ภาพต่างๆ ไหวเคลื่อน เริ่มปรากฏตรงหน้าหลินสวินเหมือนสายน้ำไหล
จักรวรรดิจื่อเย่า
นครต้องห้าม ท้องฟ้าเหนือภูเขาชำระจิตของตระกูลหลินดำสนิทดุจสีหมึก พลังระเบียบต้องห้ามที่มองไม่เห็นปกคลุม ทำให้กลางฟ้าดินเต็มไปด้วยความกดดัน
ปาฉีชี้ไปยังภูเขาชำระจิตที่ไกลออกไป น้ำเสียงเย็นชา ‘เจ้ามีกระดูกกระบี่โดยกำเนิด แต่ยังไม่แข็งแกร่งพอ ที่นั่นมีทารกเพิ่งคลอดไม่นาน ชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดแต่เกิดแข็งแกร่งถึงขั้นไม่อาจจินตนาการ เจ้าไปชิงมันมา’
ข้างกายเขา อวิ๋นชิ่งไป๋ที่ท่าทางยังเป็นเด็กหนุ่มสวมอาภรณ์ขาวยิ่งกว่าหิมะ หน้าตาหยิ่งทะนง
แต่เมื่อได้ยินคำพูดของปาฉี เขาก็เลือกปฏิเสธเป็นครั้งแรกในชีวิต
‘ไม่!’
เขานึกถึงเหตุการณ์นองเลือดที่เกิดขึ้นกับบ้านตนในวัยเด็ก นึกถึงภาพต่างๆ ที่เป็นเพราะตนครองกระดูกกระบี่ จึงทำให้บิดามารดาประสบเคราะห์นอนจมบ่อเลือด
เขาไม่อยากให้เรื่องแบบเดียวกันเกิดขึ้นด้วยน้ำมือตนอีกครั้ง!
เพี๊ยะ!
ปาฉีตบหน้าอวิ๋นชิ่งไป๋อย่างไร้ปรานี กล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ‘หากเจ้าไม่ไป ข้าจะชิงกระดูกกระบี่ของเจ้าไปให้เด็กทารกคนนั้นแล้วให้เขาเป็นผู้สืบทอด ส่วนเจ้า… ก็ต้องตาย!’
อวิ๋นชิ่งไป๋สั่นไปทั้งตัว เขาเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นก็ย่างเท้า ก้าวไปทางตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตที่ไกลออกไปอย่างยากลำบาก
ชุดคลุมขาวเปลี่ยนเป็นมืดสลัวท่ามกลางรัตติกาล
ในรัตติกาลที่ดำสนิท พลังระเบียบต้องห้ามซัดโหม พลังเจตจำนงที่น่าเกรงขามสูงส่งกวาดมองมา
พร้อมกันนั้นปาฉีก็ได้ยินคำสั่ง
‘ลงมือ!’
นั่นคือเสียงของจอมจักรพรรดิไร้นาม ปาฉีหน้าเปลี่ยนสี กัดฟันเดินตามหลังอวิ๋นชิ่งไป๋ ก้าวไปยังตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิต
…
บนภูเขาชำระจิต แสงโคมดุจมังกร อึกทึกครึกครื้น
แต่เมื่ออวิ๋นชิ่งไป๋ปรากฏตัว บรรยากาศที่ครึกครื้นนั้นก็ถูกทำลาย การต่อสู้ปะทุขึ้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง…
ภาพพลันเปลี่ยนไป
ปาฉีฉวยโอกาสตอนที่ภูเขาชำระจิตเกิดความโกลาหล เดินเข้ามาในห้องที่แสงเทียนจุดสว่างอย่างไร้สุ้มเสียง
ในห้องประดับด้วยผ้าและโคมไฟสวยงาม มีของเล่นเด็กที่ได้รับมามากมาย เต็มไปด้วยความอบอุ่น บนเตียงนั้นมีเด็กทารกคนหนึ่งนอนอยู่ในผ้าห่อเงียบๆ
ปาฉีก้าวไปข้างหน้า ในดวงตาเจือแววเร่าร้อนที่ไม่อาจเก็บกลั้น ยกดาบกระดูกเล็กบางโปร่งแสงเล่มหนึ่งที่เตรียมไว้นานแล้วขึ้นมา…
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เด็กทารกส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดถึงที่สุด บนหน้าอกที่ผอมบางอ่อนเยาว์ของเขาถูกแหวกออกเป็นรอยแผลเรียวบาง กำลังมีน้ำเลือดแดงก่ำหลั่งชโลมออกมา
ปาฉีเก็บชีพจรปราณวิญญาณขาวกระจ่างที่มีเลือดนองติดเต็มนั้นลงไป ซ่อนไว้ในกล่องสำริดใบหนึ่งอย่างระวัง
‘เด็กดี ข้าขอแค่พรสวรรค์ของเจ้า ชีวิตของเจ้าเป็นของจอมจักรพรรดิไร้นาม อ้อ เจ้ายังเด็ก คงไม่รู้จักจอมจักรพรรดิไร้นามสินะ…’
ปาฉีกำลังค้อมเอวเตรียมอุ้มเด็กทารกขึ้นมา แต่เวลานี้เองที่เหตุไม่คาดฝันพลันปรากฏ…
ปึง!
