หลินสวินถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง กดบ่าป๋อชวนไว้กล่าวว่า “เจ้าไปแล้วใครจะนำทางให้ข้า”

ป๋อชวนเอ่ยอย่างกระวนกระวายใจ “พี่หลิน เจ้าเพิ่งมานรกอำพรางเลยยังไม่รู้ เมิ่งซิงจื่อนั่นสั่งเด็ดขาดว่าใครกล้าเดินทางกับข้า ผู้นั้นก็คือศัตรูของเขา หากข้ากับเจ้าเดินทางร่วมกัน ก็เท่ากับกำลังทำร้ายเจ้านะ!”

ขณะพูดเขาก็เล่าที่มาที่ไปของเมิ่งซิงจื่อให้หลินสวินฟัง

แต่ใครจะคิดว่าหลังจากหลินสวินฟังจบกลับทำหน้าคล้ายไม่ได้นำพา คร้านจะถกถึงปัญหานี้อีก กล่าวว่า “ตกลงเจ้าจะไปหรือไม่”

ป๋อชวนนิ่งอึ้ง ผ่านไปครู่ใหญ่จึงกัดฟันเอ่ยตอบ “ไป!”

หลินสวินแย้มยิ้ม “นี่สิถึงจะถูก”

หนึ่งเค่อต่อมา

เงาร่างของทั้งสองปรากฏขึ้นเบื้องหน้าทางวังน้ำวนสีเลือดแห่งหนึ่ง นี่คือเส้นทางเชื่อมสู่ชั้นที่สอง

สวบๆ!

ไม่นานร่างของทั้งสองก็เลือนหายไปในนั้น

นรกอำพรางชั้นที่สอง

ฟ้าดินในนี้ยังคงมืดครึ้ม แดงฉาน กดดัน กลางฟ้าดินเต็มไปด้วยกลิ่นอายเหี้ยมเกรียมและพินาศย่อยยับ ทำให้แม้แต่หายใจก็ยังลำบาก

ในขณะที่ปรากฏในฟ้าดินแห่งนี้ เงาร่างของป๋อชวนซวนเซคราหนึ่งจนแทบจะหกคะเมน

สาเหตุก็เพราะแรงกดดันในชั้นที่สองนี้ยิ่งน่าพรั่นพรึง เดินอยู่ในนั้นดั่งคล้ายแบกมหาคีรีไว้บนร่าง ได้รับการกดดันจากทั่วสารทิศ

หลิวสวินมองดูป๋อชวนคราหนึ่ง พอตัดสินใจได้เลาๆ แล้วว่า อย่างมากสุดอีกฝ่ายคงฝึกฝนได้แค่ในชั้นสองนี้เท่านั้น ถ้าลงลึกไปอีกย่อมต้องประสบเคราะห์เป็นแน่

ฟุ่บ!

เงาสีโลหิตหยาบดุจหัวแม่มือสายหนึ่งพุ่งทะลวงออกมาประหนึ่งสายฟ้าแลบ แทงเข้าท้ายทอยหลินสวินอย่างไร้สุ้มเสียง

หลินสวินหาได้เหลียวหลังก็คว้ามันเอาไว้อย่างง่ายดาย จับร่างสีโลหิตสายนี้ไว้แน่น

นี่เป็นวิญญาณร้ายตัวหนึ่ง เลือดลมทั่วร่างดั่งกระแสน้ำ โครงหน้าบิดเบี้ยวอัปลักษณ์ ดวงตาที่คล้ายเมล็ดถั่วเขียวทั้งคู่เต็มไปด้วยแววดุร้ายแดงก่ำ พลังที่มีไม่ด้อยไปกว่าระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิหนึ่งชั้นฟ้า

ทว่าตอนนี้กลับถูกหลินสวินจับไว้เสมือนไส้เดือนตัวหนึ่ง แม้แต่แรงขัดขืนยังไม่มี ในปากที่มีเขี้ยวยาวแน่นขนัดส่งเสียงร้องเล็กแหลมออกมา

“ไอดุร้ายไม่น้อยเลย…”

หลินสวินสังเกตอยู่ครู่หนึ่งแล้วออกแรงที่ฝ่ามือ แผดเผาวิญญาณร้ายสายนี้ทันที จากนั้นผลึกต้นกำเนิดมหามรรคขนาดเท่าเมล็ดซิ่งเมล็ดหนึ่งก็ปรากฏกลางฝ่ามือ เทียบกับผลึกต้นกำเนิดมหามรรคที่ได้จากชั้นหนึ่งแล้ว เห็นได้ชัดว่าคุณภาพเหนือกว่าช่วงหนึ่ง

