เย่จื่อเก็บกลั้นความยินดีไม่อยู่ เอ่ยต่อว่า “ถ้าข้าสันนิษฐานไม่ผิด กล่องกระบี่นี้น่าจะมีชื่อว่า ‘โลกกระบี่’ สิ่งที่ซ่อนอยู่ในกล่องกระบี่ไม่ได้เป็นดาบคมศาสตราวิเศษอะไร แต่เป็นโลกให้วิญญาณกระบี่ฝึกฝนได้แห่งหนึ่ง”

“โลกแห่งนี้แปลงมาจากยอดกฎเกณฑ์มรรคกระบี่ ต้นไม้ใบหญ้า ภูผาธาราหมื่นลักษณ์ต่างมีแก่นอัศจรรย์สูงสุดของมรรคกระบี่ประทับอยู่!”

ได้ยินดังนี้หลินสวินก็หน้าเปลี่ยนสีอย่างอดไม่ได้ เอ่ยว่า “สิ่งนี้เหมือนเขตแดนกระบี่มาก”

เย่จื่อพยักหน้ารัวๆ “ใช่ เขตแดนกระบี่คือภาพสะท้อนมรรควิถีของตัวผู้ฝึกกระบี่ แต่โลกกระบี่เป็นโลกจริงๆ แห่งหนึ่ง ทั้งสองมีจุดที่คล้ายคลึงกัน ที่ต่างกันก็คือโลกกระบี่แห่งนี้มีอยู่จริง”

พูดถึงตรงนี้เขาก็ทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้ “หลอมโลกมรรคกระบี่ในกล่องกระบี่ใบหนึ่งได้ วิชาเช่นนี้เกรงว่าบรรพจารย์จักรพรรดิมรรคกระบี่ยังทำได้ยากนัก…”

หลินสวินนัยน์ตาแข็งทื่อ บรรพจารย์จักรพรรดิยังทำได้ยากหรือ

เรื่องนี้น่าเหลือเชื่ออย่างไม่ต้องสงสัย!

“ระดับจักรพรรดิอาจครอบครองอานุภาพทำลายล้างโลกแห่งหนึ่งได้ แต่คิดจะสร้างโลกแห่งหนึ่งกลับยากเสียยิ่งกว่ายาก รู้ไหมว่าผู้ที่ควบคุมพลังเช่นนี้ได้ก็เหมือนเจ้าผู้สร้างสรรพสิ่งแล้ว”

เย่จื่อเอ่ย “แต่ว่า โลกกระบี่แห่งนี้พิเศษนัก เหมือนบุกเบิกขึ้นเพื่อวิญญาณกระบี่โดยเฉพาะ และมีเพียงวิญญาณกระบี่อย่างข้าถึงเข้าไปฝึกปราณในนั้น หยั่งรู้กฎเกณฑ์มรรคกระบี่ที่อยู่ในโลกแห่งกระบี่นั่นได้”

หลินสวินถึงตระหนักได้ในยามนี้ ว่าเหตุใดหลังจากกล่องกระบี่นี้ตกอยู่ในมือของนักพรตเอ้อถึงถูกผนึกไว้ตลอด ที่แท้สิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกปราณจะใช้ได้อยู่แล้ว

“การฝึกปราณในนั้น ไม่เพียงทำให้ข้าฟื้นฟูอาการบาดเจ็บได้รวดเร็วยิ่งขึ้น มิหนำซ้ำยังสามารถหยั่งรู้ได้ถึงกฎเกณฑ์มรรคกกระบี่ที่พิศวงยิ่งขึ้นด้วย…”

เย่จื่อดูตื่นเต้นนัก

หลินสวินก็ดีใจแทนเขา

อู้เชวียมีธนูวิญญาณไร้แก่นสาร วิญญาณดาบหักมีดาบหัก ดังนั้นจึงอาศัยการหลอมศาสตราจักรพรรดิมาฟื้นพลังได้ มีเพียงเย่จื่อเท่านั้นที่เสียเปลือกนอกของตนไป จึงไม่อาจทำเช่นนี้ได้

