ชายชุดเขียวกระอักเลือด ผิวหนังบนตัวปรากฏรอยแตกมากมายดุจเครื่องลายครามที่แตกระแหง

เขาเงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก มองหลินสวินที่อยู่ไกลออกไปอย่างไม่อยากเชื่อ

พลังของฝ่ามือเดียวก็ทำเอาเขาที่โจมตีเต็มกำลังบาดเจ็บสาหัส!

“ทีนี้เจ้ายอมหรือยัง” สายตาหลินสวินมองมาจากไกลๆ เรียบนิ่งไร้คลื่นอามรมณ์

ชายชุดเขียวหอบหายใจถี่กระชั้นครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ก้มหน้าทอดถอนใจ “ไม่อยากยอม… คงไม่ได้แล้ว…”

“อีกครึ่งหนึ่งของทวนมหามรรคไร้สวรรค์อยู่ที่ไหน” หลินสวินถามตรงๆ

ชายชุดเขียวนิ่งเงียบครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “หลังจากข้าบอกไปแล้วก็จะตายกระมัง”

หลินสวินไม่ได้ปฏิเสธ “อย่างน้อยเจ้าสามารถตายอย่างสบายในรวดเดียว”

มุมปากชายชุดเขียวกระตุกคราหนึ่ง กล่าวว่า “อันที่จริงข้าก็เดาออกแต่แรกว่าจะต้องมีวันนี้ แต่ในใจยังคงซ่อนความรู้สึกโชคดีเสี้ยวหนึ่งเรื่อยมา… ช่างเถิด บอกเจ้าก็ไม่เห็นเป็นไร หากความทรงจำก่อนที่ข้าจะตื่นรู้ไม่ได้ผิดเพี้ยน อีกครึ่งหนึ่งของทวนมหามรรคไร้สวรรค์น่าจะอยู่ในมือของ ‘จักรพรรดิผีค้างคาวเงิน’ ในชั้นที่เจ็ด”

กล่าวจบเขาก็เหมือนปล่อยวาง เอนกายนอนบนพื้น หลับตาลงกล่าวว่า “ให้ข้าไปสบายหน่อยแล้วกัน”

จู่ๆ เขาก็นึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้นานมาแล้ว

ในตอนนั้นเขาเพิ่งตื่นรู้ จากวิญญาณร้ายที่อำมหิตดุดันไร้ความเป็นคนตนหนึ่ง แปรสภาพเป็นร่างวิญญาณที่สามารถใคร่ครวญได้ สามารถแยกแยะฟ้าดินได้ สามารถฝึกปราณได้

ในยามนั้นเขาสัมผัสได้ถึงความทดท้อหาใดเปรียบ ต่อให้เขาจะมีสติปัญญา ทว่าเขาเกิดมาพร้อมกับบาปดั้งเดิม สิ่งที่ไหลเวียนภายในร่างก็คือเสี้ยวเจตจำนงและไอชั่วร้ายที่ผสมปนเป ไอเลือดที่สกปรก

แต่เขาก็ไม่ได้อยากเป็นวิญญาณร้ายที่มีสติปัญญาตนหนึ่งด้วยซ้ำ!

เหมือนกับคำพูดที่เขากล่าวกับเมิ่งซิงจื่อก่อนหน้านี้ เกิดเป็นวิญญาณร้ายต้องทำตัวชั่วช้าเท่านั้นหรือ

หลายปีนี้เขาเอาแต่ขบคิดปัญหานี้มาตลอด

ที่นี่คือนรกอำพราง ก็เหมือนกรงขังแห่งหนึ่ง ไม่อาจหลุดพ้น อยู่ในนี้เขาก็ทำได้แค่เป็นพวกพ้องเดียวกับวิญญาณร้ายพวกนั้น คิดอยากแยกแยะดีชั่ว ขาวดำ ถูกผิดอะไรพวกนั้นให้ชัดเจน…

แทบจะเป็นไปไม่ได้!

และตอนนี้อีกเดี๋ยวก็ต้องตายแล้ว จู่ๆ ชายชุดเขียวพลันรู้สึกราวยกภูเขาออกจากอกอย่างหนึ่ง

อะไรคือดีชั่ว ขาวดำ ถูกผิด ทั้งหมดล้วนไม่สำคัญอีกแล้ว เขาสัมผัสได้เพียงความโชคดีอย่างหนึ่ง อย่างน้อย… เขาก็เคยใช้ชีวิตอย่างแท้จริง!

ไม่เหมือนกับวิญญาณร้ายพวกนั้น ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม และไม่รู้ว่าตายไปเพราะอะไร โง่งมไม่รู้ตัวตน!

