บทที่ 1689 การบริจาคเงินให้โรงเรียนที่มีชื่อเสียง

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

เมื่อเห็นบิลลี่วาดไม้กางเขนบนหน้าอก ฉินสือโอวคิดว่าเขาชัก จึงจับไหล่ของเขาเขย่าด้วยแรงทั้งหมด และถามว่า “นายยังโอเคอยู่ไหม?”

บิลลี่กลอกตาไปมาด้วยความโกรธ “แน่นอนฉันยังโอเค ฉันกำลังสวดมนต์และแสดงความขอบคุณ แล้วนายทำอะไรของนาย?”

ฉินสือโอวยิ้มน้อยยิ้มใหญ่และดึงมือกลับ วินนี่ตีฝ่ามือของเขา เพราะรู้ว่าเขาตั้งใจแกล้งบิลลี่ เถียนกวาก็ตามมาตีฝ่ามือของเขา หลังจากนั้นก็รู้สึกว่าตัวเองได้เปรียบ จึงแอบหัวเราะฮึๆ อยู่ตรงนั้น

สถานที่จัดงานแต่งงานไม่มีอะไรให้แนะนำ เพราะเขาเคยประสบมาแล้วรอบหนึ่ง ครั้งนี้ก็แค่สถานที่เปลี่ยน เจ้าของงานเปลี่ยน เจ้าบ่าวเจ้าสาวเปลี่ยนเท่านั้นเอง บาทหลวงเป็นประธานเสร็จ เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวก็จะแลกแหวนแต่งงานกัน  ที่เหลือก็คือกินและดื่ม

แน่นอนว่า ก่อนหน้านั้นมีอีกหนึ่งขั้นตอนคือมอบของขวัญอวยพรให้ ของที่ฉินสือโอวกับวินนี่มอบให้คือไข่มุกสีดำกับปะการังสีแดงใต้ทะเลลึก หลังจากกล่องเปิดออก ไข่มุกสีดำลึกลับและมืดมน ปะการังสีแดงงดงามและเผ็ดร้อน ทุกชิ้นล้วนเป็นของชั้นยอด

ไม่นานหลังจากนั้นทุกคนก็กลับมาที่คฤหาสน์ มีโต๊ะยาวหลายตัวจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ ฉินสือโอวดูทำอะไรไม่ถูก นี่คือจังหวะที่ต้องกินอาหารฝรั่ง

ในตอนนั้นอาหารที่เขาใช้ในงานแต่งงานคือแบบบุฟเฟ่ต์ แบบนี้มีข้อดีคือทุกคนสามารถกินสิ่งที่ตัวเองชอบได้ ยิ่งไปกว่านั้นสามารถล้อมเป็นวงกลมมาพูดคุยกันได้ตามใจชอบอีกด้วย

ตระกูลแบรนดอนเป็นขุนนางยุคเก่า อาหารกับไวน์ที่ใช้ในการจัดงานแต่งงานจะเข้มงวดมาก ฉินสือโอวไม่ค่อยสนใจอาหารฝรั่ง แต่เหล้าขาวกับซุปครีมหอยอยู่ด้วยกันก็ไม่เลว เขาอยากได้ขนมปังมาจิ้มกินจะมีความสุขมาก สเต๊กที่อยู่ด้านหลังก็ไม่ขยับเลยเหมือนกัน ส่งมาแบบไหนก็ลงเอยแบบนั้น

บิลลี่นั่งอยู่ด้านข้างของฉินสือโอว เดิมทีด้านข้างของเขาจัดไว้ให้นักธุรกิจท้องถิ่นคนหนึ่ง เพราะชานน่ามาจึงถูกย้ายไปชั่วคราว ตอนนี้จึงเปลี่ยนเป็นชานน่าแทน

ตอนที่ทานอาหารนอกจากดื่มอวยพรให้คู่บ่าวสาวหลายครั้งแล้ว เวลาอื่นบิลลี่ก็คุยเล่นเสียงเบาๆ กับชานน่า หยอกล้อชานน่าจนยิ้มออกมาอย่างต่อเนื่อง

ฉินสือโอวเหลืองมองอยู่สองครั้ง และพูดเสียงเบาๆ กับวินนี่ “อย่าบอกนะว่าพวกเรามาครั้งนี้ ยังสามารถทำให้เกิดเรื่องดีๆ ขึ้นได้อีกด้วย?”

