเหมือนน้ำท่วมปริ่มเขื่อนเข้าจู่โจมจิตวิญญาณของเขา ทำให้ชั่วพริบตานี้เขายังแทบลืมหายใจ
วันนี้ เขาเดินออกมาจากเขตต้องห้ามเซียนโบราณ ถูกเหล่าจักรพรรดิปิดล้อม แต่ละคนสูงส่ง มองเขาเหมือนเหยื่อ จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด
วันนี้ พวกศิษย์พี่รั่วซู่มาช่วยเขาสะสางความยุ่งยาก ระบายความโกรธแทนเขา หนุนหลังเขาอย่างต่อเนื่อง!
วันนี้ ภายใต้ด่านเคราะห์ระเบียบต้องห้าม ศิษย์พี่ชายหญิงเหล่านั้นแต่ละคนสู้ตายไม่คิดจะหันหลังกลับ เพื่อให้เขารอดออกไปได้…
วันนี้…
ฝึกปราณจนตอนนี้ จากเด็กหนุ่มในคุกใต้เหมืองเล็กๆ คนหนึ่ง เขาเดินมาถึงวันนี้ ผ่านอันตรายไม่รู้เท่าไร หลั่งเลือดมากมายเพียงไหน ทั้งลำบากตรากตรำมาปานใด
เดิมทีหลินสวินคิดไปเองว่าทั้งชีวิตนี้จะไม่ร้องไห้ แล้วก็จะไม่หลั่งน้ำตาอีก แต่ตอนนี้ ในตาเขากลับเอ่อไปด้วยหยาดน้ำร้อนๆ อย่างไม่อาจควบคุมได้
ศิษย์พี่ชายหญิงเหล่านั้นส่วนมากเขาเพิ่งได้เจอเป็นครั้งแรก แต่พวกเขา… กลับยอมตาย… เพื่อศิษย์น้องอย่างเขา
ขณะนี้หลินสวินเอ่ยปากอย่างอดไม่ไหวอีกแล้วว่า “ศิษย์พี่ ข้าไม่อยากจากไปเช่นนี้ หาไม่ข้าจะเสียใจไปทั้งชีวิต แล้วก็จะไม่อาจให้อภัยตัวเองได้!”
เขาชี้สนามรบอันดุเดือดอันตรายเบื้องหลัง พูดว่า “ก็เหมือนกับที่ศิษย์พี่จวินหวนว่าไว้ ข้าแค่อยาก… ร่วมเป็นร่วมตายกับทุกคน!”
รั่วซู่อึ้งไป ส่ายหน้าทันที คว้าหลินสวินไว้อย่างเด็ดเดี่ยวแล้วเดินหน้าต่อ
“เจ้าต้องรอด ที่พวกเขาเอาชีวิตเข้าแลกถึงจะมีความหมาย ดังนั้นเจ้าจะตายไม่ได้ ต่อให้ภายหน้าเสียใจแค่ไหน เสียดายเพียงใด… ก็ตายไม่ได้…”
รั่วซู่เอ่ยเสียงค่อย “อย่าหาว่าศิษย์พี่โหดเหี้ยม ภายหน้า… ถ้าเจ้าอยากจะกล่าวโทษใคร ก็ให้โทษศิษย์พี่อย่างข้าคนเดียวเถอะ”
หลินสวินเห็นสีหน้าสงบนิ่งของรั่วซู่ก็สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง สกัดน้ำตาที่กำลังจะไหลอยู่เต็มแก่ ประกายน้ำตาคลอหน่วยก็ยิ่งเอ่อขึ้นมาราวกับไอหมอก เงียบเชียบไปโดยสมบูรณ์
ความจริงแล้วเขาเดาได้ว่าในใจศิษย์พี่คงเจ็บปวดยิ่งกว่าตนแน่…
“รั่วซู่ ถ้าเจ้าไม่หันกลับมาอีก คนพวกนี้จะต้องตายทั้งหมดเหมือนเก่ออวี้ผูในตอนนั้น!”
ทันใดนั้นเสียงหัวเราะเหี้ยมเกรียมก็ดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง กังวานไปทั้งเก้าฟ้าสิบแผ่นดินราวกับเสียงระเบิด
รั่วซู่ไม่ได้หันหลังไป
แต่ในสมองของนางกลับปรากฏภาพนองเลือดหาใดเทียบภาพแล้วภาพเล่า
ใบหน้าอันคุ้นเคยแต่ละหน้าคล้ายกำลังจะหายลับไปด้วยการเผาทำลายของเลือดและเปลวเพลิง ไม่แน่ภายหน้าอาจจะไม่ได้พบกันอีกจริงๆ…
จะไม่ไปดูสักครั้งจริงๆ หรือ
ในใจรั่วซู่ดิ้นรนอย่างแรงกล้าหาใดเทียบ ทุกข์ทรมานยิ่งยวด
แต่นางรู้ดียิ่งกว่าว่าทันทีที่หันกลับไป นางก็จะควบคุมตัวเองไม่ได้ ถ้าเป็นเช่นนี้ การประชันหมากครั้งนี้ก็อาจจะแพ้ทั้งแบบนี้จริงๆ แล้ว!