รอคอยอยู่นานจู่ๆ ชายชุดเขียวก็นิ่งอึ้ง เหตุใดยังไม่ตาย

เขาอดไม่อยู่ลืมตาขึ้นมา ฟ้าดินเวิ้งว้าง ทิวทัศน์คงเดิม

เขาเงยหน้าขึ้นกวาดมองรอบๆ อย่างยากลำบาก กลับพบว่าในที่นั้นไม่มีเงาร่างของชายหนุ่มคนนั้นนานแล้ว มีเพียงม้วนหยกม้วนหนึ่งวางนิ่งอยู่ข้างกายตน

เขานิ่งเงียบครู่หนึ่งแล้วจึงหยิบม้วนหยกขึ้น ในนั้นบันทึกคัมภีร์มรรคมรดกเล่มหนึ่ง นามว่าคัมภีร์มหาครรภ์จุติ!

ในใจชายชุดเขียวดั่งถูกสายฟ้าฟาดคราหนึ่ง อึ้งงันอยู่ตรงนั้น ร่างกายค่อยๆ สั่นเทิ้มขึ้นมาเพราะความรู้สึกที่ถาโถมอย่างบอกไม่ถูก

เนิ่นนาน

ชายชุดเขียวหยัดกายขึ้น คุกเข่าลงอย่างนอบน้อม หันไปโขกคำนับเต็มขั้นให้กับจุดที่อยู่ห่างไกล

นับตั้งแต่วันนี้ไป นรกอำพรางขาดเจ้าแห่งวิญญาณร้ายไปหนึ่งตน ทว่ามีบัณฑิตที่หยั่งรู้ธรรมคัมภีร์ตลอดทั้งวันเพิ่มมาหนึ่งคน

อาภรณ์เขียวผึ่งผาย จิตใจพิสุทธิ์ผ่องแผ้ว

ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดในภายภาคหน้า เขาท่องยอดคัมภีร์สูงสุด ออกโปรดสัตว์ให้เหล่าวิญญาณร้ายในนรกอำพราง ชื่อเสียงสะท้านทั่วหล้า ชาวโลกขนานนามเขาว่า ‘จักรพรรดิธรรมบัณฑิต’!

ทุกความเป็นไปใช่กำหนดได้

ก่อนหน้านี้นานมาแล้ว ดอกกระบี่พันปีกเพิ่งเริ่มตื่นรู้ ในคืนฝนกระหน่ำถูกเสวียหยาผู้สืบทองคีรีดวงกมลช่วยไว้ และตั้งชื่อให้มันว่า ‘กระบี่ไผ่สดับหิมะ’

ต่อมาดอกกระบี่พันปีกจึงตอบแทนบุญคุณ ออกหน้าแทนหลินสวินในกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ

ก่อนหน้านี้นานมาแล้ว ชาวประมงน้อยที่เติบโตอยู่ริมทะเลผู้หนึ่งต้องตาหลี่เสวียนเวยผู้สืบทอดคีรีดวงกมล ภายใต้บุญวาสนา ชาวประมงน้อยผู้นั้นต่อมากลายเป็นบรรพจารย์ป๋อหยาจื่อผู้ก่อตั้งสำนักยุทธ์เสวียนจี

ก่อนหน้านี้นานมาแล้ว…

สำหรับผู้ฝึกปราณแล้ว บุญวาสนาที่ไม่ได้ตั้งใจบ่มเพาะ บางทีในเวลาต่อมาก็อาจเติบโตขึ้นเป็นไม้ใหญ่สูงเทียมฟ้าต้นหนึ่ง!

วาสนา อัศจรรย์เหนือบรรยาย

“พี่หลิน ก่อนหน้านี้ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วยที่พูดโกหกไป ทำเรื่องโง่งมเช่นคนเขลาเบาปัญญา”

เมิ่งซิงจื่อสีหน้าฉายแววละอาย ก่อนหน้านี้ตอนที่หลินสวินกำลังต่อสู้ เขาไม่ได้เผ่นหนี ถึงขั้นยังเตรียมพร้อมคอยช่วยเหลือหลินสวินด้วย

ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงเด็ดขาดคือ หลินสวินเพียงคนเดียวก็กวาดล้างวิญญาณร้ายทั้งหมดได้ ยิ่งกำราบเจ้าแห่งวิญญาณร้ายนั่นง่ายๆ อีก!

