ตอนที่ 2097 คนกับหมาที่หยิ่งทะนง

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ต่อยตีหรือ

จักรพรรดิกระบี่เทียนฉงมุ่นคิ้ว “เจ้าเมี่ยฉยงน่าจะรู้ดีว่าหากเจ้ากับข้าสู้กัน ภายในสิบวันครึ่งเดือนย่อมไม่มีทางตัดสินผลแพ้ชนะแน่”

เมี่ยฉยง!

ชายตาเยิ้มที่ท่าทางซอมซ่อตรงหน้า ถึงกับเป็น ‘จักรพรรดิยุทธ์เมี่ยฉยง’ แห่งหอวิหคทองแดงที่เป็นหนึ่งใน ‘สามยอดนักฆ่า’ เช่นกัน!

“สิบวันครึ่งเดือนไม่เพียงพอ”

จักรพรรดิยุทธ์เมี่ยฉยงส่ายหัวจนเหมือนกลองไม้เขย่า “อย่างน้อย… ก็ต้องสู้กันหนึ่งปีกระมัง”

จักรพรรดิกระบี่เทียนฉงเงียบไปครู่หนึ่งจึงกล่าว “หอวิหคทองแดงของเจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่”

จักรพรรดิยุทธ์เมี่ยฉยงกลิ่นเหล้าคลุ้งไปทั้งตัว เอ่ยปากพูดอย่างคลุมเครือ “ต่อยตี”

จักรพรรดิกระบี่เทียนฉงกล่าวอย่างเย็นชา “หากข้าไม่ตอบรับล่ะ”

ฟุ่บ!

เสียงเพิ่งดังขึ้น เงาร่างเขาก็หายไปกลางอากาศ

“หนีหรือ ในเมื่อข้าหมายตาเจ้าไว้แล้วยังจะหนีไปไหนพ้น”

ท่ามกลางเสียงพึมพำเมามาย ชายที่ดูซอมซ่อเกินทนย่ำเท้าลงไป ห้วงอากาศส่งเสียงดังกึกก้อง ถูกแหวกออกเป็นทางเดินสายหนึ่ง

เงาร่างเขาเดินโซเซเข้าไปแล้วเลือนหาย

เงาร่างของทั้งสองคนเพิ่งจากไป กลางอากาศก็ปรากฏเงามืดหนึ่ง พลันกลายเป็นภิกษุจีวรดำที่รูปลักษณ์ธรรมดา ท่าทางไม่โดดเด่นรูปหนึ่ง

มองไปยังทิศทางที่จักรพรรดิกระบี่เทียนฉงและจักรพรรดิยุทธ์เมี่ยฉยงหายไป ภิกษุเผยรอยยิ้มเสี้ยวหนึ่ง “ในเมื่อพวกเจ้าจะสู้กันให้สะใจ หลินสวินนั่น… ก็ยกให้ข้าแล้วกัน”

เขาเพิ่งหมุนกายหมายจะจากไป ทันใดนั้นก็มีหมาขนทองตัวหนึ่งเดินมาแต่ไกลอย่างแช่มช้า

นี่เป็นหมาบ้านที่ดูปกติธรรมดา สิ่งเดียวที่ต่างออกไปอาจจะอยู่ที่ขนผิวของหมาตัวนี้ที่เรียบเนียนส่องประกาย ดวงตาทั้งคู่ยิ่งวาววาบถึงขีดสุด

แม้แต่ท่าทางยามก้าวเดินยังดูเย่อหยิ่งเป็นอย่างยิ่ง แลดูสงบผ่อนคลายมาก

หากมีเพียงเท่านี้ก็คงเป็นแค่หมาบ้านที่ถูกพวกผู้ดีเก็บมาเลี้ยงเท่านั้น

แต่พริบตาแรกที่ภิกษุจีวรดำเห็นหมาขนทองตัวนี้ก็ตัวแข็งทื่อ หน้าเปลี่ยนสี หันหลังหนีโดยไม่ลังเล

ในดวงตาของหมาขนทองนั้นไม่อำพรางแววดูถูกแม้แต่น้อย พวกชอบดูถูกคนอื่นก็น่าจะมีท่าทางเช่นนี้กระมัง

“โฮก!”

