มองตนเป็นน้องชาย
หลินสวินซาบซึ้งในอย่างอดไม่ได้อยู่บ้าง ในสมองยังมีใบหน้างามล้ำในชุดเขียว ร่มสีเลือด มีเสน่ห์นั้นของชิงอิงปรากฏขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่
“ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว”
จ้งชิวนั่งลงกับพื้น “บทสนทนาระหว่างพวกเจ้าเมื่อครู่ข้าได้ยินหมดแล้ว อยากบอกเจ้าแค่ประโยคเดียว”
หลินสวินก็นั่งตามลงไป เผยสีหน้ารับฟัง
“ข้าปกครองโลกมืดมาไม่รู้กี่ปี สิ่งที่รอก็มีแต่แดนปรินิพพานนี้ อยากดูเสียหน่อยว่าใครจะได้เป็นหนึ่งบัวเบ่งบานในคำพูดของอาจารย์ดอกนั้น”
“ข้าหวังว่าจะเป็นเจ้า แต่ก็ทำได้แค่หวัง”
เสียงจ้งชิวดังก้องในโถงอันเงียบเชียบแห่งนี้
“ถ้าไม่ใช่ข้าล่ะ” หลินสวินถาม
จ้งชิวคิดๆ แล้วเอ่ยว่า “ก็คงผิดหวังอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ใครให้เจ้าเป็นศิษย์น้องเล็กของข้าจ้งชิวเล่า”
พูดจบก็ยิ้มออกมาอย่างอดไม่อยู่
ดูคล้ายเป็นคำพูดล้อเล่น แต่ในใจหลินสวินกลับปั่นป่วนไม่ว่างเว้น
เขารู้ดีว่าเพื่อปกป้องตน แรงกดดันที่ศิษย์พี่รองจ้งชิวกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ใหญ่โตขนาดไหน นั่นคืออันตรายที่ถูกทั่วหล้าร่วมกันมองว่าเป็นศัตรู!
จ้งชิวชำเลืองมองหลินสวินครั้งหนึ่ง คล้ายอ่านความคิดเขาออก “เจ้าไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้หรือรู้สึกว่าติดค้างอะไรข้านักหรอก”
“คราวนี้ไม่ว่าแดนปรินิพพานจะปิดฉากลงด้วยวิธีใด ข้าก็จะไม่อยู่ในโลกมืดนี้อีก ดังนั้นต่อให้เป็นศัตรูกับทั้งโลกข้าก็ไม่กลัว”
“หอวิหคทองแดงเล่า” หลินสวินเอ่ยอย่างอดไม่ได้
หอวิหคทองแดงเป็นหนึ่งในสามยักษ์ใหญ่ของโลกมืด อิทธิพลแผ่ขยายไปทั่วหล้าฟ้าดารานานแล้ว ศิษย์พี่รองซึ่งมีฐานะเป็นผู้สร้างหอวิหคทองแดง จะไม่กังวลว่าหอวิหคทองแดงจะถูกโจมตีจนวอดวายหรือ
จ้งชิวยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ขอเพียงข้าไม่ตาย ใครก็ไม่กล้าทำลายหอวิหคทองแดงให้ราบคาบหรอก เว้นแต่พวกเขาไม่อยากอยู่แล้ว”
หลินสวินเชื่อคำพูดนี้
ศักยภาพของศิษย์พี่รองย่อมแข็งแกร่งอย่างไร้ข้อกังขา มองไปทั่วหล้ายังเรียกได้ว่าเป็นยอดบุคคลที่มีเพียงหยิบมือ
ถ้าเขาตั้งใจแน่วแน่ว่าจะล้างแค้นใคร จะมีสำนักไหนไม่กลัวได้
“จักรพรรดิสวรรค์ดำรงล่ะ” หลินสวินเอ่ย นี่จึงจะเป็นสิ่งที่เขากังวลที่สุด
จ้งชิวนิ่วหน้าอย่างอดไม่ได้ พูดว่า “ศิษย์น้อง เจ้าว่าศิษย์พี่รองของเจ้าสู้ศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้หรือ”
หลินสวินยิ้มเจื่อน “ข้าจะกล้าได้อย่างไร”
จ้งชิวพูด “เช่นนั้นก็พอแล้ว จักรพรรดิไร้นามคนก่อนถูกศิษย์พี่ใหญ่กำราบไป จักรพรรดิสวรรค์ดำรงคนนี้… ย่อมต้องให้ข้ามาสะสาง”
เสียงเรื่อยเปื่อยแต่เผยให้เห็นความโอหังอย่างหมดจด
“ข้ามาคราวนี้ไม่ได้มาคุยกับเจ้าเรื่องนี้”
จ้งชิวจัดการความคิดความรู้สึกแล้วเอ่ยว่า “อีกหนึ่งเดือนแดนปรินิพพานจะมาเยือน สมบัติและกำลังภายนอกใดๆ ที่ผู้ที่เข้าไปในนั้นพกติดตัวจะถูกผนึกไม่สามารถใช้ได้ทั้งหมด”
“นี่ก็หมายความว่า การประชันในแดนปรินิพพานจะพึ่งได้แต่มรรควิถีของตัวเองเท่านั้น”
ฟังถึงตรงนี้หลินสวินนิ่วหน้าอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็คลายลงทันที
สมบัติบนตัวเขามีมากมาย อย่างเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุด เหล่าศาสตราจักรพรรดิคุนหลุน ต่างเรียกว่าเป็นมหาสมบัติที่ยอดเยี่ยมยิ่งยวด
ต่อให้ไม่พูดถึงสมบัติทั้งหมดนี้ อย่างพวกเย่จื่อ อู้เชวีย วิญญาณดาบหักก็ให้ความช่วยเหลือได้เป็นอย่างยิ่งในเวลาคับขัน
แต่เห็นได้ชัดว่าในแดนปรินิพพาน ไม่ว่าจะเป็นสมบัติเหล่านั้นหรือกำลังของพวกเย่จื่อก็ไม่อาจใช้ได้อีกแล้ว
นี่เท่ากับทำให้หลินสวินสูญเสียไพ่ตายจำนวนหนึ่งไป
แต่เช่นเดียวกัน ผู้แข็งแกร่งที่เข้าสู่แดนปรินิพพานคนอื่นก็ต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้!