วินนี่หั่นสเต๊กไปด้วยยักไหล่ไปด้วย “ถ้าเป็นอย่างนั้น ครั้งนี้พวกเราก็ไม่ได้มาเปล่าๆ ถ้าบิลลี่กับชานน่าสามารถตกหลุมรักกันได้ก็ดี ฉันรู้ว่าทั้งสองคนต่างก็เป็นคนดี”

ฉินสือโอวถอนหายใจ “อาจจะไม่ คุณรู้จักบิลลี่ไม่มากพอ ผมรู้สึกว่าชานน่าจะถูกบิลลี่หลอก และเธอจะเกลียดคุณจนตาย”

ขณะที่พูด เขากวักมือเรียกบริกรให้มาเอาจานเปล่าที่ตัวเองดื่มซุปข้นหมดแล้วไป หลังจากนั้นก็ยกจานของลูกสาวที่อยู่ข้างๆ มาอย่างคล่องแคล่ว และใช้ขนมปังจิ้มกินต่ออย่างชื่นมื่น

ยัยตัวเล็กกำลังใช้ช้อนคันเล็กตักซุปดื่มอย่างมีความสุข แต่จู่ๆ มันก็ถูกยกไปเธอจึงโกรธในทันที เธอแกว่งขาเล็กๆ ยื่นมือออกไปและตะโกนว่า “ปะป๊า เกลียด! เกลียด! เกลียด!”

ฉินสือโอวแกล้งทำเป็นเช็ดมุมปากให้เธออย่างรู้ใจ และยิ้ม “อย่ากินเลย หนูยังเด็ก กินอะไรต้องควบคุม ไม่อย่างนั้นหลังจากนี้จะกลายเป็นยัยหมูอ้วน!”

ใบหน้าของวินนี่เต็มไปด้วยอาการทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นพ่อกับลูกสาวตีกัน แต่ก็เต็มไปด้วยความสุขเช่นกัน ชานน่าสังเกตเห็นฉากนี้ ตอนที่เผชิญหน้ากับบิลลี่เธอก็ยิ้มอย่างมีความสุข

หลังจากทานอาหารของหวานและไอศกรีม ฉินสือโอวก็เตรียมจะเดินออกไป บิลลี่ดึงเขาไว้และพูดเสียงเบาๆ “ฉันรู้สึกว่าฉันตกหลุมรักสาวน้อยน่ารักคนนี้ ฟาร์มปลาของนายยังมีไข่มุกสีดำอยู่อีกเยอะใช่ไหม? ฉันอยากได้บ้างวันหลัง จะทำเป็นของขวัญไปมอบให้เธอ”

ฉินสือโอวถามว่า “ต้องการเท่าไหร่?”

บิลลี่ตอบว่า “สี่ห้าเม็ดก็พอแล้ว ทำเป็นต่างหูกับจี้สร้อยคอให้เธอ ราคาประมาณเท่าไหร่?”

ฉินสือโอวตบบ่าของเขาและพูดอย่างเป็นธรรม “ต้องการเงินอะไร? ความสัมพันธ์นี้ของพวกเรา ก็ถือว่าฉันให้นาย สนับสนุนการหาภรรยาในอนาคตของนาย”

ใบหน้าของบิลลี่เต็มไปด้วยความตื้นตันใจในทันที “งั้นที่ฉันได้ยินมาว่าในมือของนายยังมีปะการังสีแดงใต้ทะเลลึกอยู่จำนวนหนึ่ง…”

“ไปไกลๆ เลย!” ฉินสือโอวเกรี้ยวกราดแบบไม่ไว้หน้าใครทันที

ในงานแต่งงาน วินนี่กับเพื่อนร่วมชั้นในลอนดอนรวมตัวกันอีกครั้ง ฉินสือโอวอยู่เล่นกับลูกสาวและเจ้าตัวน้อยพวกนี้ที่ฟาร์ม  แต่บิลลี่เดินออกไปเป็นคนแรก เขาบอกว่าเขาจะไม่ไปเก็บกู้ในมหาสมุทรแล้ว เขาจะไปสอบเข้าเรียนหลักสูตรบัณฑิตศึกษาที่มหาวิทยาลัยแห่งเวสเทิร์นออนแทริโอ

ฉินสือโอวคิดว่าเขาพูดเล่น ผลคือตอนกลางคืนชายคนนี้นั่งกดปุ่มดังแกร๊กๆ อยู่หน้าคอมพิวเตอร์ เขาได้รับจดหมายสัมภาษณ์สำหรับนักศึกษาปริญญาโทมหาวิทยาลัยไอวีลีกจริงๆ

“นายเอาจริงเหรอ?”

“แน่นอน ฉันทำงานไม่จริงจังตอนไหน?” บิลลี่พูดอย่างหมดความอดทน

ฉินสือโอวถามด้วยความแปลกใจ “แต่นักศึกษาปริญญาโทต้องสอบเข้า นายไม่ต้องสอบก็เข้าไปสัมภาษณ์ได้เหรอ?”