ตอนนี้พอมีกล่องกระบี่ที่ภายในบรรจุโลกกระบี่ลึกลับไว้นี้ เย่จื่อก็เหมือนมีถ้ำสถิตไว้ฝึกปราณได้แห่งหนึ่ง ไม่ต้องเอาแต่หลบอยู่ในเส้นผมเขาเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว

เย่จื่อเอ่ยกับหลินสวินอย่างเกรงใจอยู่บ้าง “หลินสวิน โลกที่ซ่อนอยู่ในกล่องกระบี่นี้จะถูกเก็บไปไม่ได้ ภายหน้าก็ทำได้แค่อาศัยเจ้าแบกขึ้นหลังไปแล้ว”

“นี่จะไปยากอะไร เรื่องเล็กนิดเดียว”

หลินสวินยิ้ม

เย่จื่อเข้าโลกกล่องกระบี่ไปฝึกปราณตั้งแต่วันนี้

และช่วงหนึ่งในภายหลัง โลกมืดก็มีคนร้ายกาจชั้นยอดที่เดินสะพายกล่องกระบี่ไว้ข้างหลังเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง

……

หลายวันผ่านไป

“ผู้อาวุโส แย่แล้ว”

จี้เหลิ่งรีบร้อนเข้ามา ยืนรายงานข่าวอยู่นอกโถงเรือน

ตอนนี้เขาเรียกหลินสวินว่า ‘ผู้อาวุโส’ ได้คล่องปากยิ่งขึ้นแล้ว

ต่อให้เขาดูออกว่าหากว่ากันด้วยอายุกระดูกของผู้ฝึกปราณแล้ว ความจริงหลินสวินอ่อนวัยยิ่งนัก แต่ในความเห็นของจี้เหลิ่ง เรียกอีกฝ่ายว่าผู้อาวุโสก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล

ไม่มีสิ่งอื่นใด บนหนทางฝึกปราณ ผู้บรรลุสูงกว่าสำคัญกว่า!

“เกิดอะไรขึ้น”

ในตำหนัก หลินสวินตื่นขึ้นจากการนั่งสมาธิ

“หลังจากได้ยินข่าวนักพรตเอ้อถูกฆ่า นักเชือดเมิ่ง เจ้าเมืองเมืองปีศาจเพลิงที่ห่างจากพวกเราไปเก้าพันลี้ก็พาลูกสมุนฝีมือดีบุกมาแล้วขอรับ”

จี้เหลิ่งสีหน้าสงบนิ่ง ไม่ได้ตื่นตระหนก

นักเชือดเมิ่งเป็นคนร้ายกาจที่เคยเอาชนะนักพรตเอ้อได้ แต่เทียบกันแล้วจี้เหลิ่งกลัวผู้อาวุโสเต้ายวนที่อ่อนวัยเกินเหตุตรงหน้านี้เสียมากกว่า

“ไม่ต้องสงสัยว่าพวกเขาต้องอยากมาควบรวมเมืองผีครอบงำแน่!”

จี้เหลิ่งพูดถึงตรงนี้ก็เผยสีหน้าลำบากใจอย่างอดไม่อยู่ เอ่ยว่า “ดังนั้น… ดังนั้นข้าน้อยทำได้เพียงมาขอร้องผู้อาวุโสแล้ว”

หลินสวินถอนหายใจ

นี่เพิ่งสงบไปไม่กี่วันก็มีความยุ่งยากมาถึงที่อีกแล้ว…

“ไป”

หลินสวินลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปนอกตำหนัก

จี้เหลิ่งพลันฮึกเหิม กระปรี้กระเปร่าเป็นไก่แจ้แก่ เดินตามไปติดๆ เหมือนสุนัขรับใช้อย่างยิ่ง

……

นอกเมือง

ฟ้าดินอึมครึม เงาร่างแถวหนึ่งยืนอยู่กลางอากาศ กลิ่นอายพิฆาตที่แผ่ออกมาทั้งร่างทำเอาฟ้าดินยังหม่นหมอง

ผู้นำเป็นชายวัยกลางคนร่างผอมแห้งท่าทางเหมือนบัณฑิต แต่งกายชุดนักพรต มือถือพัดขนนก

ถ้าไม่ได้เห็นกับตา เกรงว่าใครก็คงคิดไม่ถึงว่าชายวัยกลางคนร่างผอมแห้งผู้นี้ก็คือมกุฎมหาอริยะเจ้าเมืองปีศาจเพลิง มีฉายาว่า ‘นักเชือดเมิ่ง’

