เอมิ นานาโกะเองก็ยังกล่าวอีกว่า “ใช่นานาโกะ ตอนนี้เธอควรเป็นตัวแทนของพ่อเธอในการยืนขึ้นหน้าเวที ให้พ่อของเธอสั่งสอนและให้คำแนะนำแก่เธออยู่เบื้องหลัง”

อิโตะพยักหน้าเบา ๆ และพูดว่า “ตกลง ฉันจะพยายามทำให้ดีที่สุด!”

นางาฮิโกะ อิโตะและ เอมิ นานาโกะ เมื่อเห็นว่านานาโกะรับปากอย่างง่ายดายก็ค่อยโล่งใจ

นางาฮิโกะ อิโตะย่อมมีความหวังที่สูงมากต่อลูกสาวของตน เพียงแต่ก่อนหน้านี้นานาโกะหมกมุ่นอยู่กับศิลปะการต่อสู้ และไม่สนใจในการดำเนินงานและการจัดการธุรกิจของตระกูลมากนัก

ในขณะนั้นนางาฮิโกะ อิโตะ ยังคงกังวลว่าจะทำอย่างไรให้ลูกสาวของตนค่อยๆ หันมาจดจ่ออยู่กับการสืบทอดอุตสาหกรรมของตระกูล

แต่เดิมเขาคิดว่า ร่างกายของตนยังคงแบกมันเอาไว้ได้อีกกว่าสิบปี แบบนี้ก็สามารถให้อิโตะ นานาโกะได้มีเวลาอิสระเพิ่มขึ้นอีกหลายปี

คิดไม่ถึงว่าในพริบตาสิ่งต่าง ๆ จะเปลี่ยนไปมากมายขนาดนี้

แม้ว่าในวัฒนธรรมญี่ปุ่น ส่วนใหญ่จะมีรากฐานมาจากประเทศจีน แต่ว่าก็ได้มีการพัฒนาในท้องถิ่นไปแล้วไม่มากก็น้อย

ในประเทศจีน ประกอบการส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์เป็นอันดับแรก และไม่สนใจภาพลักษณ์ภายนอกมากนัก

อย่างไรก็ตาม ในญี่ปุ่น สืบเนื่องมาจากหลังการฟื้นฟูสมัยเมจิ ส่งผลให้มีความเป็นตะวันตกในระดับสูง ดังนั้นผู้ประกอบการชาวญี่ปุ่นนั้นให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ภายนอกขององค์กรเป็นอย่างมาก

ขอยกตัวอย่างที่ง่ายที่สุด หากเป็นพนักงานในบริษัทญี่ปุ่น ในช่วงฤดูร้อนจะต้องปวดหัวอย่างยิ่ง

เนื่องจากบริษัทญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ล้วนให้พนักงานของพวกเขาสวมเสื้อผ้าเป็นทางการในเวลาทำงาน แม้แต่ในช่วงกลางฤดูร้อน พวกเขายังต้องสวมเสื้อเชิ้ตและชุดสูท หรือแม้กระทั่งสวมเนคไท

ดังนั้น ผู้ประกอบการชาวญี่ปุ่นหากจัดงานแถลงข่าวหรือเข้าร่วมกิจกรรมสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ล้วนต้องแต่งกายด้วยชุดทางการ

อีกทั้งคนญี่ปุ่นนั้นยังชอบคำนับ เมื่อใดก็ตามที่ฝ่ายหนึ่งกำลังพูด อีกฝ่ายก็จะยืนขึ้นและโค้งคำนับ 90 องศาจากนั้นจึงนั่งลงและเอ่ยพูดต่อ

ดังนั้น สภาพของนางาฮิโกะ อิโตะในตอนนี้นั้น ไม่เหมาะที่จะเป็นตัวแทนขององค์กรต่อภายนอก

แม้ว่าอิโตะ นานาโกะจะยังเด็ก แต่เธอมีภาพลักษณ์ที่ยอดเยี่ยม อีกทั้งยังสอดคล้องกับสุนทรียศาสตร์ของญี่ปุ่นอย่างยิ่ง การให้เธอเป็นผู้รับผิดชอบงานภายนอก สำหรับตระกูลอิโตะแล้วถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

เย่เฉินเองก็คาดหวังกับอิโตะ นานาโกะเช่นด้วย เขาเอ่ยปากให้กำลังใจ “ถ้านานาโกะเข้ามารับช่วงของตระกูลอิโตะ ถือได้ว่ามีศักยภาพพอที่จะทำให้ตระกูลอิโตะกลายเป็นองค์กรที่โด่งดัง ถึงตอนนั้นสื่อจะต้องเล่นข่าวภาพลักษณ์ของประธานหญิงสาวสวยอย่างแน่นอน หากภาพลักษณ์ประธานสาวสวยของนานาโกะประสบความสำเร็จ ถึงตอนนั้นก็จะช่วยให้ตระกูลอิโตะสามารถบรรลุผลลัพธ์เป็นสองเท่าโดยใช้แรงเพียงแค่ครึ่ง”

อิโตะ นานาโกะได้ยินคำพูดของเย่เฉิน เธอก็รู้สึกอายอยู่บ้าง และเอ่ยด้วยใบหน้าแดงก่ำ “เย่เฉินซังอย่าได้ล้อนานาโกะเล่นสินะ ฉันไหนเลยจะมีบุคลิกของประธานสาวสวย นี่ไม่มีอะไรมากไปกว่าการไล่ให้เป็ดขึ้นคอน ทำในสิ่งที่ต้องทำก็เท่านั้นเอง”

เย่เฉินกล่าวอย่างจริงจังว่า “อย่าได้ดูถูกตัวเองเป็นอันขาด อาศัยภาพลักษณ์และบุคลิกที่สมบูรณ์แบบของเธอ ในอนาคตจะต้องกลายเป็นผู้ประกอบการสาวสวยที่ทั้งญี่ปุ่นชมชอบอย่างบ้าคลั่งแน่ ดีไม่ดีอาจกลายเป็นเช่นนามบัตรของธุรกิจญี่ปุ่นในต่างประเทศ”

อิโตะ นานาโกะถูกเย่เฉินเอ่ยชมขนาดนี้ ในใจของเธอก็ทั้งอายทั้งยินดี บวกกับที่เธอก็ยังเป็นแค่สาววัยแรกรุ่นที่เพิ่งจะมีอารมณ์ความรักตัวเล็ก ๆคนหนึ่ง ในเรื่องแบบนี้เธอไม่มีความสามารถที่จะไปซ่อนเอาไว้ได้อย่างสิ้นเชิง ดังนั้นจึงทำได้เพียงก้มหน้างุดมากขึ้นเรื่องๆเท่านั้น

นางาฮิโกะ อิโตะเห็นความผิดปกติของบุตรสาวในทันที ในตอนนี้ เขามั่นใจแล้วว่า ลูกสาวของเขาตกหลุมรักเย่เฉินชายหนุ่มชาวจีนคนนี้

หลังจากสังเกตอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ยิ่งมั่นใจในความคิดของตนเองมากขึ้น

ในเวลานี้ ในฐานะพ่อ ในใจส่วนลึกของเขารู้สึกเศร้าอยู่บ้าง แต่ในขณะเดียวกัน เขารู้สึกดีใจอยู่บ้างต่อวุฒิภาวะทางอารมณ์นี้ของบุตรสาว

ดังนั้น เขาจึงเอ่ยปากว่า “เอมิ นานาโกะ พวกเธอสองคนออกไปก่อน ฉันมีเรื่องบางอย่างอยากจะคุยกับคุณเย่เป็นการส่วนตัว!”