เวลานี้พนักงานเองก็วางตัวไม่ถูก มองเย่ฉางหมิ่น ไม่รู้ว่าควรจะแนะนำอย่างไรกับหม่าหลันดี

เย่ฉางหมิ่นขมวดคิ้วแน่น พูดกับพนักงานคนนั้นด้วยน้ำเสียงหยิ่งยโสเป็นอย่างมาก “เอาล่ะ เธอออกไปก่อนเถอะ ฉันจะคุยกับเธอ”

พนักงานทำราวกับได้รับการอภัยโทษ รีบร้อนถอยออกไปจากห้อง แถมยังใช้มือนำประตูขึ้นมาปิด

หม่าหลันมองเย่ฉางหมิ่นอย่างระแวดระวัง ถามเสียงเย็นว่า “นี่ เธอเป็นใครกัน?”

เย่ฉางหมิ่นกล่าวเสียงเรียบ “ฉันเป็นใครเธอยังไม่คู่ควรจะได้รู้”

หม่าหลันพลันสบถออกมาคำหนึ่ง “ถุย! เอานังหญิงแก่โสโครกอะไรมา แสร้งทำมาเป็นวางมาดอยู่ที่นี่กับฉัน? สวมเสื้อผ้าสีฉูดฉาด พร้อมกับกางเกงลายขาสั้น ไหนจะสะพายแอร์เมสปลอมอีก ที่ปัญญาอ่อนมันไม่ใช่เธอหรอกรึ?”

เย่ฉางหมิ่นพลันตวาดด้วยความโมโหทันที “เธอว่าอะไรนะ?! นี่คือเสื้อนอกระดับแฟชั่นโชว์ที่ดีไซเนอร์ตัวท็อปของชาแนลทำให้ฉันเองกับมือเลยนะ! ส่วนแอร์เมสนี่ก็เป็นรุ่นลิมิเตดที่ยอดเยี่ยมที่สุด! แค่เสื้อผ้าบนตัวฉันราคาก็เหยียบสิบล้านแล้ว!”

หม่าหลันกล่าวอย่างเหยียดหยาม “เสแสร้งให้มันน้อยๆ หน่อย เห็นฉันเป็นคนบ้านนอกไม่เคยผ่านโลกหรือ? ลำพังแอร์เมสเน่าๆ ใบนั้นของเธอ ยังกล้าบอกว่าเป็นรุ่นลิมิเตดอีก จะบอกเธอให้นะ ฉันสิที่เป็นคนสะพายแอร์เมสของแท้!”

พูดจบ เธอก็หยิบกระเป๋าสะพายแอร์เมสออกมาจากตู้ล็อกเกอร์ที่ตนใส่เอาไว้ในนั้นก่อนอาบน้ำ คล้องไว้ที่แขนแล้วยื่นไปตรงหน้าเย่ฉางหมิ่น พูดอย่างลำพองว่า “เบิกตาสุนัขของเธอดูให้ชัดๆ นี่ต่างหากถึงจะเป็นแอร์เมสของแท้ เรียบหรู ดูดี เข้าใจไหม?”

เย่ฉางหมิ่นมองแอร์เมสของหม่าหลันแวบหนึ่ง พลันถูกอารมณ์โกรธจนส่งเสียงหัวเราะออกมา

หม่าหลันเห็นเธอหัวเราะ ก็อดกระแนะกระแหนไม่ได้ว่า “ทำไม? เห็นของแท้เข้าเลยไม่กล้าแสแสร้งแล้วใช่ไหม?”

เย่ฉางหมิ่นถอนหายใจออกมา ก่อนจะยิ้มเย็นกล่าวว่า “ฉันพอจะรู้แล้วว่าอะไรที่เรียกว่าคนจน ที่แท้เธอนี่เองที่เรียกว่าคนจน!”

พูดจบ เธอก็พูดด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความดูถูกว่า “สะพายแอร์เมสแค่ระดับพื้นๆ ยังกล้ามาโอ้อวดต่อหน้าฉันอีก?”

