เครื่องบินที่เย่เฉินนั่งโดยสาร ลงจอดที่สนามบินจินหลิงอย่างปลอดภัยในเวลาสี่ทุ่มกว่าๆ
เพื่อเป็นการเซอร์ไพรส์เซียวชูหรัน เย่เฉินจึงไม่ได้บอกว่าคืนนี้เขาจะกลับมา
เฉินจื๋อข่ายเตรียมรถมารับที่สนามบินไว้รอแล้ว ดังนั้นเมื่อทุกคนลงมาจากเครื่อง ก็แยกย้ายกันไปขึ้นรถ กลับบ้านใครบ้านมัน
หงห้ากับเว่ยเลี่ยงแยกกันคนละทาง ส่วนเฉินจื๋อข่ายเสนอตัวขับรถไปส่งเย่เฉินที่Tomson Riviera และเย่เฉินก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร
หลังจากขึ้นมาบนรถ เฉินจื๋อข่ายขับรถไปพลาง พูดยิ้มๆกับเย่เฉินไปพลาง “คุณชาย ครั้งนี้เราขุดหลุมดักตระกูลซูไว้ซะสาหัส ถ้าหากตระกูลซูรู้เข้า คงสู้หาทางกลับอย่างเอาเป็นเอาตายแน่เลย….”
“ช่างสิ” เย่เฉินพูดยิ้มๆ “ตอนนี้ตระกูลซูแม้แต่ตัวเองยังพึ่งพาไม่ได้ สูญเสียคนไปเยอะขนาดนั้น สองสามปีนี้คงกู้สถานการณ์กลับมาไม่ได้หรอก ขนาดตัวเองยังเอาไม่รอดเลย”
“นั่นสินะ….” เฉินจื๋อข่ายพูดออกมาอย่างปลงๆว่า “ขนาดซูรั่วหลีที่แค่เอ่ยพูดถึงผู้คนก็หน้าเปลี่ยนสีแล้ว ยังถูกคุณหลอกให้ติดกับเลย ครั้งนี้ตระกูลซูเสียหายหนักหนามากจริงๆ”
“ซูรั่วหลี?” เย่เฉินขมวดคิ้วถาม “ใครคือซูรั่วหลี?”
เฉินจื๋อข่ายเอ่ยพูด “ก็ผู้หญิงที่ทักทายกับคุณตอนที่อยู่บนเครื่องบินไง นั่นแหละซูรั่วหลี หนึ่งในยอดฝีมือที่มีความสามารถเก่งกาจมากที่สุดของตระกูลซู”
“หืม?” เย่เฉินเอ่ยถามอย่างสงสัย “เธอคือลูกหลานตระกูลซูเหรอ?”
“ไม่น่าใช่ครับ” เฉินจื๋อข่ายเอ่ยขึ้น “แค่บังเอิญนามสกุลซูเฉยๆ เธอรับใช้ตระกูลซูตอนอายุสิบแปด จนถึงตอนนี้ก็เพิ่งสามปีเอง แต่ว่าในสามปีนี้ ผลงานที่สร้างไม่ใช่เล็กๆเลย ความสามารถแบบนี้ไม่ควรมองข้ามจริงๆ”
เย่เฉินพยักหน้าเบาๆ พูดกลั้วยิ้มว่า “น่าเสียดาย ที่ไม่มีโอกาสได้ประลองกับเธอ”
เฉินจื๋อข่ายหัวเราะฮ่าๆ “คุณชาย เธอก็แค่ยอดฝีมือที่เป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้น จะมาเทียบกับคุณได้ยังไง แค่คุณท่องยันต์ฟ้าร้อง ยัยเด็กซูรั่วหลีนั่นคงหลอมเป็นขี้เถ้าไปแล้ว!”
เย่เฉินเอ่ยพูดเรียบนิ่งว่า “ยันต์ฟ้าร้อง เอามาใช้บ่อยๆไม่ได้ ในอนาคตถ้ามีโอกาส ก็หวังว่าจะได้ประลองกับยอดฝีมือนักต่อสู้จริงๆเสียที”
เฉินจื๋อข่ายเอ่ยพูดว่า “ทั่วทั้งประเทศนี้นักสู้ฝีมือดีๆส่วนใหญ่จะอยู่ที่เมืองเย่นจิง ส่วนหนึ่งคอยรับใช้รัฐบาล ส่วนที่เหลือก็คอยรับใช้ตระกูลชนชั้นสูง”
เย่เฉินยิ้มเล็กน้อย “ถ้ามีโอกาส คงต้องลองไปเดินเล่นที่เมืองเย่นจิงดูซะแล้ว”
ขณะที่พูด จู่ๆโทรศัพท์ของเฉินจื๋อข่ายก็ส่งเสียงดังขึ้นมา
โทรศัพท์ของเขาวางอยู่บนที่ยึดโทรศัพท์ตลอด เมื่อก้มหน้ามอง ก็อุทานออกมาอย่างตกใจ “คุณชาย อาของคุณโทรมาครับ….”
“อาของฉัน?” เย่เฉินขมวดคิ้ว ในหัวมีภาพของผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏขึ้นมา
เขาพอจะจำคุณอาได้ เย่ฉางหมิ่นอ่อนกว่าพ่อเขาสองปี เมื่อก่อนไม่ได้สนิทกับคุณพ่อเท่าไหร่นัก ทั้งบ้านมีกันสามคนแต่ก็ใช่ว่าจะสนิทกันขนาดนั้น
ในความทรงจำของเขา คุณอาเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างเลือกปฏิบัติ เพราะคิดว่าคุณลุงคือพี่ชายคนโต ดังนั้นคุณอาจึงเลือกตีสนิทกับคุณลุงมาตั้งแต่เด็กๆ
อีกอย่าง เนื่องจากว่าคุณพ่อกับคุณอาไม่ค่อยถูกกัน ดังนั้นคุณอาเลยยืนอยู่ฝ่ายเดียวกันกับคุณลุง เมื่อก่อนมักจะคิดหาวิธีช่วยคุณลุงปอกลอกคุณพ่อ นี่คือจุดที่ทำให้เขาไม่ค่อยชอบหน้าอาหญิงคนนี้
ในตอนนี้เฉินจื๋อข่ายเริ่มเลิ่กลั่ก เอ่ยพูดขึ้นมาว่า “ผมไม่เคยติดต่ออาของคุณมาก่อนเลยนะ ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆถึงโทรมาหาผมได้ ขออนุญาตรับสายนะครับ”
“ได้สิ” เย่เฉินเอ่ยสั่ง “อย่าหลุดพูดข้อมูลที่เกี่ยวกับฉันออกไปเด็ดขาด”
“ได้ครับ คุณชาย!”
เฉินจื๋อข่ายพูดพร้อมกับเอื้อมมือไปกดรับสาย
ทันทีที่รับสาย เขาก็เอ่ยพูดอย่างนอบน้อมว่า “สวัสดีครับคุณหญิง!”
เฉินจื๋อข่ายเป็นคนรับใช้ของตระกูลเย่ เวลาลูกน้องเรียกเจ้านาย นอกจากคุณท่านที่ต้องเรียกว่าคุณท่านแล้ว ก็ต้องเรียกเย่ฉางโคง เย่ฉางอิง รวมไปถึงเย่ฉางหมิ่นว่าคุณชายกับคุณหญิงด้วย