“รีบไปเถอะ ชั้นที่สี่นี้อันตรายเกินไป”

หลินสวินโบกมือ

“พี่หลิน…”

เมิ่งซิงจื่อยังอยากพูดอะไร กลับถูกหลินสวินตัดบท “ข้าไม่ได้มีอคติอันใดต่อเจ้า เจ้าเองก็อย่าตำหนิตัวเองให้มากเกินไปนัก หวังว่าภายหน้าเจ้ากระทำการใดอย่าได้เหยียบซ้ำรอยเดิมอีก”

กล่าวจบหลินสวินก็ทะยานแผ่วพลิ้วจากไป

สำหรับเขาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการไว้ชีวิตชายชุดเขียวนั่น หรือปล่อยเมิ่งซิงจื่อที่เคยโกหกเขาไปเช่นนี้ ล้วนไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร

เพียงแค่โอกาสประจวบเหมาะ ทำไปตามสถานการณ์เท่านั้น

สิ่งที่ทำให้หลินสวินกังวลใจจริงๆ ก็คือทวนมหามรรคไร้สวรรค์อีกครึ่งหนึ่งอยู่ที่ไหน!

เมิ่งซิงจื่อยืนอยู่ที่เดิมคนเดียวเนิ่นนาน ในที่สุดก็ถอนหายใจยาวก่อนหมุนตัวออกไป

เขารู้ว่าท้ายที่สุดแล้ว ต้นเหตุแห่งหายนะในครั้งนี้ก็ไม่พ้นสองคำ

ละโมบ!

หากไม่ใช่ว่าอยากจะครอบครองทวนมหามรรคไร้สวรรค์ไว้ในมือ เขาก็คงไม่พูดปดหลอกลวงหลินสวินไม่หยุดเป็นแน่

กล่าวอย่างไม่เกินจริง ตอนนั้นต่อให้หลินสวินฆ่าเขาซะ ก็เป็นเขาหาเรื่องใส่ตัวเอง!

นรกอำพรางชั้นที่ห้า

หลินสวินเดินทางอยู่ในนั้นเพียงลำพง ไอชั่วร้ายถาโถมปะทะหน้า แรงกดดันที่เกิดขึ้นสามารถทำให้มกุฎกึ่งจักรพรรดิทั่วไปยากจะเดินหน้าแม้เพียงครึ่งก้าว

แต่แรงกดดันพวกนี้ยังไม่ทันเฉียดใกล้หลินสวิน ก็ถูกสลายไปง่ายดาย

สวบ!

เงาร่างที่สวมอาภรณ์นักพรตขาดวิ่น นัยน์ตาสีเขียวมรกตตนหนึ่ง มือกำทวนใหญ่ชำรุดที่มีรอยเปื้อนสนิมเล่มหนึ่งพุ่งสังหารเข้ามา ยามที่ทวนใหญ่กวัดแกว่งก็ปรากฏภาพประหนึ่งภูเขาศพทะเลเลือด

นี่เป็นวิญญาณร้ายที่แทบไม่ด้อยไปกว่าชายชุดเขียวนั่น กร้าวแกร่งหาใดเปรียบ หากเปลี่ยนเป็นระดับมกุฎจักรพรรดิสามชั้นฟ้าคนอื่นยังยากจะต่อกร

แต่เมื่อหลินสวินกดฝ่ามือหนึ่งออกไป เงาร่างที่สวมชุดนักพรตนี้ก็ระเบิดแตกเป็นเสี่ยงๆ

เสียงดังแกร๊งดังคราหนึ่ง ผลึกต้นกำเนิดมหามรรคที่ส่องประกายบาดตาก้อนหนึ่งร่วงลงมา ถูกหลินสวินคว้าไว้ในมือ เมื่อมองอย่างถี่ถ้วน ภายในผลึกต้นกำเนิดมหามรรคนี่ ถึงกับมีเศษกฎเกณฑ์ระดับจักรพรรดิที่แทบจะสังเกตไม่เห็นอยู่เสี้ยวหนึ่ง!

‘ดูท่าที่ป๋อชวนพูดจะไม่ผิด ยิ่งลึกลงไป คุณลักษณะของผลึกต้นกำเนิดมหามรรคที่ได้รับก็ยิ่งสูงขึ้น…’

หลินสวินเก็บผลึกต้นกำเนิดมหามรรคก้อนนี้ไว้แล้วมุ่งหน้าต่อ

ชั้นห้านี้ยิ่งอันตรายอย่างไม่ต้องสงสัย วิญญาณร้ายที่กระจัดกระจายอยู่ตัวที่อ่อนแอสุดยังเทียบได้กับระดับมกุฎจักรพรรดิสามชั้นฟ้า ยิ่งไปกว่านั้นบนร่างของวิญญาณร้ายบางส่วนยังเจือกลิ่นอายระดับจักรพรรดิที่คล้ายมีแต่ไม่มีอยู่จางๆ เห็นได้ชัดว่าน่ากลัวหายิ่ง

