แต่อย่างไรก็ตาม ซูรั่วหลีก็อยากจะรู้จริงๆ ว่า เย่เฉินรู้เรื่องที่น่าตื่นเต้นอะไรกันแน่ ดังนั้นเขาจึงบังคับระงับความรังเกียจในหัวใจของตัวเอง และขยับร่างกายเข้าไปด้านข้างของเขา และพูดอย่างเย็นชาว่า “รีบพูดมาเถอะ!”

เย่เฉินก็จงใจเอนตัวเข้าไปทางตัวเธอเล็กน้อย แล้วพ่นลมอุ่นใส่หูของเธอแล้วพูดว่า “เมื่อไม่นานมานี้ น้องชายเมียของอู๋ตงไห่คนนั้น ซึ่งก็คือเจ้าสำนักของสำนักขอทานแห่งซูหางเซวหนานซาน ถูกคนอื่นนฆ่าตาย และคนที่ถูกฆ่าตายพร้อมกับเขา ยังมีภรรยาของเขา และผู้อาวุโสของสำนักขอทานอีกมากมาย!”

ซูรั่วหลีดึงร่างกายของเธอออกจากด้านข้างของเย่เฉินทันที โดยรักษาระยะห่างจากเย่เฉิน และพูดอย่างเย็นชาว่า “เรื่องนี้เองเหรอ? เรื่องนี้เคยกลายเป็นวิดีโอสั้นยอดนิยมบนอินเทอร์เน็ตในเวลานั้น ฉันขอถามคุณหน่อยว่า ยังมีใครที่ไม่รู้เรื่องนี้บ้างมั้ย?”

เย่เฉินยักไหล่ “ผมคิดว่าคุณไม่รู้”

ซูรั่วหลีจ้องมองเขาอย่างน่ารังเกียจ ในความเห็นของเธอ เมื่อกี้นี้เย่เฉินใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ และอยากจะเข้าใกล้เพื่อแต๊ะอั๋งตัวเอง

แต่โชคดีที่เขาก็ไม่ได้เอาเปรียบอะไรอย่างจริงจังเลย ดังนั้นซูรั่วหลีก็ไม่มีการโจมตีเช่นกัน

อย่างไรก็ตามหลังจากผ่านเหตุการณ์นี้ ความระมัดระวังของซูรั่วหลีที่มีต่อเย่เฉินก็ยิ่งลดลงไปมากขึ้นเล็กน้อย

เมื่อเห็นว่าซู่รั่วหลีไม่พูดอีกแล้ว เย่เฉินจึงริเริ่มโน้มตัวเข้าไปและถามเธอว่า “เฮ้คนสวย คุณเป็นคนมาจากไหนเหรอ? ผมบอกคุณไปหมดแล้ว คุณก็ต้องบอกผมบ้างดิ?”

ซูรั่วหลีพูดอย่างว่างเปล่าว่า “คุณบอกฉันแล้ว มันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะต้องบอกคุณ”

เย่เฉินยิ้มและพูดว่า “คนสวย อย่าเย็นชานักสิ! คุณเป็นถึงคนสวยขนาดนี้ คุณควรจะยิ้มให้มากกว่านี้นะ ยิ้มให้มากขึ้นแล้วจะทำให้คุณดูดีขึ้น!”

ซูรั่วหลีลูบขมับของเธอ และพูดอย่างรังเกียจเล็กน้อยว่า “ขอโทษนะ ฉันอยากพักผ่อนสักหน่อย”

หลังจากพูดจบ ก็หลับตาไปเลย

เย่เฉินถามอยู่ด้านข้างอีกครั้งว่า “คนสวย คุณไปทำอะไรที่โอซาก้าเหรอ? คุณจะไปเที่ยวที่โอซาก้า หรือกลับประเทศจากโอซาก้าเหรอ?”

ซูรั่วหลีลืมตาขึ้นมา ขมวดคิ้ว และเอ่ยปากถามว่า “คุณรู้ได้อย่างไรว่าฉันกำลังจะกลับประเทศจีนจากโอซาก้า?”