บิลลี่ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ และรัวนิ้ว “นายอาจจะไม่รู้ ฉันเคยบริจาคเงิน 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้โรงเรียนเก่าของฉันเพื่อนำไปปรับปรุงห้องวิจัย ดังนั้น ถ้าฉันต้องการจดหมายเชิญเข้าเป็นนักศึกษาปริญญาโทนั้นง่ายมาก อาจารย์บางคนเต็มใจรับฉันอยู่แล้ว”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ฉินสือโอวก็นึกถึงกลเม็ดบางอย่างในมหาวิทยาลัยที่อเมริกาขึ้นมาได้ นั่นก็คือการบริจาคเงินของบัณฑิต

มหาวิทยาลัยชั้นนำในยุโรปและอเมริกานั้นเพื่อพิสูจน์ความยุติธรรมของตัวเอง พวกเขาจะเน้นย้ำเสมอว่าการรับสมัครนักศึกษาของตัวเองคือ การเพิกเฉยความต้องการ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เวลาที่รับสมัครไม่ว่านักเรียนจะสามารถค่าเล่าเรียนได้หรือไม่ ขอเพียงแค่เกรดถึงตรงตามความต้องการ นั่นก็สามารถเข้ารับการศึกษาได้ ตัวอย่างเช่นมหาวิทยาลัยอย่างฮาร์วาร์ดจะยกเว้นค่าเล่าเรียนสำหรับนักเรียนที่ยากจนหรือชนชั้นกลางให้

โรงเรียนที่มีชื่อเสียงบางทีอาจจะทำแบบนี้จริง แต่นั่นคือพวกเขาซื้อชื่อเสียงให้ตัวเอง ความจริงพวกเขามีวิธีสร้างรายได้แบบอื่นอยู่ นั่นก็คือรับบัณฑิต

การบริจาคและการรับเข้าเรียน กลายเป็นกติกาซ่อนเร้นอย่างหนึ่งของมหาวิทยาลัยในยุโรปและอเมริกา ไม่ใช่แค่ว่ามหาวิทยาลัยจะตอบแทนหลังจากคนรวยบริจาคเงิน แต่มหาวิทยาลัยที่มีความทะเยอทะยานสูง ก็มักจะรีบรับลูกของคนรวยเข้าเรียนเหมือนกัน พวกเขาจะเอาอกเอาใจคนรวยอย่างไม่หยุดหย่อน และคาดหวังว่าจะได้รับการบริจาคเงินจำนวนมาก

จากการสำรวจทางสังคมสำรวจ ขอเพียงแค่สนับสนุน 2 แสนดอลลาร์สหรัฐ  นักเรียนก็สามารถถูกมหาวิทยาลัยเอกชนทั่วไปรับเข้าเรียนได้ก่อนเป็นพิเศษ มหาวิทยาลัยที่ค่อนข้างโดดเด่น จำนวนเงินที่ได้รับจะสูงถึง 5 แสนดอลลาร์สหรัฐ ยิ่งไปกว่านั้นผู้ปกครองของนักเรียนจะต้องสัญญาว่าในอนาคตจะบริจาคเงินมากยิ่งขึ้น

มหาลัยที่โดดเด่นกว่านั้นอีก ตัวอย่างเช่นมหาวิทยาลัยที่จัดอยู่ใน 25 อันดับแรก ต้องบริจาคเงินอย่างน้อย 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐถึงจะได้รับวุฒิในการเข้าเรียน และมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง 10 อันดับแรกพวกนั้น การบริจาคเงินหลายล้านดอลลาร์สหรัฐก็แค่ผ่านเกณฑ์

ดังนั้นที่สหรัฐอเมริกากับแคนาดา ลูกของคนที่มีเงินกับคนที่ไม่มีเงินจะไม่มีโอกาสแข่งขันกันอย่างยุติธรรมโดยสมบูรณ์

ก็เอากอร์ดอนกับไวส์ที่ทะเลาะกันทุกวันมาเป็นตัวอย่าง ถ้าไม่ใช่เออร์บักรับเลี้ยงเด็กพวกนั้น แม้แต่โอกาสเข้าเรียนพวกเขาก็ไม่มี แล้วไวส์ล่ะ? ตอนนี้เขาฝึกศิลปะการต่อสู้ทุกวัน แต่หลังจากนั้นอย่างน้อยก็สามารถเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงอย่างมหาวิทยาลัยชิคาโกได้ เพราะพ่อแม่และพวกปู่ย่าตายายของเขาใช้การบริจาคเงินปูทางเข้ามหาวิทยาลัยไว้ให้เขาแล้ว

ระบบทุนนิยมที่ชั่วร้าย ท่านชายฉินคิดอย่างไม่เข้าใจ นายทุนพวกนี้ครอบครองทรัพยากรมากมายของสามัญชนคนทั่วไปไว้ แบบนั้นครอบครัวที่ยากจนจะให้กำเนิดลูกได้อย่างไรล่ะ?

วินนี่กลับมาทีหลัง เขาจึงถามว่า “ผมว่า ที่รัก คุณเคยคิดจะบริจาคเงินให้โรงเรียนของพวกคุณบ้างไหม?”

วินนี่เช็ดเครื่องสำอางออกและพูดว่า “ตอนที่เข้าเรียนเคยคิดนะ แต่ตอนนี้ไม่คิดแล้ว”

ฉินสือโอวถามว่า “ทำไมถึงคิดแบบนั้น?”

วินนี่ยักไหล่ “เพราะตอนที่เข้าเรียนฉันยังเด็กมากล่ะมั้ง แต่ตอนนี้ฉันโตแล้ว เกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆ คุณถึงคิดจะถามคำถามนี้?”

………………………