หลังจากนั้นเย่ฉางหมิ่นก็ยกแอร์เมสของตัวเองขึ้นมาทันที แล้วยิ้มเย็นกล่าวว่า “เบิกตาสุนัขของเธอมองดูให้ชัดๆ แอร์เมสใบนี้ของฉัน ซื้อแบบของเธอได้ร้อยกว่าใบ!”

“พูดเหลวไหลอะไรของเธอ!” หม่าหลันพูดขึ้นอย่างรังเกียจเป็นที่สุด “อวดว่าเจ๋งแค่ไหนก็ไม่จ่ายภาษีทั้งนั้น ฟังจากความหมายในคำพูดของเธอแล้ว แอร์เมสใบนี้ของเธอราคาสิบล้าน?”

เย่ฉางหมิ่นยิ้มเย็นกล่าวว่า “สิบห้าล้านย่ะ!”

หม่าหลันเบะปาก “ไม่รู้จริงๆ ว่านังแก่น่าตายนี่มาจากไหน เอาหล่อนมาสับเป็นชิ้นๆ แล้วชั่งกิโลขาย ก็ยังไม่ได้ราคาสิบห้าล้านด้วยซ้ำ! ยังมาเสแสร้งกับตัวแม่อย่างฉันที่นี่อีก รีบไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้ อย่ามาทำให้ฉันเสียเวลาทำSPA!”

พอเย่ฉางหมิ่นได้ยินเช่นนี้ ก็โกรธจนสั่นไปทั้งตัว แทบอยากจะตบหม่าหลันสักฉาดหนึ่งจนทนไม่ไหว สั่งสอนตะพาบน้ำบ้านนอกที่ไม่เคยผ่านโลกตัวนี้เสียหน่อย

แต่ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าที่ตนมาที่นี่ในวันนี้ ไม่ได้มาเทียบว่าแอร์เมสของใครแพงกว่าใคร แต่ยังมีเรื่องสำคัญต้องจัดการ

ด้วยเหตุนี้ เธอจึงกัดฟันโบกมือ “เอาล่ะหม่าหลัน ฉันไม่พูดไร้สาระกับเธอแล้ว ไร้ประโยชน์ ครั้งนี้ที่ฉันมาหาเธอ เป็นเพราะอยากทำการซื้อขายกับเธอ”

“ทำการซื้อขาย?” หม่าหลันขมวดคิ้ว “ฉันไม่มีอะไรต้องมาซื้อขายกับคนสะพายแอร์เมสของปลอมอย่างเธอ รีบไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้!”

เย่ฉางหมิ่นระงับความโกรธเอาไว้ กล่าวเสียงเย็นชาว่า “เธอฟังฉันพูดให้จบก่อนก็ไม่เสียหาย หนนี้ที่ฉันมาหาเธอ มีแค่จุดประสงค์เดียว เธอกลับไปบอกให้ลูกสาวเธอหย่ากับเย่เฉินซะ หากเธอรับปากฉัน เช็คใบนี้ก็จะเป็นของเธอ”

พูดจบ เธอก็เอาเช็คร้อยล้านใบนั้นส่งให้หม่าหลัน พูดอย่างหยิ่งยโสอย่างยิ่งว่า “เช็คใบนี้มูลค่าร้อยล้าน ขอเพียงเธอรับปากฉัน เงินนี่เธอก็หยิบไปก่อนได้เลย!”

เห็นหม่าหลันทำสีหน้าท่าทางมึนงง เย่ฉางหมิ่นก็หัวเราะเยาะออกมา ใช้น้ำเสียงอย่างคนที่เหนือกว่าพูดว่า “แต่หม่าหลันเธอฟังฉันให้ดี ในเมื่อเธอได้เงินฉันไปแล้ว ก็ต้องจัดการเรื่องที่ฉันมอบหมายไปให้ดี! ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ฉันไม่เพียงจะทำให้เธอคายเงินจำนวนไม่น้อยก้อนนี้ออกมา ยังจะทำให้เธอจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลอีกด้วย!”