มองเห็นหลินสวินล่าสังหารวิญญาณร้ายอย่างง่ายดายเช่นนี้ ป๋อชวนรู้สึกตาลายไปครู่หนึ่ง หากเปลี่ยนเป็นเขา ต้องเจอศึกเลวร้ายครั้งหนึ่งแหงๆ

“ไป ไปสำรวจความเร้นลับของชั้นนี้กันหน่อย”

หลินสวินเดินนำหน้าไปก่อน ป๋อชวนก็เพิ่งเข้าชั้นสองเป็นครั้งแรกเช่นกัน ให้เขานำทางต่อก็ไม่ได้มีความหมายเท่าไหร่แล้ว

เวลาเพียงหนึ่งก้านธูป

ตลอดทางพวกหลินสวินพบเจอการโจมตีถึงสิบเก้าครั้ง วิญญาณร้ายที่ปรากฏแข็งแกร่งจนมีอานุภาพของระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดสองชั้นฟ้า ที่อ่อนแอที่สุดก็ยังมีปราณระดับกึ่งจักรพรรดิสามชั้นฟ้า

สำหรับป๋อชวนแล้ว ชั้นที่สองนี้อันตรายมากยิ่ง หากไม่ใช่เพราะหลินสวินนำทาง เขาคงเผ่นหนีไปไม่รู้กี่ครั้งแล้ว

ทว่าสำหรับหลินสวินแล้ว ไม่คณามือเลยสักนิด

เขาบุกตะลุยดุจผ่าลำไผ่ตลอดทาง!

ท่าทางที่ทำลายล้างอย่างง่ายดายนั้น ทำเอาป๋อชวนสะท้านจนเริ่มมึนชาตลอดทาง

เขาไม่อาจจินตนาการได้ว่า หอวิหคทองแดงมีคนร้ายกาจที่เรียกได้ว่าเย้ยฟ้าเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

หนึ่งวันให้หลัง

“ข้าต้องไปแล้ว ไปชั้นที่สาม”

หลินสวินตัดสินใจแล้ว ในช่วงหนึ่งวันมานี้เขาสำรวจความเป็นไปในชั้นที่สองของนรกอำพรางนี้อย่างชัดเจนแล้ว มีความรู้สึกเพียงอย่างเดียว…

น่าเบื่อ

ประโยชน์เพียงอย่างเดียวอาจจะเป็น ตลอดทางนี้สังหารวิญญาณร้ายรวบรวมผลึกต้นกำเนิดมหามรรคขนาดไม่ซ้ำได้หลายร้อยก้อน ทว่าล้วนเรียกได้ว่าล้ำค่ายิ่ง

ส่วนสมบัติมรดกเหมือนอย่างกระถางสมบัติสีเขียว กลับไม่พบเลยสักชิ้น เห็นได้ชัดเป็นอย่างที่ป๋อชวนว่าไว้ การปรากฏของสมบัติมรดกก็ต้องพึ่งโชคลาภเช่นกัน เป็นวาสนาที่พานพบได้แต่ไม่อาจร้องขอ

“พี่หลิน เจ้าวางแผนจะไปชั้นเก้าจริงๆ หรือ”

ป๋อชวนอดพูดไม่ได้ ตอนแรกสุดเขาไม่เชื่อคำของหลินสวินสักนิด คิดว่าอีกฝ่ายเพิ่งมาเยือน ไม่เข้าใจความน่ากลัวของนรกอำพราง

แต่ตอนนี้ เมื่อได้ร่วมเดินทางมากับหลินสวินจนบัดนี้ เขารับรู้ถึงความน่ากลัวในพลังต่อสู้ของหลินสวินนานแล้ว ในใจกลับเริ่มเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแล้ว

หลินสวินร้องอืมคราหนึ่ง แบ่งผลึกต้นกำเนิดมหามรรคส่วนหนึ่งที่ได้มาในช่วงหลายวันนี้ให้ป๋อชวน จากนั้นก็ตั้งใจจะบอกลา