น่าเสียดาย อย่างไรพวกมันก็ไม่ใช่ระดับจักรพรรดิที่แท้จริง และแน่นอนว่าไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของหลินสวินได้

หนึ่งก้านธูปต่อมา

หลินสวินเดินหน้าสามหมื่นลี้ ฆ่าวิญญาณร้ายไปห้าสิบเก้าตนตลอดทาง เก็บผลึกต้นกำเนิดมหามรรคสี่สิบสามก้อน ในนั้นที่บรรจุเศษเสี้ยวกฎเกณฑ์มรรคจักรพรรดิมีหกก้อน!

นอกจากสังหารวิญญาณร้ายพวกนี้แล้ว หลินสวินยังเก็บรวบรวมสมบัติที่แตกหักชำรุดได้มากมาย ล้วนเป็นสมบัติมรดกที่ถูกวิญญาณร้ายพวกนั้นครอบครอง เป็นสมบัติจักรพรรดิดึกดำบรรพ์เช่นกันทั้งหมด

แต่ที่น่าเสียดายคือ ทั้งหมดล้วนจิตวิญญาณไม่สมบูรณ์ ยังห่างไกลเกินกว่าจะเทียบกับศาสตราจักรพรรดิแท้จริง ถูกหลินสวินโยนเป็น ‘อาหาร’ แก่วิญญาณอู้เชวียและดาบหักแทน

หืม?

ทันใดนั้นหลินสวินสังเกตเห็นว่าบริเวณที่อยู่ไกลๆ มีการต่อสู้ดุเดือนฉากหนึ่งกำลังเกิดขึ้น

นั่นเป็นหญิงชุดดำรูปร่างสูงเพรียว กลิ่นอายดุดันเป็นที่สุดคนหนึ่ง มือถือดาบโค้งสีชาดที่แดงเพลิงปานไฟลุกคู่หนึ่ง ขณะเคลื่อนไหวก็เหมือนประกายไฟสีชาดโฉบพุ่ง

คู่ต่อสู้ของนางคือวิญญาณร้ายสวมเกราะสำริดชำรุดตนหนึ่ง ร่างสูงยาวราวจั้งกว่า ไอเลือดทั่วร่างตลบม้วน วิวัฒน์ออกมาเป็นแสงมรรคสีเลือดนับไม่ถ้วน

วิญญาณร้ายตนนี้ทรงพลังผิดธรรมดา เห็นได้ชัดว่ามีสติปัญญา ในยามต่อสู้ไม่ต่างอะไรกับผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิสามชั้นฟ้าที่แท้จริงคนหนึ่ง!

แต่หญิงอาภรณ์ดำคนนั้นดุดันยิ่งกว่า ชั่วอึดใจเดียวเท่านั้นก็โบกสะบัดดาบคู่ สังหารจนวิญญาณร้ายนั่นร้องลั่นสะเทือนฟ้า ไม่นานนักก็ถูกซัดทลาย ร่างถูกฟันเป็นเศษสีเลือดนับไม่ถ้วน

และในเวลานี้ ผลึกต้นกำเนิดมหามรรคที่มีสีสันลานตาก้อนหนึ่งก็ร่วงลงมา

ชิ้ง!

หญิงอาภรณ์ดำผิวปาก เก็บดาบคู่ไว้อย่างรวดเร็วแล้วหยิบผลึกต้นกำเนิดมหามรรถก้อนนั้นขึ้นมา เมื่อสังเกตครู่หนึ่ง ใบหน้างดงามที่มีดิบเถื่อนเต็มเปี่ยมนั่นก็ผุดรอยยิ้มพึงพอใจออกมา

เพียงแต่จู่ๆ นางก็หันศีรษะมองออกไปไกลๆ “โอ้ ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ ในที่สุดชั้นห้านี่ก็มีคนมาแล้ว”

ขณะพูดนางก็โบกไม้โบกมือ “ข้าชื่อหั่วหลัน เข้ามาในนรกอำพรางเมื่อสามร้อยห้าสิบเจ็ดปีก่อน เพิ่งมาชั้นที่ห้านี้เมื่อสามปีก่อน แล้วพี่ชายเล่า”

นางองอาจเปิดเผย ทั่วทั้งร่างเผยให้เห็นอานุภาพคมกริบโชกโชน เส้นผมสลวยมัดไว้หลังท้ายทอย ดวงหน้าพริ้มเพราสีข้าวสาลีมีเครื่องหน้าเด่นชัด งดงามเป็นที่ประจักษ์