มันแผดเสียงคำรามต่ำลึกแล้วไล่ตามไป

ต่อให้ไล่ตามหัวของมันก็ยังเชิดสูง ในแววตาเต็มไปด้วยความจองหอง ท่าทางดูแคลนใต้หล้า เหยียดหยันสรรพชีวิต

ที่น่าเหลือเชื่อที่สุดคือ แค่ชั่วขณะมันก็ตามภิกษุจีวรดำนั่นทัน จากนั้นก็รักษาความเร็วในการเคลื่อนที่เหมือนภิกษุจีวรดำ

ภิกษุจีวรดำหน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง ไม่อาจไม่หยุดฝีเท้า

หมาขนทองเปิดปาก กล่าวด้วยท่าทางหยามเหยียดราวสูงส่งเหนือผู้อื่น “หนีต่อสิ ทำไมถึงหยุดเล่า จักรพรรดิธรรมเทียนตูหนึ่งในสามยอดนักฆ่าที่น่าเกรงขาม สิ่งที่ชำนาญที่สุดก็คือวิชา ‘หนึ่งพริบตาหมื่นลี้ ไปมาไร้ร่องรอย’ ไม่ใช่หรือ”

ภิกษุจีวรดำคือจักรพรรดิธรรมเทียนตูนั่นเอง บุคคลน่ากลัวที่ก้าวเดินอยู่ในความมืด ทุกจุดที่เคลื่อนผ่าน ย่อมมีความตายตามมา

แต่หากถูกคนเห็นภาพนี้เข้าคงต้องเป็นบ้าแน่นอน

ใครกล้าเชื่อว่าจักรพรรดิธรรมเทียนตูจะถูกหมาตัวหนึ่งไล่กวด ทั้งยังไล่ตามทันด้วย?

ใครเล่าจะเคยเห็น หมาตัวหนึ่งกล้าเหน็บแนมและเย้ยหยันจักรพรรดิธรรมเทียนตูอย่างดูถูกเช่นนี้

นี่สามารถล้มล้างมุมมองของผู้คนได้เลย!

ทว่าสำหรับจักรพรรดิเทียนตูในตอนนี้ หมาตรงหน้านี้น่ากลัวกว่าสัตว์ประหลาดที่ดุดันที่สุดในยุคดึกดำบรรพ์ถึงสามส่วน ยามเผชิญหน้ากับมัน สีหน้าเขาก็เผยความหวาดกลัวอย่างไม่อาจเก็บกลั้น

“ทำไมสหายยุทธ์ถึงไล่ตามไม่เลิก”

เสียงของจักรพรรดิธรรมเทียนตูต่ำลึก ท่าทางระแวดระวัง

คนอื่นไม่รู้ แต่คนที่อยู่รอดในโลกมืดจนผ่านกาลเวลามาไม่รู้นานเท่าไรอย่างเขา มีหรือจะไม่รู้ถึงความน่ากลัวของหมาขนทองตัวนี้

“เจ้าว่าอย่างไรเล่า”

หมาขนทองเอียงศีรษะ บนใบหน้าเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน

“เพราะหลินสวินนั่นหรือ”

จักรพรรดิธรรมเทียนตูมุ่นคิ้ว

“ใช่”

หมาขนทองกล่าว “ว่าอย่างไร เจ้าอยากรามือแค่นี้ไหม”

“ทางใครทางมันไม่ดีกว่าหรือ”

หัวคิ้วของจักรพรรดิธรรมเทียนตูขมวดจนเป็นปมยิ่งกว่าเดิม

หมาขนทองดูจองหองหาใดเปรียบ ขยับพูดออกมาสองคำชัดๆ “ไม่ดี”

จักรพรรดิธรรมเทียนตูกล่าว “ข้าได้ยินว่าเจ้านายของเจ้าล่วงเกินจักรพรรดิสวรรค์ดำรง ขนาดเขาเย่อหยิ่งเช่นนั้นก็ไม่อาจไม่ซ่อนตัว เจ้า… ไม่กลัวหรือ”

“โฮก!”