ป๋อชวนอาลัยอาวรณ์ยิ่ง ทว่าเขารู้ดียิ่งกว่าว่าหากตนตามหลินสวินไปตลอด ก็ไม่มีโอกาสให้ตนได้ลงมือแม้แต่น้อย และย่อมไม่มีทางมีโอกาสเคี่ยวกรำมรรควิถีแห่งตนอย่างแน่นอน

ป๋อชวนสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ประสานหมัดเอ่ย “พี่หลิน เช่นนั้นขอให้เจ้ารักษาตัวตลอดทางด้วย ข้าหวังยิ่งว่าเจ้าจะสามารถสำแดงความสง่างามของเจ้าหอวิหคทองแดงในปีนั้นได้อีกครั้ง ตะลุยสู่ชั้นที่เก้าในคราวเดียว!”

หลินสวินยิ้ม ตั้งท่าจะกล่าวอะไร จู่ๆ ก็ขมวดคิ้ว นัยน์ตาดำราวกับมีสายฟ้าวาบผ่าน ทอดมองไกลออกไป

ฮู้ม…

ห้วงอากาศไกลออกไปหอบม้วน สะท้อนเงาร่างเป็นสายๆ ผู้นำคือชายหนุ่มหน้าตาเหนือธรรมดา สวมชุดเกราะสีชาด ผมยาวพลิ้วไสว ข้างเอวเหน็บดาบยักษ์เล่มเขื่องไว้เล่มหนึ่ง

ข้างกายชายหนุ่มคนนี้รายล้อมด้วยชายหญิงกลุ่มหนึ่ง หลิ่วเซี่ยวและสตรีเย้ายวนนั่นก็รวมอยู่ในนั้นด้วย

ยามมองเห็นชายหนุ่มรูปงามที่เป็นผู้นำ ป๋อชวนหน้าเปลี่ยนสีในบัดดล กล่าวอย่างไม่ลังเล “พี่หลิน เจ้ารีบไปเร็ว!”

เสียงเจือแววร้อนรน ตื่นตระหนกและไม่สงบ

หลินสวินตบไหล่ป๋อชวนกล่าวว่า “ข้าย่อมต้องไปแน่ แต่ก่อนไปช่วยเจ้าจัดการปัญหาบางเรื่องสักหน่อยจะเป็นไร”

ป๋อชวนอึ้งไป

และพร้อมกันนั้นหลิ่วเซี่ยวที่อยู่ไกลออกไปก็ชี้มายังหลินสวิน แล้วเอ่ยด้วยเสียงเย็นเยียบ “ศิษย์พี่เมิ่งซิงจื่อ เป็นเจ้านั่นที่ฝ่าฝืนคำสั่งของท่าน ยืนกรานจะเป็นปฏิปักษ์กับพวกเรา!”

ผู้นำที่เป็นชายหนุ่มรูปงามในชุดเกราะสีชาดนั่นร้องอ้อคราหนึ่ง จ้องมองหลินสวินด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก กล่าวว่า “เจ้ายังมีอะไรจะต้องการอธิบายหรือไม่”

เสียงเจือกลิ่นอายสง่าสูงส่ง

เขาก็คือเมิ่งซิงจื่อ!

ก่อนหน้านี้ป๋อชวนก็เคยอธิบายกับหลินสวินแล้วว่า คนผู้นี้เข้าสู่นรกอำพรางเมื่อหนึ่งร้อยเก้าสิบสามปีก่อน ถูกมองเป็นหนึ่งใน ‘เจ็ดยอดมงกุฎ’ ระดับกึ่งจักรพรรดิของหอวิหคทองแดง พลังต่อสู้ดุดัน รากฐานพลังกร้าวแกร่ง เป็นดั่งผู้นำในหมู่คนรุ่นเดียวกัน

หลินสวินกวาดตามองปราดหนึ่ง เห็นอีกฝ่ายกลิ่นอายแน่วนิ่ง อานุภาพกลับไม่ธรรมดาเป็นที่สุด ในระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิเรียกได้ว่าเป็นบุคคลชั้นยอดคนหนึ่ง

แต่ก็เพียงแค่นี้เท่านั้น

ก่อนหน้านี้นานมาแล้ว หลินสวินก็ไม่เห็นคนรุ่นเดียวกันอยู่ในสายตา ต่อให้เป็นระดับจักรพรรดิทั่วไปก็ไม่อาจทำให้เขารู้สึกกริ่งเกรงใดๆ ได้ ภายใต้สถานการ์เช่นนี้มีหรือจะเห็นเมิ่งซิงจื่ออยู่ในสายตา

“ศิษย์พี่เมิ่ง พี่หลินเป็นผู้มาใหม่ ยังไม่เข้าใจสถานการณ์อะไรนัก เรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับเขา หากท่านต้องการลงโทษ ข้าป๋อชวนขอน้อมรับเพียงแต่ผู้เดียว!”