“โตเกียวไม่ปล่อยให้ออกไปไง!” เย่เฉินถอนหายใจ และพูดว่า “ก็ไม่รู้ว่าเกิดบ้าอะไรขึ้นในโตเกียว และทำการควบคุมขาออกประเทศอะไรนั่น ครอบครัวของผมยังรอให้ผมกลับไปฉลองปีใหม่อยู่เลย ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเลือกทางกลับจากโอซาก้าแล้ว………”

ซูรั่วหลีพยักหน้าเบาๆ และแอบคิดอยู่ในใจตัวเองว่า “ดูเหมือนว่าฉันจะอ่อนไหวเกินไป คนจีนที่อยู่ในโตเกียวที่ต้องการจะกลับบ้านโดยพื้นฐานแล้วต้องออกจากโอซาก้า หรือสนามบินอื่นๆ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น ผู้ชายคนนี้จะกลับประเทศจากโอซาก้ามันก็เป็นเรื่องที่ปกติ”

ดังนั้น ซูรั่วหลีจึงหมดความสนใจที่จะพูดคุยกับเย่เฉินโดยสิ้นเชิง และเอ่ยปากกล่าวว่า “เอาล่ะ ฉันจะหลับตาพักผ่อนสักครู่ ถ้าไม่มีเรื่องอะไร ไม่ต้องคุยเล่นกับฉัน”

เย่เฉินไม่ได้หุบปากอย่างฉลาด แต่ยังคงถามต่อไปว่า “ใช่แล้วคนสวย ผมฟังจากสำเนียงของคุณแล้ว เหมือนจะเป็นคนที่มากจากเย่นจิง!”

ทันทีที่คิ้วของซูรั่วหลียืดออก เธอก็ขมวดคิ้วอย่างรวดเร็ว ปฏิเสธว่า “ฉันไม่ได้เป็นคนที่มาจากเย่นจิง ฉันมาจากเมืองจงไห่”

ปัจจุบัน ญี่ปุ่นจำกัดการออกจากประเทศ และดำเนินการสอบสวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด ในหมู่พวกเขาจุดที่สำคัญที่สุดก็คือนักท่องเที่ยวจากถิ่นกำเนิดของเย่นจิงของประเทศจีน ดังนั้นซูรั่วหลีจึงระมัดระวัง และอธิบายตัวเองว่าเป็นพลเมืองจงไห่

เย่เฉินพูดด้วยความประหลาดใจในเวลานี้ว่า “โอ้ยคนสวยคุณช่างน่าเบื่อเหลือเกิน ทุกคนก็เป็นชาวจีนเหมือนกัน มันคือโชคชะตาแบบหนึ่งที่ทำให้เราได้พบกันอยู่บนเครื่องบินญี่ปุ่น คุณไม่จำเป็นต้องปิดบังเพื่อนร่วมชาติตอนที่คุยกันเลยใช่ไหม? สำเนียงของคุณฟังดูก็รู้แล้วว่าเป็นคนที่มาจากเย่จิง ผู้คนในเมืองจงไห่ก็ไม่ได้พูดเหมือนคุณ”

ซูรั่วหลีเริ่มจะรำคาญกับคำพูดของเย่เฉินแล้ว

ตอนนี้เธอก็มั่นใจมากยิ่งขึ้นอีกแล้วว่า เย่เฉินคนนี้ไม่มีอะไรผิดปกติ และก็ไม่มีอันตรายใดๆ เลย เขาก็แค่เลอะเทอะเล็กน้อย และหน้าตาน่าเกลียดเล็กน้อย และพูดมากเกินไปหน่อย ดังนั้นในขณะที่รู้สึกน่ารำคาญอย่างมาก ก็ได้คลายการระวังตัวของเธอต่อเขาไปอย่างสมบูรณ์

ในเวลานี้ เธอหลับตาและพักผ่อน ขี้เกียจที่จะคุยกับเย่เฉิน

เย่เฉินกลับได้สั่งเฉินจื๋อข่ายผ่านวีแชทไปแล้วว่า ให้เขาเตรียมตัวให้เรียบร้อย ตามแผนของตัวเองที่วางไว้……..