ประตูห้องระเบิดกระจุย ร่างผอมสูงหนึ่งพุ่งเข้ามา เมื่อเห็นภาพเหี้ยมโหดนองเลือดที่เกิดขึ้นในห้อง ดวงตาเขาก็แทบถลน ลงมืออย่างเดือดดาล
คนผู้นี้คือท่านลู่!
ภาพมาถึงตรงนี้แล้วพลันสลายหายไป
หลินสวินกำสองหมัดแน่นนานแล้ว เล็บจิกเข้าไปกลางฝ่ามือ ข้อนิ้วล้วนซีดขาว
ลมหายใจเขากระชั้นถี่ นัยน์ตาคั่งโลหิต หน้าคล้ำเขียวหาใดเปรียบ
ภาพพวกนี้ล้วนเป็นความทรงจำของปาฉี เห็นได้ว่ากระจัดกระจายไม่สมบูรณ์ แต่ก็พอจะทำให้หลินสวินเห็นว่าเหตุการณ์นองเลือดของตระกูลหลินเปิดฉากอย่างไร!
…
เมื่อภาพปรากฏอีกครั้ง ตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตก็ถูกทะเลเพลิงโหมกระหน่ำปกคลุมแล้ว
ปาฉียืนอยู่กลางอากาศ มือซ้ายจับตัวอวิ๋นชิ่งไป๋ไว้แน่น
อวิ๋นชิ่งไป๋กลับแผดเสียงคำราม ‘เพราะอะไร แค่ชิงชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดมาก็พอแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมต้องฆ่าคนด้วย!?’
‘ไร้เดียงสา!’
สายตาปาฉีมองไปยังเวิ้งฟ้า ในส่วนลึกของความมืดนั้น พลังระเบียบต้องห้ามม้วนซัดรุนแรง ชายหญิงคู่หนึ่งกำลังสู้กันอย่างดุเดือดอยู่ในนั้น
พูดให้ถูกคือผู้หญิงคนนั้นสู้อยู่คนเดียว นางสวมชุดกระโปรงเขียว ผมดำพลิ้วไหว ทั่วร่างแผ่อานุภาพน่าหวาดกลัวไร้ขอบเขต
‘เห็นหรือยัง หากไม่ได้พลังเจตจำนงของท่านจอมจักรพรรดิคนนั้น เจ้าคิดว่า… ที่นี่จะเป็นสถานที่ซึ่งใครมาได้ตามใจชอบหรือ’
เสียงของปาฉียังคงเย็นชา แต่กลับเจือความประหวั่นพรั่นพรึงอย่างไม่อาจระงับ
แต่อวิ๋นชิ่งไป๋กลับฟังไม่ออกนานแล้ว เขาเหมือนเสียสติ หวีดร้องลั่นอย่างต่อเนื่อง ‘เพราะอะไร เพราะอะไร…’
‘ท่านลู่ รีบพาลูกของข้าหนีไป!’