ป๋อชวนกัดฟันแน่น แสดงตัวออกไป เห็นชัดว่าเขากังวลจริงๆ ว่าตนจะทำให้หลินสวินพลอยเดือดร้อนไปด้วย จึงตั้งใจจะแบกความรับผิดชอบทั้งหมดไว้บนบ่าเสียเอง

นี่ทำให้หลินสวินเห็นแล้วทั้งจนปัญญาทั้งทอดถอนใจ จิตใจของเจ้านี่ดียิ่งนัก แต่มีเพียงสายตาอย่างเดียว… ที่ย่ำแย่ไปหน่อย

“เจ้าบอกว่าไม่เกี่ยวก็คือไม่เกี่ยวรึ”

หลิ่วเซี่ยวสีหน้าเต็มไปด้วยความแค้น “ขอบอกเจ้าเลยนะป๋อชวน วันนี้ไม่ใช่แค่เจ้านั่น แม้แต่เจ้าเองก็ยากจะหนีคราวเคราะห์พ้นเช่นกัน!”

“ป๋อชวน หากพวกเจ้าสองคนรู้ตัวก็รีบคุกเข่าลงซะ!” สตรีเย้ายวนคนนั้นตวาดใส่

พวกเขาแต่ละคนกร่างไม่เกรงกลัว เสมือนว่ามีเมิ่งซิงจื่ออยู่พวกเขาก็สามารถกำเริบเสิบสาน ไร้ซึ่งความหวั่นเกรงได้

ดวงตาป๋อชวนแดงก่ำ สองมือกำแน่น ตวาดออกไปว่า “ถ้าแน่จริงวันนี้พวกเจ้าก็ฆ่าข้าเลย หาไม่วันหน้าข้าป๋อชวนจะเอาคืนเป็นสิบเท่า!”

เสียงกึกก้องทรงพลัง เจือแววเด็ดเดี่ยวหาใดเปรียบ!

บรรยากาศในที่นั้นพลันเงียบสงัดลง

ไม่มีใครกล้าสังหารศิษย์ร่วมสำนักในนรกอำพราง นี่คือกฎเหล็ก!

ต่อให้พวกหลิ่วเซี่ยวจะแค้นแค่ไหน บางทีอาจกล้าเหยียบย่ำและทรมานป๋อชวนอย่างกำเริบเสิบสาน แต่ก็ไม่กล้าฆ่าคนอยู่ดี

แต่เห็นได้ชัดยิ่งว่าป๋อชวนแค้นพวกเขาเข้าไส้แล้ว ครานี้หากไม่ฆ่าซะ วันหน้าย่อมต้องลงมือล้างแค้นพวกเขาแน่!

“ล้างแค้น? เอาคืนสิบเท่า? ป๋อชวน เจ้าใจกล้าดีนี่…”

เมิ่งซิงจื่อเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา นัยน์ตาพรั่งพรูแววเยียบเย็นน่าสะพรึง “ข้าให้โอกาสเจ้า คุกเข่าขอโทษข้าตอนนี้ ข้าจะถือว่าแล้วกันไป ถึงขั้นไม่ถือสาปล่อยพวกเจ้าไปในครั้งนี้ หาไม่เจ้าก็น่าจะรู้ดีว่าผลของล่วงเกินข้าหนักหนาปานใด”

ทันทีที่เสียงนี้สิ้นสุด ใบหน้าป๋อชวนพลันอัดอั้นจนบวมแดง

และในเวลานี้จู่ๆ หลินสวินก็สาวเท้าก้าวมาด้านหน้า เอ่ยว่า “ป๋อชวน ข้าไม่สนว่าเจ้ากับคนพวกนี้มีบุญคุณความแค้นอะไร และไม่สนว่าใครถูกใครผิด แต่ในเมื่อเรื่องเกิดขึ้นแล้ว และข้าคนแซ่หลินก็อยู่ในเหตุการณ์ ย่อมไม่มีทางยืนกอดอกนิ่งดูดายแน่”