“หลินสวิน เพิ่งมาเมื่อสองวันก่อน”

หลินสวินเดินเข้าไป มองสำรวจครู่หนึ่งก็ดูออกว่าหญิงที่นามว่าหั่วหลันคนนี้กลิ่นอายทรงพลังหาใดเปรียบ ห่างไกลเกินกว่าคนระดับเดียวกันทั่วๆ ไปจะเทียบชั้นได้

เมื่อลองคิดดูก็ถูก คนที่สามร้อยกว่าปีเอาแต่รบราฆ่าฟันในนรกอำพรางนี่อยู่ตลอด มีหรือที่พวกทั่วๆ ไปจะเทียบได้

“สองวันก่อน?”

หั่วหลันอึ้งไป ดวงตาหงส์วาววามดุจคมมีด มองสำรวจหลินสวินจากบนลงล่าง เอ่ยด้วยความแคลงใจ “จริงหรือเท็จกันเนี่ย”

“จะเชื่อหรือไม่ก็ไม่สำคัญ ขอตัวก่อนล่ะ”

ขณะหลินสวินพูดก็พุ่งทะยานไปเบื้องหน้า

ชั้นที่ห้านี้ยังคงไม่เหมาะให้เขาเริ่มฝึกฝน

“ช้าก่อน”

หั่วหลันร้องเรียก “ไปข้างหน้าอีกหน่อยจะเป็นอาณาเขตของวิญญาณชั่วร้ายที่แปลงมาจากจระเข้ยักษ์ดึกดำบรรพ์ ตื่นรู้มีสติปัญญานานมากแล้ว ดุกร้าวยิ่งยวด… นี่ๆ ข้าพูดกับเจ้าอยู่นะ!”

“ขอบคุณมากที่เตือน!”

ห่างออกไปหลินสวินเอ่ยปากโดยไม่แม้แต่จะเหลียวหลัง เสียงลอยมาจากที่ไกลๆ

หั่วหลันขมวดคิ้ว เจ้าคนโอหังนี่ ขนาดคำเตือนของตนก็ยังไม่ฟัง รีบไปตายขนาดนี้เชียวหรือ

คิดอยู่ครู่หนึ่งนางก็ยังกัดฟันแล้วไล่ตามไป

หลายปีมานี้นางสู้อยู่คนเดียวในฟ้าดินแถบนี้ ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้พบคนเป็นๆ สักคน จะทนมองอีกฝ่ายไปตายตาปริบๆ ได้อย่างไร

และพร้อมกันนี้หลินสวินเองก็สังเกตเห็นว่าหั่วหลันไล่ตามมา อดนิ่งอึ้งไม่ได้ จากนั้นก็ไม่ได้คิดมากอีก มุ่งหน้าต่อไป

“นี่! รอข้าด้วยสิ เจ้าเดินมั่วเช่นนี้จะเจอเหตุไม่คาดฝันง่ายที่สุดนะ!”

เสียงของหั่วหลันดังลอยมาจากด้านหลัง เจือแววเดือดดาลสายหนึ่ง คล้ายกำลังตำหนิหลินสวินว่าไม่รู้จักดีชั่ว

“แม่นางไม่ต้องห่วง ข้าคนแซ่หลินรู้จักประมาณตนดี”

เสียงของหลินสวินดังขึ้น ยังคงไร้ทีท่าจะหยุดเท้าตามเดิม

นี่ทำให้หั่วหลันเดือด นัยน์ตาลุกโชน เหิมเกริม เหิมเกริมเกินไปแล้ว!

เตือนแล้วเตือนอีก อีกฝ่ายกลับไม่รับน้ำใจ นางแทบจะอยากให้วิญญาณร้ายที่แปลงมาจากจระเข้ยักษ์ดึกดำบรรพ์นั่นปรากฏตัวออกมา แล้วสั่งสอนบทเรียนเจ็บปวดทรมานให้เจ้าคนแซ่หลินนี่ซะ!

ความคิดเช่นนี้เพิ่งผุดขึ้นมาในหัว ก็ได้ยินเสียงคำรามสะเทือนฟ้าสายหนึ่งดังขึ้นจากไกลๆ ทันที สะท้านสะเทือนจนห้วงอากาศปั่นป่วน ฝุ่นคลุ้งหินกลิ้ง

ตามมาติดๆ ด้วยไอชั่วร้ายที่ปกฟ้าคลุมดิน แผ่ขยายออกมาจากบริเวณไกลๆ!

“เจ้าสัตว์ร้ายนั่นถึงกับมาแล้วจริงๆ…” หั่วหลันอึ้งไป

………………………..