ส่วนลึกของความมืดบนเวิ้งฟ้า เสียงที่ร้อนรนหาใดเปรียบของหญิงสาวดังขึ้น ‘ต้อง… ต้องให้เขาใช้ชีวิตต่อไปให้ดี!’
‘คุณหนู…!’
ลู่ป๋อหยาที่ร่างสูงผอมบางโกรธจนผมตั้ง แผดเสียงคำรามราวกับสัตว์ป่า เต็มไปด้วยความเดือดดาลและคลุ้มคลั่ง
‘เร็วเข้า!’
หน้าเงาร่างของผู้หญิงคนนั้นพลันปรากฏกระบี่มรรคเล่มหนึ่งก่อนสะบัดเบาๆ
ฟ้าดินที่ถูกพลังระเบียบต้องห้ามปกคลุมถูกเฉือนออกเป็นรอยแยกมหึมา ทะยานไปสู่โลกภายนอกอย่างแข็งกร้าว
ตูม!
ภาพแตกเป็นเสี่ยงไปอีกครั้ง
หลินสวินสีหน้าปรวนแปรไม่หยุด ในหัวยังปรากฏเงาร่างของหญิงสาวที่สู้กับพลังระเบียบต้องห้ามคนนั้น
ชุดกระโปรงเขียว ผมดำพลิ้วไหว ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายที่น่ากลัวไร้ขอบเขต
ท่านลู่เรียกนางว่าคุณหนู
ส่วนนางก็สะบัดกระบี่ฟันฟ้าดิน เปิดทางรอดชีวิตจากพลังระเบียบต้องห้ามที่ปกคลุมให้ท่านลู่
ลั่วชิงสวิน!
นี่คือมารดาของตน!
ในใจหลินสวินพลันอึดอัดและกดดันอย่างไม่อาจบรรยายเป็นคำพูด รู้สึกหายใจไม่ออกเหมือนคนจมน้ำ
เขาหอบหายใจกระชั้นถี่
ความจริงในปีนั้น ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!
…
เมื่อภาพที่ดึงมาจากความทรงจำของปาฉีปรากฏอีกครั้ง ก็ไม่ใช่ภาพที่ตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตแล้ว
หากแต่อยู่ในห้วงอากาศที่มืดมิดแถบหนึ่ง
‘ข้าช่วยชีวิตเจ้ามาจากเงื้อมมือของลู่ป๋อหยา จากนี้ไปชีวิตของเจ้าก็เป็นของข้าแล้ว’
ในความมืดมีเสียงเฉยชาที่ไร้คลื่นความรู้สึกดังขึ้น
นี่คือเสียงของจอมจักรพรรดิไร้นามคนก่อน
ปาฉีรับคำโดยไม่ลังเล ‘ยินดีฝ่าฝันอันตรายเพื่อใต้เท้าจอมจักรพรรดิ!’
‘จำลู่ป๋อหยานั่นไว้ จำเด็กทารกที่เขาช่วยไปด้วย ภายหน้าไม่ว่าจะกี่ปี ขอแค่เด็กทารกนี่ปรากฏตัว ต้องถือเป็นพวกนอกรีต กำจัดให้สิ้นซาก!’
เสียงของจอมจักรพรรดิไร้นามคนก่อนดังขึ้น
‘ขอรับ!’