หมาขนทองคำราม กระโจนเข้าใส่เต็มแรง

แควก!

ชายเสื้อข้างหนึ่งถูกฉีกขาด

ด้วยฝีมือเทียมฟ้าของจักรพรรดิธรรมเทียนตูยังเกือบถูกกัด แค่คิดก็รู้แล้วว่าหมาขนทองตัวนี้ดุดันเพียงใด!

จักรพรรดิธรรมเทียนตูไม่ได้ลังเลและไม่ได้โจมตีกลับ เริ่มหนีอีกครั้ง เขารู้ดีว่าทันทีที่ถูกหมาตัวนี้เข้ามาข้องแวะ คิดจะปลีกตัวล้วนยากนัก

ดังนั้นเมื่อหนีครั้งนี้ จักรพรรดิธรรมเทียนตูจึงใช้พลังทั้งหมด

“ลาหัวโล้น เจ้าหนีไม่รอดหรอก!”

หมาขนทองตะโกนพลางสาวเท้าทั้งสี่ไล่ตามไป

ไม่ทันไรหนึ่งคนหนึ่งสุนัขก็หายไปจากแคว้นหนาวเหน็บ

ในโลกลึกลับแห่งหนึ่ง ภูผาธาราและสรรพสิ่งล้วนปกคลุมด้วยกลิ่นอายเร้นลับขุ่นมัว ทำให้ฟ้าดินหมื่นลักษณ์มีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่ดูเก่าแก่ดึกดำบรรพ์

กลางโลกลึกลับแห่งนี้มีแท่นมรรคหนึ่งตั้งอยู่ บนแท่นมรรคมีสองเงาร่างนั่งอยู่

เงาร่างหนึ่งทรงสง่าสูงโปร่งนั่งเงียบๆ พลังระเบียบกฎเกณฑ์หลายสายที่เหมือนภาพฝันร้อยถักเข้าด้วยกัน ละอองแสงโปรยปราย ขับเน้นให้นางดูลึกลับดั่งเซียน

เงาร่างนี้ก็คือซี!

ส่วนอีกร่างที่อยู่ตรงหน้านางก็นั่งเงียบเช่นกัน แต่กลับเหมือนราชันแห่งฟ้าดาราที่สูงส่งคนหนึ่ง โครงร่างตระหง่านเหมือนเสาที่ค้ำจุนฟ้าดิน

ทั้งสองคนเงียบมานานแล้ว

ด้วยความหยิ่งทะนง หรือพูดได้ว่าเป็นการประลองที่มองไม่เห็น ใครก็ไม่อยากเอ่ยปากก่อนเป็นคนแรก

ตั้งแต่เข้ามาในแดนลับนี่ จนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาสองเดือนแล้ว พวกเขาต่างไม่เคยพูดกันสักประโยค

ย่อมดูแปลกประหลาดเป็นธรรมดา

แต่ดูออกว่าทั้งสองคนล้วนมีความอดทนอย่างยิ่ง ราวกับความเงียบนี้สามารถยืนหยัดไปได้หลายปี

กริ๊ง!

เสียงใสราวหยกประดับกระทบกันดังขึ้น ทำลายความเงียบสงัดของฟ้าดินแถบนี้

ชายที่สันโดษเย่อหยิ่งมุ่นคิ้ว มองซีที่อยู่ตรงหน้า ยกมือขึ้นไปคว้าม้วนหยกส่งสารมาไว้ในมือ

หลังพิจารณาเนื้อหาในม้วนหยกครู่หนึ่ง สายตาของชายคนนั้นก็มองมายังซีที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง ในที่สุดก็เอ่ยปาก

เสียงของเขาราวกับสัทครรลองมหามรรค เสียดลึกถึงก้นบึ้งหัวใจ “มีแค่เด็กที่เลือกใช้ความเงียบมาแสดงความหยิ่งทะนงของตน ข้าช่วยเจ้าไว้ เจ้าก็ควรแสดงความขอบคุณด้วยตนเอง”

ซีเหลือบตามองเขาเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร

แต่ชายคนนั้นเหมือนอ่านความนัยในแววตาของนางออก คล้ายกำลังบอกว่าเจ้าเอ่ยปากเป็นคนแรก นั่นก็หมายความว่าด้านความอวดดีและหยิ่งทะนง เจ้าสู้ข้าไม่ได้

นี่ทำให้ชายหนุ่มอดเลิกคิ้วไม่ได้ ในใจรู้สึกแปลกๆ

หลายปีมานี้เขามาดมั่นและหยิ่งทะนงถึงขีดสุดอยู่เสมอ เย่อหยิ่งจนเข้ากระดูก และอวดดีถึงขั้นไม่เห็นใครในสายตา

เขาเคยกล่าวว่าความหนักแน่นของมหามรรคกดทับความหยิ่งทะนงข้าไม่ได้ ต่อให้มีศัตรูทั่วหล้าก็ไม่อาจทำลายความหยิ่งทะนงได้เพียงเสี้ยว

แต่เขาก็ไม่คิดว่ามีอะไรแปลก

หรือพูดได้ว่าเขาคิดว่านี่เป็นเรื่องที่ธรรมดาอย่างมาก ด้วยเดิมทีเขาก็เป็นคนเช่นนี้ คำว่าหยิ่งทะนงอยู่กับเขามาทั้งชีวิต

ดังนั้นเขาจึงไม่เข้าใจนัก ทำไมซีถึงอยากใช้วิธีนี้มาแข่งกับเขา ความหยิ่งทะนง… ควรค่าแก่การประลองหรือ

ดังนั้นเขาจึงกล่าวอย่างจริงจัง “เด็กน้อย”

ซียังคงไม่พูดจา เพียงแต่มองเขาเงียบๆ

“น่าสนใจ”

ชายหนุ่มยิ้มอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ส่ายม้วนหยกในมือพลางกล่าว “สิ่งที่บันทึกอยู่ในนี้คือข่าวของเจ้าหมอนั่นที่เจ้าเป็นห่วงที่สุด เจ้าไม่อยากรู้หรือ”

เวลานี้ซีคิดดูครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เอ่ยปาก “เขาเป็นศิษย์น้องของเจ้า คนที่เป็นห่วงเขาที่สุดควรเป็นเจ้าถึงจะถูก”

น้ำเสียงเยียบเย็นราวน้ำแข็ง

แต่เมื่อเห็นว่านางเปิดปากก็ทำให้ชายหนุ่มอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ กล่าวว่า “ไม่ว่าจะพูดอย่างไร สุดท้ายเขาก็ผู้สืบทอดของคีรีดวงกมล ต่อให้ยังไม่ได้การยอมรับจากข้า แต่… จับตาดูการเคลื่อนไหวของเขาหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไร”

เขาพูดพลางส่งม้วนหยกให้ซี

ซีลังเลเล็กน้อย แต่ก็รับมาเปิดอ่านดู

“คนผู้หนึ่ง ใช้เวลานานสองเดือนกว่าจะก่อคลื่นลมได้แค่นี้ ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่จะทำให้ข้าอยากไปเจอเขาจริงๆ”

ชายหนุ่มกล่าวเสียงเรียบ

ซีเงยหน้ามองเขาแล้วเอ่ยถาม “ตอนที่เจ้าอยู่ระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิ หากเผชิญหน้ากับระดับจักรพรรดิขั้นแปดเจ้าจะรับมืออย่างไร”

ชายหนุ่มกล่าวโดยไม่ลังเล “ข้าไม่มีทางเปิดโอกาสให้ระดับจักรพรรดิขั้นแปดมากำราบข้าแน่”

“ถ้าหากได้เจอล่ะ”

ชายหนุ่มดูมาดมั่นหาใดเปรียบ วาจาราบเรียบ “ไม่มีคำว่าถ้าหาก”

ซีกล่าว “เช่นนั้นข้าจะบอกคำตอบกับเจ้า หากเจ้าเป็นเขา ด้วยความหยิ่งทะนงที่เจ้าแสดงให้เห็นย่อมมีแต่ตายสถานเดียว ด้วยเจ้าคงไม่หนีและไม่ยอมขอความช่วยเหลือ แต่ถ้าสู้สุดชีวิตก็เหมือนเอาไข่ไปกระทบหิน นอกจากตายแล้วก็ไม่มีโอกาสเป็นอย่างอื่น”