“จำไว้ คราวนี้พวกเรามาหยั่งเชิงจี้เหลิ่งคนนั้น ทันทีที่สถานการณ์ไม่ชอบมาพากลพวกเราก็จะไปทันที”

นักเชือดเมิ่งโบกพัดเบาๆ แววตาวาววาบ

มีคนเอ่ยว่า “ท่านเจ้าเมือง การตายของนักพรตเอ้อจะต้องเกี่ยวข้องกับจี้เหลิ่งคนเจ้าเล่ห์ชั่วช้านั่นชนิดแยกกันไม่ออกแน่ๆ ส่วนเจ้าคนที่ชื่อ ‘เต้ายวน’ บ้าบออะไรนั่น เห็นได้ชัดว่าเป็นตัวแทนที่จี้เหลิ่งสร้างขึ้นมาเพื่อปิดหูปิดตาคน”

นักเชือดเมิ่งแววตาโหดเหี้ยม “ถ้าเป็นเช่นนี้จริง วันนี้พวกเราก็เอาเมืองผีครอบงำมาให้ได้ก็พอ แต่ก็ต้องระวังไว้ อย่างไรก็มาหยั่งเชิงเป็นหลัก”

“มาแล้ว”

มีคนเอ่ยขึ้น

ก็เห็นว่าท้องฟ้ากว้างเหนือประตูเมืองที่อยู่ไกลออกไปมีเงาร่างสูงสง่าโดดเด่นปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ แบกกล่องกระบี่ใบหนึ่งไว้บนหลัง สง่างามเกินทั่วไป

เบื้องหลังเขา จี้เหลิ่งตามมาเหมือนสุนัขรับใช้ตัวหนึ่ง ดูนอบน้อมหาใดเทียบ

ภาพนี้ทำให้นักเชือดเมิ่งนัยน์ตาหดรัด หนังตากระตุกรุนแรงไปครู่หนึ่ง จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าเหมือนตนจะเดาผิดแล้ว

เจ้าเมืองจี้เหลิ่งคนนี้ยังเหมือนตัวแทนเสียกว่า!

“จี้เหลิ่ง ท่านเจ้าเมืองของพวกเราได้ยินว่าเจ้าเป็นเจ้าเมืองเมืองผีครอบงำนี้แล้วจึงมาแสดงความยินดีโดยเฉพาะ”

คนผู้หนึ่งเอ่ยเสียงน่ากลัว “อีกอย่าง พวกเราก็อยากจะเห็นเสียหน่อย ว่าเต้ายวนที่ฆ่านักพรตเอ้อตายคนนั้นเป็นผู้แข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่”

กลับเห็นว่าจี้เหลิ่งไม่สนใจสักนิด แต่ก้มหน้าก้มตาสงบเสงี่ยมอยู่ด้านหนึ่ง เอ่ยเสียงประจบว่า “ผู้อาวุโส เจ้าคนที่อยู่ตรงกลางนั่นก็คือนักเชือดเมิ่ง อย่าเห็นว่าเขาคล้ายบัณฑิต ความจริงแล้วใจคอร้ายกาจ สองมือย้อมเลือด ชื่อเรียกนักเชือดนี้ก็ได้มาเพราะเหตุนี้”

ภาพแบบนี้ทำให้ใจนักเชือดเมิ่งยิ่งฉงนไปครู่หนึ่ง

“ผู้อาวุโสหรือ ฮ่าๆๆ จิ้งจอกเฒ่าอย่างเจ้าจี้เหลิ่งจะเล่นแผนชั่วอะไรอีก ถึงกับเรียกชายหนุ่มคนหนึ่งว่าผู้อาวุโส ไม่อายหรือไง”

คนผู้หนึ่งหัวเราะเสียงดังขึ้นมา

จี้เหลิ่งก็ยิ้ม นั่นเป็นการยิ้มเวทนา ในใจเขามีความรู้สึกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก อยากให้เจ้าพวกนี้เต้นแร้งเต้นกาให้สนุกเสียหน่อย รอตอนถูกล้มจะต้องถึงอกถึงใจแน่