ปาฉีรับคำ จากนั้นก็สูดหายใจลึกเอ่ยถาม ‘ใต้เท้าจอมจักรพรรดิ ผู้หญิงคนนั้น…’
‘เรื่องที่ไม่ควรรู้ ถ้ากล้าถามมากความระวังจะรักษาชีวิตไว้ไม่ได้’
ปาฉีสั่นไปทั้งตัว ไม่กล้าปริปากพูดมากอีก
‘เจ้าเคยได้ยินชื่อกระบี่ศุภโชคหรือไม่’
จอมจักรพรรดิไร้นามคนก่อนพลันเอ่ยถาม
ปาฉีอึ้งไป หลุดปากพูดออกมาว่า ‘สิ่งที่ใต้เท้าจอมจักรพรรดิถามถึง ใช่กระบี่มรรคที่ผู้หญิงคนนั้นครอบครองไว้หรือไม่’
เสียงของจอมจักรพรรดิไร้นามคนก่อนเจือความผิดหวัง ‘ดูท่าว่าเจ้าก็ไม่รู้ ข้านี่ถูกความโกรธครอบงำจนเลอะเลือน ทำไมถึงไปถามมดปลวกอย่างเจ้าได้’
ปาฉีสีหน้าปรวนแปรไม่หยุด ถูกจอมจักรพรรดิไร้นามคนก่อนมองเป็นมดปลวก เขากลับไม่กล้าแสดงความไม่พอใจเพียงเสี้ยว
ภาพเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง…
ปาฉีพาอวิ๋นชิ่งไป๋กลับสู่ดินแดนรกร้างโบราณ ปรากฏตัวที่สำนักกระบี่เทียมฟ้า
เมื่อดูถึงตรงนี้ในใจหลินสวินก็อดสงสัยไม่ได้ ในคืนที่ตระกูลหลินเกิดเหตุนองเลือด ท่านแม่… เป็นหรือตายกันแน่
หลินสวินเงียบไปนานมาก
ภาพต่างๆ ที่เห็นก่อนหน้านี้ทำให้เขาเข้าใจกระจ่าง
คืนวันที่เกิดเหตุนองเลือดในตระกูลหลิน การปรากฏตัวของอวิ๋นชิ่งไป๋ดึงดูดความสนใจของผู้แข็งแกร่งตระกูลหลิน ปาฉีฉวยโอกาสแฝงตัวเข้ามา ชิงชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดในตัวของตนไป…
ส่วนสาเหตุที่ปาฉีทำได้ถึงขั้นนี้อย่างราบรื่น ก็เป็นเพราะการปรากฏตัวของพลังระเบียบต้องห้าม ดึงดูดให้บิดามารดาของตนออกไป!
เมื่อท่านลู่มาช่วยก็ช้าไปหนึ่งก้าวแล้ว ได้แต่ช่วยตนที่ถูกชิงชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดไปแล้วเท่านั้น…
นานพอควร สีหน้าหลินสวินเปลี่ยนเป็นซับซ้อน เจือความเศร้าสร้อยเสี้ยวหนึ่ง ‘ปีนั้นเกิดเรื่องมากขนาดนี้ แต่ทำไมท่านลู่ถึงไม่เคยบอกข้า เขากำลังกังวลอะไร’
‘หืม?’
ทันใดนั้นหลินสวินสังเกตเห็นว่าภาพความทรงจำของปาฉีพลันเปลี่ยนไป อาศรมที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งปรากฏออกมา
‘เจ้าสำนัก ท่านเคยได้ยินชื่อกระบี่ศุภโชคหรือไม่’ ปาฉียืนอยู่ในอาศรม กำลังถามเจ้าสำนักอวี้คุนจื่อ
อวี้คุนจื่ออึ้งไป ‘กระบี่ศุภโชค?’
ปาฉีกล่าว ‘ใช่ กระบี่มรรคลึกลับเล่มหนึ่งที่ทำลายพลังระเบียบต้องห้ามได้อย่างง่ายดาย’
อวี้คุนจื่อเผยสีหน้าประหลาดใจ ‘กระบี่นี้มีอยู่จริงหรือ ข้าแค่ได้ยินว่าหากต้องการมุ่งหน้าไปยังแหล่งสถานศุภโชคหนึ่งในจตุโบราณสถานบรรพกาล จำเป็นต้องหาสมบัติที่มีชื่อว่ากระบี่ศุภโชคให้พบ แต่สุดท้ายนี่ก็เป็นแค่ตำนาน’
‘ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็ไม่มีใครเคยเห็น ‘กระบี่ศุภโชค’ ทำไมเจ้า… ถึงบอกว่ากระบี่นี้ทำลายพลังระเบียบต้องห้ามได้ เจ้าเคยเห็นกระบี่เล่มนี้หรือ’
ปาฉีเผยสีหน้าผิดหวังพลางกล่าว ‘ไม่มีอะไร ข้าแค่รู้ว่าจอมจักรพรรดิไร้นามสนใจกระบี่เล่มนี้มาก และกระบี่เล่มนี้… ก็ตกอยู่ในมือหญิงสาวที่ไม่รู้ว่าเป็นหรือตายคนหนึ่ง’
ยามสิ้นเสียงเขาหันหลังจากไป
ภาพหายไปแต่เพียงเท่านี้
หลินสวินก็อึ้งไป เขานึกถึงภาพที่เห็นก่อนหน้านี้ ท่านแม่ลั่วชิงสวินสะบัดกระบี่ เปิดหนทางรอดให้ท่านลู่
กระบี่เล่มนั้นในมือนาง เห็นได้ชัดว่าเป็นกระบี่ศุภโชค!