พวกหลิ่วเซี่ยวหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ต่อให้พวกเขามั่นใจเต็มเปี่ยม แต่เมื่อเผชิญหน้ากับหน้าหลินสวิน ในใจกลับยังไม่อาจเลี่ยงความหวาดกลัวดังเดิม รู้สึกกริ่งเกรงหาใดเปรียบ

เมิ่งซิงจื่อขมวดคิ้วกล่าวว่า “ดูท่าใจเจ้าจะไม่ยินยอมกระมัง หรือจะบอกว่านี่ก็คือคำอธิบายที่เจ้าให้ข้า”

เสียงเจือแววเย็นยะเยือก

หลินสวินไม่ได้ยี่หระ พูดกับป๋อชวนต่อ “อีกอย่าง สายตาเจ้าย่ำแย่จริงๆ ต่อไปเจ้าต้องมองให้ชัด ว่าใครยืน ใครคุกเข่ากันแน่”

เสียงสิ้นสุดลง

เขาย่างเท้ากลางอากาศ เดินไปเบื้องหน้า

“รนหาที่ตาย!”

นัยน์ตาเมิ่งซิงจื่อวาบไอสังหาร ฟันฝ่ามือออกไปทันที

ฉัวะ!

พลังฝ่ามือราวกับดาบ แผ่กฎเกณฑ์เปลวเพลิงแสบตา กรีดผืนฟ้าเป็นแนวยาว

ทว่าการโจมตีนี้กลับคว้าน้ำเหลว

ก็เห็นเงาร่างหลินสวินไหววูบ พลันปรากฏขึ้นตรงหน้าหลิ่วเซี่ยว ทำเอาฝ่ายหลังตกใจจนทั่วร่างแข็งทื่อ ยังไม่ทันจะมีปฏิกิริยาก็ถูกฝ่ามือของหลินสวินกดอยู่ที่ไหล่แล้ว

“คุกเข่า”

ชั่วขณะที่เสียงราบเรียบดังขึ้น ร่างของหลิ่วเซี่ยวราวเสาไม้ต้นหนึ่ง ตกลงจากกลางอากาศอย่างแรง คุกเข่าสองข้างลงกับพื้น สะเทือนจนผืนดินไหวสะเทือน ฝุ่นควันคลุ้งกระจาย

พวกสตรีเย้ายวนและชายผอมแห้งที่อยู่ใกล้ๆ ล้วนหน้าเปลี่ยนสี เผ่นหนีโดยไม่ลังเล พร้อมกันนั้นก็ร้องเสียงแหลมให้เมิ่งซิงจื่อช่วย

อันที่จริงเมิ่งซิงจื่อโจมตีเข้ามาก่อนแล้ว มือกุมดาบยักษ์ฟันฉับลงมา เผด็จการไร้ทัดเทียม

แต่หลินสวินก็ไม่แม้แต่จะมอง เงาร่างพริบวาบ ทำให้เมิ่งซิงจื่อคว้าน้ำเหลวไปอีกครั้ง

“คุกเข่า”

ในเวลาเดียวกันนี้ เสียงไม่ราบเรียบนั่นของหลินสวินดังขึ้น ไม่เห็นการเคลื่อนไหวของเขา แต่พวกสตรีเย้ายวนและชายผอมแห้งนั่นต่างทรุดตัวคุกเข่าลงเต็มพื้น

ผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นที่ติดตามมาพร้อมกับเมิ่งซิงจื่อก็ไม่อาจโชคดีรอดพ้น ถูกพลังกดดันอันน่าสะพรึงกดข่มบนร่าง คุกเข่าทีละคน ถูกจองจำอยู่บนพื้นไม่อาจขยับเขยื้อน

ขณะที่เมิ่งซิงจื่อคิดจะลงมือเป็นครั้งที่สาม ยามทอดสายตามองไปรอบๆ ในที่นั้นนอกจากเขา ข้างกายก็ไม่มีคนที่ยืนอยู่อีกเลย!

ทั้งหมดนี้แทบจะเกิดขึ้นในชั่วพริบตาเดียว เร็วจนน่าเหลือเชื่อ!

และทำเอาเมิ่งซิงจื่อหน้าเปลี่ยนสีอย่างสิ้นเชิง ในใจผุดความหนาวเหน็บอย่างไม่อาจควบคุม เจ้านี่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน เขา… เป็นเทพศักดิ์สิทธิ์จากที่ใดกันแน่