เอมิ นานาโกะจัดขบวนรถไปเป็นเพื่อนด้วยอย่างรวดเร็ว ขณะที่เย่เฉินยังคงขับรถที่ตนขับมาไป

อิโตะ นานาโกะเองก็เข้าไปนั่งอยู่ในรถของเย่เฉินอย่างไม่ลังเล

จากนั้น เย่เฉินก็ขับรถไปที่คฤหาสน์ของตระกูลอิโตะในโตเกียวภายใต้การนำของขบวนรถด้านหน้า

แม้ว่าโตเกียวจะเป็นเมืองที่ที่อยู่อาศัยและที่ดินแพงที่สุดในโลกเมืองหนึ่ง แต่ว่าตระกูลอิโตะเองก็มีครอบครองคฤหาสน์ส่วนตัวเอาไว้ที่นี่ด้วยเช่นกัน

คฤหาสน์ทั้งหมดใช้การออกแบบตามสไตล์อาคารโบราณของญี่ปุ่น แม้จะเรียบง่ายอย่างมาก แต่ก็เผยให้เห็นความหรูหราถ่อมตนในทุกๆที่

เย่เฉินพบว่า แม้แต่ไม้ที่ใช้สร้างคฤหาสน์ก็มีความพิเศษอยู่

ดูเหมือนว่า ตระกูลใหญ่อันดับต้น ๆ นั้นจะมีเงินจำนวนมากเกินไปจนไม่มีที่จะใช้ ดังนั้นเมื่อทำการก่อสร้างและตกแต่งบ้านพวกเขาจึงพยายามอย่างเต็มที่ หากสามารถใช้ของระดับไฮเอนด์ได้ พวกเขาก็ไม่มีทางใช้ของธรรมดาเป็นอันขาด และหากสามารถใช้นำเข้าได้ พวกเขาก็จะไม่ใช้ของในท้องถิ่นแน่

พูดไปแลวสุดท้ายก็คือ เลือกอันที่แพงเท่านั้น ไม่ใช่อันที่ใช่

เนื่องจากเอมิ นานาโกะ โทรมาล่วงหน้า คนรับใช้ของคฤหาสน์ตระกูลอิโตะทั้งหมดจึงแต่งกายอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยและยืนรออยู่ที่ประตูของคฤหาสน์ ในสนาม และภายในคฤหาสน์อย่างเคารพนอบน้อม

เย่เฉินจอดรถไว้ ภายใต้การนำของอิโตะ นานาโกะ เขาเดินผ่านลานภายในอันงดงาม ระหว่างที่เดินไปถึงประตูคฤหาสน์ คนรับใช้ทุกคนล้วนโค้งคำนับ 90 องศาให้ด้วยท่าทีที่อ่อนน้อมถ่อมตนอย่างมาก

คฤหาสน์ของตระกูลอิโตะในโตเกียวเป็นอาคารไม้ขนาดใหญ่หลายชั้น อาคารทั้งหลังมองดูแล้วคล้ายวัดโบราณขนาดใหญ่ และพื้นที่ภายในมีขนาดใหญ่จนน่าประหลาดใจ

ทันทีที่เขามาถึงประตูห้องโถงใหญ่ อิโตะ นานาโกะจู่ๆก็ก้มลงและคุกเข่าลงบนพื้น ก่อนจะแบมือติดกัน และเอ่ยกับเย่เฉิน “เย่เฉินซัง ได้โปรดให้นานาโกะเปลี่ยนรองเท้าแตะให้คุณ!”

เย่เฉินตะลึงไปและโบกมืออย่างรวดเร็ว “ไม่ต้องไม่ต้อง เอารองเท้าแตะให้ฉันเถอะ ฉันทำเองก็ได้แล้ว”

อิโตะ นานาโกะกลับยังคงยืนกรานว่า “ให้นานาโกะช่วยเย่เฉินซังเปลี่ยนให้เถอะค่ะ นี่เป็นประเพณีของญี่ปุ่น เย่เฉินซังถือซะเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม”

เย่เฉินคิดในใจ ประเทศจีนของเราชายหญิงเสมอภาคกันแล้ว ทำไมในญี่ปุ่น ผู้หญิงยังต้องคุกเข่าเปลี่ยนรองเท้าให้ผู้ชาย?