แต่หลินสวินคร้านจะฟังต่อแล้ว สำหรับเขาในตอนนี้เวลาเป็นสิ่งมีค่า สิ้นเปลืองไปกับคนพวกนี้ไม่คุ้มเลยสักนิด

ดังนั้นเมื่อนักเชือดเมิ่งไตร่ตรองก่อนพูดเสร็จ กำลังจะเอ่ยปากเตรียมหยั่งเชิง หลินสวินก็ลงมือแล้ว

เขายืนอยู่กลางอากาศ สะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่ง

ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนที่กำลังจับตามองอย่างใกล้ชิดอยู่ในเมืองเพียงรู้สึกแสบตาไปครู่หนึ่ง เหมือนเห็นปราณกระบี่เปล่งประกายนับไม่ถ้วนแปรเปลี่ยนเป็นพายุฝนตกลงมาจากฟ้า

ฟุ่บๆๆ!

ที่ตามมาติดๆ คือเสียงทึบหนักระลอกหนึ่งดังก้องกลางฟ้าดิน สีเลือดแดงฉานคล้ายสีย้อม ละเลงห้วงอากาศผืนนั้นให้เป็นสีแดงแสบตา

เมื่อสายตาของทุกคนกลับมามองเห็นได้ชัดเจนในที่สุด เงาร่างของพวกนักเชือดเมิ่งที่อยู่นอกเมืองก็หายไปนานแล้ว มีแต่น้ำเลือดเต็มพื้นไหลนอง…

ฟ้าดินเงียบสงัด ทั้งที่นั้นต่างสั่นสะท้านเพราะเรื่องนี้

สะบัดแขนเสื้อครั้งเดียว ปราณกระบี่ดุจสายฝน ปลิดชีพศัตรูทั้งปวง!

ความสง่างามหยิ่งผยองหาได้ยากเช่นนั้น ทำให้ทุกคนแทบสงสัยว่านั่นเป็นยอดเทพกระบี่องค์หนึ่งมาเยือน ซัดกระบี่กวาดโลกา!

“เจ้ามาเก็บสนามรบ”

หลินสวินหันกายจากไป คู่ต่อสู้อ่อนแอเกินไปราวกับเก็บผักเก็บหญ้า เขาไม่รู้สึกประสบความสำเร็จใดๆ สักนิด มีเพียงความรู้สึกเดียว…

น่าเบื่อ

ตอนเงาร่างหลินสวินหายลับไป จี้เหลิ่งยังเหม่อลอย จิตใจสั่นระรัวอย่างคุมไม่อยู่ นี่… นี่มันคนน่ากลัวเช่นไรกันแน่

ลมหนาวระลอกหนึ่งพัดมา ปนเปไปกับกลิ่นคาวเลือดเตะจมูก ปลุกจี้เหลิ่งให้ได้สติกลับมาจากความตะลึง

เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ตะคอกเสียงดังดุจอสนีบาตว่า

“มาสิ มาเก็บทรัพย์หลังศึก! คนอื่นบุกไปเมืองปีศาจเพลิงกับข้า!”

หลังจากตกตะลึง จี้เหลิ่งก็รู้สึกฮึกเหิมอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พอพวกนักเชือดเมิ่งตาย เมืองปีศาจเพลิงที่อยู่ห่างไปเก้าพันลี้นั้น… ก็จะเป็นเมืองที่ไร้เจ้าของ!

ครืน!

ไม่นานนักจี้เหลิ่งก็พาคนกลุ่มหนึ่งพุ่งไปทางเมืองปีศาจเพลิงด้วยไอสังหารถาโถมอย่างอดรนทนไม่ไหว ฝุ่นควันม้วนตลบตลอดทาง

วันนี้พวกนักเชือดเมิ่งถูกปลิดชีพ เมืองปีศาจเพลิงถูกยึด ทรัพย์สินที่นักเชือดเมิ่งจัดการขูดรีดมาได้หลายปีถูกกวาดไปจนเกลี้ยง

วันนี้ นาม ‘มารกระบี่เต้ายวน’ นี้กระจายไปอย่างรวดเร็ว ทะยานไปถึงเมืองใกล้เคียงมากมายอย่างกับมีปีกบิน

ชั่วขณะเดียวก็ก่อให้เกิดเสียงฮือฮาไม่รู้เท่าไร

ชั่วสะบัดแขนเสื้อ กระบี่เต็มจักรวาล!