ชายหนุ่มกล่าวเสียงเรียบ “ทั้งหมดที่เจ้าพูดมาล้วนเป็นสมมุติฐาน ข้าก็จะบอกเจ้าให้ ตั้งแต่ฝึกปราณมาถึงตอนนี้ ข้าไม่เคยปล่อยโอกาสให้ศัตรูคนใดมาสังหารข้า ตอนนี้… เจ้าก็เห็นแล้ว บนโลกนี้คนที่ฆ่าข้าได้มีอยู่ไม่กี่คน”

ซีคิดดูครู่หนึ่งแล้วกล่าว “เจ้าเย่อหยิ่งกว่าที่ข้าจินตนาการไว้อยู่บ้าง”

ชายหนุ่มเอ่ยแก้ “ใจข้ามีความหยิ่งทะนง ตัวมีความหยิ่งในศักดิ์ศรี ไม่มีก็แต่ความเย่อหยิ่ง ต่างกันเพียงคำเดียว แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน”

ซีร้องอ้อคราหนึ่งแล้วจมสู่ความเงียบ

ชายหนุ่มกลับหยัดร่างขึ้นกล่าว “รอเมื่อโอกาสมาถึง ข้าจะให้เจ้าจากไปแน่ แต่ตอนนี้ยังไม่ได้”

“อีกอย่างผู้หญิงที่ชื่อเหยี่ยนซิงคนนั้นทำทุกทางจนโชคดีหอบชีวิตหนีไปได้ หากเป็นไปดังคาด นางต้องไปขอความช่วยเหลือจากจักรพรรดิสวรรค์ดำรงแน่นอน”

พูดถึงตรงนี้ชายหนุ่มก็เผยความลับหนึ่งออกมา “แต่จักรพรรดิสวรรค์ดำรงมุ่งหน้าไปแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์แล้ว คงไม่คิดจะปลีกตัวออกจากที่นั่นเร็วนัก แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์… ไม่ใช่สถานที่ซึ่งใครๆ เข้าออกได้ตามใจชอบ”

ซีเหลือบมองเขาเล็กน้อยแล้วกล่าว “เจ้ายังไม่ได้บอกข้าว่าทำไมถึงไม่ให้ข้าจากไป”

ชายหนุ่มกล่าว “ถ้าเจ้าอยู่ข้างกายเขา ย่อมรังแต่จะทำให้เขาเสียโอกาสหาจุดเปลี่ยนแสวงมรรคของตนเอง”

“จุดเปลี่ยน?”

“ใช่ จุดเปลี่ยนที่เกี่ยวข้องกับยอดหนทางสู่อมตะ”

ชายหนุ่มพูดพลางหันหลังจากไป

“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงเขา แต่อย่าลืมสิ ในฐานะที่ข้าเป็นศิษย์พี่ของเขา ก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้ว… อันที่จริงข้าก็รอเขาอยู่…”

ยังไม่ทันสิ้นเสียงเขาก็หายไปจากโลกลึกลับแห่งนี้แล้ว

ซีนั่งอยู่บนแท่นมรรคเพียงลำพัง จมสู่ห้วงคิด เงาร่างทรงสง่าเหมือนภาพมายาและพร่าเลือน

ไม่กี่เดือนก่อนนางสู้กับเหยี่ยนซิง ยามบาดเจ็บสาหัสได้ซัดอีกฝ่ายจนพ่ายยับเยิน แต่ตอนที่กำลังจะสังหารอีกฝ่ายกลับเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น พลังระเบียบต้องห้ามมาเยือนกะทันหัน ทำให้นางตกอยู่ในสภาพสิ้นหวัง

ในช่วงเวลาวิกฤต ชายที่เรียกตัวเองว่าศิษย์พี่ของหลินสวินคนนี้ได้ปรากฏตัวมาช่วยนางไว้…