แต่เมื่อคิดอีกแง่หนึ่ง เนื่องจากนี่คือธรรมเนียมของผู้อื่น พวกเขาอาจไม่คิดว่านี่มีอะไรไม่เหมาะสม หากตนยังยืนกรานที่จะต่อต้าน แบบนั้นกลับถือเป็นการฝ่าฝืนกฎของอีกฝ่ายแทน

ดังนั้นเขาจึงต้องยกเท้าขึ้นและพูดอย่างจริงใจว่า “แบบนั้นก็ลำบากคุณหนูนานาโกะแล้ว”

อิโตะ นานาโกะที่บนตัวยังคงสวมชุดกิโมโนมองขึ้นไปที่เย่เฉิน เธอยิ้มอย่างเขินอาย งดงามอย่างไม่มีใครเทียบได้

จากนั้น ทั้งสองมืออ่อนนุ่มของเธอก็ค่อยๆ ยกเท้าของเย่เฉิน จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นรองเท้าแตะให้เขาอย่างอบอุ่น และค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนก่อนจะพูดกับเย่เฉินว่า “เย่เฉินซัง เชิญค่ะ!”

เย่เฉิน พยักหน้าเล็กน้อยและเดินเข้าไปกับเธอ

อิโตะ นานาโกะเอ่ยแนะนำให้เขา “คฤหาสน์หลังนี้มีประวัติมาอย่างยาวนานกว่าร้อยปีแล้ว ในช่วงแผ่นดินไหวที่คันโต มันเคยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง เนื่องจากค่าซ่อมแซมสูงเกินไป ดังนั้นจึงถูกคนละเลยมาตลอด ภายหลังคุณพ่อซื้อมันขึ้นมา จากนั้นจึงใช้เงินจำนวนมหาศาลซ่อมแซมมันขึ้นมา ถึงค่อยเป็นเช่นทุกวันนี้”

เย่เฉินถามด้วยความสงสัย “คุณอิโตะดูคล้ายจะชอบคฤหาสน์เก่าแบบนี้เป็นพิเศษใช่ไหม? คฤหาสน์ในเกียวโตหลังนั้น มองดูแล้วยังแก่กว่าหลังนี้มาก”

อิโตะ นานาโกะเอ่ยยิ้มอย่างอ่อนหวาน “อันที่จริงเป็นเพราะฉันชอบสถาปัตยกรรมสไตล์นี้ค่ะ หลังจากที่ฉันย้ายจากเกียวโตมาที่โตเกียวตอนอายุ 14 ฉันก็ไม่เคยชินกับการใช้ชีวิตในโตเกียวเลย ดังนั้นคุณพ่อก็เลยซื้อที่นี่และใช้เงินเป็นจำนวนมากเพื่อซ่อมแซมมัน ก่อนจะกลายมาเป็นดั่งเช่นในตอนนี้”

พูดไป อิโตะ นานาโกะก็เอ่ยอย่างเต็มไปด้วยความรู้สึก “แต่ว่าฉันยังคงชอบเกียวโตมากกว่าอยู่ดี”

เย่เฉินพยักหน้าและกล่าวว่า “คฤหาสน์หลังนี้มีความเงียบท่ามกลางความวุ่นวาย มีกลิ่นอายแบบโบราณ ถือได้ว่าดีมากแล้ว แต่ว่าหลังนั้นในเกียวโตก็ดีกว่าจริงๆ”

อิโตะ นานาโกะพูดอย่างเศร้าใจอยู่บ้าง “คุณพ่อขอให้ฉันดูแลกิจการตระกูล จากนี้ไปดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยมีโอกาสได้กลับไปแล้ว…”

พูดจบ เธอก็เงยหน้าขึ้นมองเย่เฉิน และเอ่ยถามอย่างอ้อนวอนอยู่หลายส่วน “เย่เฉินซัง นานาโกะมีคำขอร้องอยู่เรื่องหนึ่ง ไม่ทราบว่าคุณพอจะรับปากได้หรือไหม”