มีคนถกเรื่องศึกนี้ของมารกระบี่เต้ายวนไม่รู้เท่าไร แม้แต่พวกร้ายกาจที่โลดแล่นในโลกมืดมาหลายปี ในใจยังปั่นป่วนไม่หยุด

และตั้งแต่วันนี้เช่นกันที่ผู้แข็งแกร่งมากมายเข้ามาในเมืองผีครอบงำจากสี่ทิศแปดด้าน ชั่วขณะเดียวทำให้เมืองเก่าโทรมที่ไม่สะดุดตาเมืองนี้เปล่งพลังชีวิตใหม่ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง แปรเปลี่ยนเป็นครึกครื้นขึ้นมา

นี่ก็คืออิทธิพลจากศึกนี้ของหลินสวิน!

โลกมืดปั่นป่วนยิ่งนัก เหตุนองเลือดและการสังหารแทบจะเกิดขึ้นได้ทุกวี่วัน เพื่อความอยู่รอด ผู้แข็งแกร่งส่วนมากทำได้เพียงไปอยู่ในเมืองเมืองหนึ่งเพื่อให้ได้รับความคุ้มครองจากอำนาจของเจ้าเมือง

แม้จะถูกขูดรีด แต่ถึงอย่างไรก็ปลอดภัยขึ้นมาหน่อย และยังอยู่รอดในโลกอันปั่นป่วนแห่งนี้ไปได้นานขึ้นบ้าง

และความสามารถของหลินสวิน รวมถึงพลังต่อสู้อันน่ากลัวที่เขาเผยออกมา ก็ทำให้เมืองผีครอบงำกลายเป็น ‘ที่หลบภัย’ ในใจผู้ฝึกปราณมากมาย พากันมาพึ่งพิงในทันที

กับเรื่องนี้ เจ้าเมืองฉากหน้าอย่างจี้เหลิ่งยิ้มไม่หุบ ผู้ฝึกปราณที่มาพึ่งพิงในเมืองแต่ละคนก็เท่ากับแหล่งทรัพย์สินไม่ขาดสายก้อนหนึ่ง เขาจะไม่ดีใจได้อย่างไร

เขาเป็น ‘เฒ่าชรา’ ที่มีความสามารถ มีสติปัญญา ทั้งยังไม่ขาดศักยภาพคนหนึ่ง มีเขาออกหน้าจัดระเบียบและกำหนดกฎเกณฑ์ด้วยฐานะเจ้าเมือง ภายในเมืองผีครอบงำก็เหมือนปรากฏภาพความเจริญรุ่งเรือง

กับเรื่องเหล่านี้หลินสวินไม่มีใจไปสนใจอยู่แล้ว ทั้งยังคร้านจะสนใจด้วย

เขาแทบไม่ก้าวออกจากที่พัก ฝึกปราณอยู่ตลอด

แต่เขาก็พบอยู่ดีว่าทรัพย์สินที่จวนเจ้าเมืองรับมากำลังแปรเปลี่ยนเป็นมากมายไม่ขาดสาย มากยิ่งขึ้นเหมือนกลิ้งก้อนหิมะ!

แน่นอนว่าสุดท้ายทรัพย์สินพวกนี้ เกินครึ่งก็จะเข้ากระเป๋าหลินสวิน

นี่เพียงพิสูจน์ได้ว่า เมืองผีครอบงำตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้วจริงๆ และจี้เหลิ่ง เจ้าเมืองที่มากสติปัญญาและแผนการ ทั้งยังไม่ขาดฝีมือคนนี้ ก็แสดงความสามารถได้โดดเด่นจริงๆ

ทุกเรื่องมีดีย่อมมีเสีย ความโดดเด่นสะดุดตาของเมืองผีครอบงำ แม้ดึงดูดให้ผู้แข็งแกร่งมากมายมาพึ่งพิง แต่ก็ด้วยเหตุนี้จึงดึงดูดความหวาดหวั่นและไม่พอใจของเจ้าเมืองมากมายในพื้นที่อันกว้างใหญ่นี้มาด้วย