สามารถทำลายพลังระเบียบต้องห้ามได้อย่างง่ายดาย แน่นอนว่ากระบี่เล่มนี้ไม่ใช่สิ่งที่ของทั่วไปเทียบได้ จากคำพูดของอวี้คุนจื่อเจ้าสำนักแห่งสำนักโบราณจรัสเทพ กระบี่เล่มนี้ยังเป็นกุญแจที่พาไปสู่แหล่งสถานศุภโชคด้วย!
หลินสวินเคยเข้าไปในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ และเคยทะลวงฝ่าเข้าไปในแหล่งสถานคุนหลุน ย่อมรู้ดีเป็นธรรมดา ว่าการมีอยู่ของจตุโบราณสถานลึกลับและเหนือธรรมดาระดับใด
ในบรรดาจตุโบราณสถาน สถานที่ซึ่งลึกลับที่สุดก็คือแหล่งสถานศุภโชคและแหล่งสถานอัศจรรย์อย่างไม่ต้องสงสัย!
‘หรือท่านแม่เคยคิดจะไปที่แหล่งสถานศุภโชค ไม่อย่างนั้น ทำไมกระบี่ศุภโชคถึงตกอยู่ในมือนาง’
‘สันนิษฐานจากตรงนี้ หากท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อหลบหนีการตามล่าของจอมจักรพรรดิไร้นาม นางจะนำกระบี่ศุภโชคมุ่งหน้าไปยังแหล่งสถานศุภโชคแล้วหรือไม่’
ในใจหลินสวินเกิดการคาดเดามากมายทันที แม้สุดท้ายจะไม่อาจตัดสินได้ชัดเจน แต่เขาก็จดจำ ‘กระบี่ศุภโชค’ เล่มนั้นได้ขึ้นใจแล้ว!
พอดูภาพที่ปรากฏในความทรงจำของปาฉีต่อไป ก็ไม่มีเรื่องอื่นที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นองเลือดในตระกูลหลินเมื่อปีนั้นแล้ว
แต่เมื่อดูถึงตอนที่ปาฉีมาแคว้นหนาวเหน็บ ภาพยามพูดคุยกับพวกอวี้คุนจื่อในสำนัก กลับดึงดูดความสนใจของหลินสวิน
หลังจากนี้หนึ่งปีเคราะห์จ่อมจมจะมาเยือน เป็นทั้งมหันตภัยและเป็นศุภโชคชั้นยอดที่ไม่เคยมีมาก่อน!
ศุภโชคนี้เกี่ยวข้องกับมรรคคาถาบทหนึ่ง
ยอดหนทางสู่อมตะ แดนปรินิพพาน
เคราะห์จ่อมจมชั่วกัปกัลป์ ดอกบัวเบ่งบาน!
‘ที่แท้ก็ไม่ได้มีแค่เจ้าแคว้นฮวงโหว แม้แต่สำนักโบราณจรัสเทพก็จับจ้อง ‘แดนปรินิพพาน’ นี้ด้วย…’
พร้อมกันนี้ในที่สุดหลินสวินก็รู้ว่าจอมจักรพรรดิไร้นามที่มาใหม่นั้น ถูกเรียกว่า ‘จักรพรรดิสวรรค์ดำรง’ !