“น่าขัน คนพวกนี้ตายแล้ว คีรีดวงกมลของพวกเจ้าก็จะจบสิ้นอย่างสิ้นเชิง คิดจริงๆ หรือว่าอาศัยสวะตัวจ้อยที่ชื่อหลินสวินนั่น ภายหน้าก็จะทำให้คีรีดวงกมลผงาดขึ้นอีกครั้งได้ เขายังเป็นแค่ระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิเท่านั้น!”
เสียงหัวเราะนั้นเปรียบดั่งวิญญาณร้ายไม่หายไป ตั้งใจยั่วยุรั่วซู่
รั่วซู่ไม่สนใจ และไม่หยุดเดิน
หลินสวินไม่อาจทำได้อย่างรั่วซู่ เขาเอ่ยอย่างอดไม่ได้ว่า “ศิษย์พี่ ตกลงเมื่อไรถึงจะใช้เขาปู้โจวได้ เมื่อไรถึงจะเห็นความสำเร็จ”
“จวนแล้ว”
รั่วซู่ตอบเพียงสองคำ
“ฮ่าๆๆ แพ้แล้ว พวกเจ้าผู้สืบทอดคีรีดวงกมลแพ้แล้ว! รั่วซู่ เจ้ากับเจ้าสวะตัวจ้อยนั่นก็ยากจะพ้นเคราะห์คราวนี้ไปได้!”
เสียงเหี้ยมเกรียมนั้นกลายเป็นเสียงร้องตื่นเต้นดีใจดังลั่นไปทั้งผืนเมฆแล้ว
ชั่วพริบตานี้รั่วซู่ตัวแข็งทื่อ ในที่สุดก็หันหน้า
จากนั้นก็พบว่า…
ในศึกดุเดือดเบื้องหลังนั้น หลี่เสวียนเวย จวินหวน ผู่เจิน ชื่อจวิน ปู่ซ่วนจื่อ… ต่างมีบาดแผลเต็มตัว ร่างกายเปื้อนเลือดเต็มไปหมด
เหมือนกำลังดิ้นรนราวกับสัตว์ถูกขังซึ่งจวนจะตาย
แต่ละคนต่างเจ็บเจียนตาย แต่กลับไม่ร้องขอความช่วยเหลือ ยังคงใช้พลังเฮือกสุดท้ายเข้าสู้
แพ้แล้วหรือ
ไม่ได้แพ้
แต่ขณะนี้รั่วซู่กลับมือเย็นเฉียบ ดวงตาแดงเรื่อไปหมด เพราะต่อให้นางไม่อยากยอมรับแค่ไหน แต่ก็ดูออกว่าอีกไม่นาน หรือจะพูดว่าเมื่อไรก็ได้ ศิษย์น้องเหล่านั้นก็จะถูกกำราบล้มลงไปจริงๆ…
ขณะนี้ความรู้สึกที่เก็บกลั้นอยู่ในใจมาตลอดกำลังจะปะทุขึ้นเหมือนกับเขาถล่มทะเลซัดสาด กวาดซัดสติสัมปชัญญะสุดท้ายของนางไป
ก็ในตอนนี้เอง ลมระลอกหนึ่งพัดมายังฟ้าดินแห่งนี้
วู้มๆๆ!
เสียงลมคำราม เต็มไปด้วยกลิ่นอายต่อสู้ยากบรรยาย ประหนึ่งไฟที่ฉีกกระชากความมืดมิดของท้องฟ้าสิบทิศนั้น
กลิ่นอายกดดัน ปั่นป่วน ยุ่งเหยิงกลางฟ้าดินต่างถูกสายลมระลอกนั้นพัดให้สลายไป!
ชั่วขณะนี้วังวนที่หมุนอย่างบ้าคลั่งบนเวิ้งฟ้านั้นถึงขั้นเริ่มพร่าเลือน
เหล่าจักรพรรดิ รวมถึงพวกเฒ่าดึกดำบรรพ์ที่ซ่อนตัวอยู่ในที่มืดกำลังมองดูสงครามอยู่ไกลลิบนั้น หนาวสะท้านไปทั้งตัวอย่างไม่รู้ตัว เสียวสันหลังวาบ
ขณะนี้รั่วซู่ที่เดิมคุมอารมณ์ไม่อยู่ก็เงยหน้าขึ้นมาทันที ในดวงตาแดงเรื่อทั้งสองข้างมีแววเหมือนยกภูเขาออกจากอก
ราวกับในที่สุดการรอคอยเกือบแสนปีก็มีผลลัพธ์แล้วในขณะนี้
บัดนี้ราวกับมีเสียงสะท้อนในใจ หลินสวินเงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว มองไปยังเวิ้งฟ้า สัมผัสลมที่ไม่รู้พัดมาจากที่ไหนระลอกนั้น
กลิ่นอายที่คุ้นเคย นี่เหมือนจะเป็น… พลังแห่งการต่อสู้…