จ้งชิวเห็นสีหน้าหลินสวินที่เปลี่ยนแปลงไปทั้งหมด ลอบพยักหน้าอย่างอดไม่ได้ การชิงชัยในมหามรรคว่ากันถึงแก่นแล้ว สุดท้ายที่ประชันกันก็คือมรรควิถีของตัวเอง
“นอกจากนี้ในแดนปรินิพพาน สิ่งที่ลึกลับและน่ากลัวที่สุดคือพลังของวัฏจักรกาลเวลา พลังระเบียบเช่นนี้เคยปรากฏแค่ในต้นยุคดึกดำบรรพ์เท่านั้น ตามคำพูดของอาจารย์ ภายใต้วัฏจักร ทันทีที่หลงอยู่ในนั้น ต่อให้มรรควิถีของเจ้าจะเทียมฟ้าก็ไม่สามารถควบคุมความเป็นตายได้ แพ้ชนะกลายเป็นว่างเปล่า”
จ้งชิวเอ่ยจริงจัง “ศิษย์น้อง รอเจ้าเข้าไปในนั้น ต้องจำไว้ให้ดีว่าถ้าพบกับวัฏจักร ‘ตื่นรู้’ จึงจะสำคัญที่สุด”
หลินสวินพยักหน้า จู่ๆ เขาก็นึกถึงเรื่องในอดีตเรื่องหนึ่ง
ตอนนั้นในด่านที่แปดของทางเดินเมฆาหยกห้องโถงมรรคาสวรรค์ เขาเคยเข้าไปในวัฏจักรครั้งหนึ่ง ดำรงอยู่ด้วยอีกตัวตนหนึ่งยี่สิบปี ในที่สุดก็ได้พบตัวตน
วัฏจักรเช่นนี้ กับพลังวัฏจักรที่ศิษย์พี่รองว่าจะเหมือนกันหรือไม่
“อีกอย่าง ที่ต้องระวังก็คือการจู่โจมจากแดนอื่นนั่น”
จ้งชิวเอ่ยปาก ถ้อยคำที่พูดออกมาก็เป็นสิ่งที่หลินสวินอยากถามพอดี
ตามคำพูดของจ้งชิว ภัยคุกคามที่มาจากแดนอื่นนั่น ความจริงแล้วเป็นไปได้สูงยิ่งที่จะมาจากฟากฝั่งฟ้าดารา!
ฟากฝั่งฟ้าดาราเป็นโลกเช่นไร และโลกแห่งนั้นใหญ่โตเพียงไหนกันแน่ จ้งชิวก็ไม่อาจให้คำตอบที่ชัดเจนได้
ที่มั่นใจได้เพียงอย่างเดียวก็คือ ที่ฟากฝั่งฟ้าดารามีระดับมหามรรคที่สูงยิ่งกว่าระดับจักรพรรดิ มีพลังอมตะกับนิรันดร์คงอยู่ ทั้งยังมียอดกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับโชคชะตาและกาลเวลา!
โลกเช่นนั้นทางเดินโบราณฟ้าดาราต้องไม่อาจเทียบได้เป็นอย่างยิ่ง
ว่ากันถึงแก่น ทางเดินโบราณฟ้าดาราเป็นแค่ ‘เส้นทาง’ สู่ฟากฝั่งสายหนึ่งเท่านั้น
และเส้นทางสายนี้ จะเทียบกับโลกแห่งหนึ่งได้อย่างไร
“พูดแบบนี้ เช่นนั้นเป็นไปได้สูงมากที่ภัยคุกคามที่มาจากแดนอื่นจะมาจากที่เดียวกัน ขุมอำนาจเดียวกันกับจักรพรรดิสวรรค์ดำรงหรือ” หลินสวินนัยน์ตาหดรัดเล็กน้อย
จ้งชิวนิ่งคิดแล้วเอ่ยว่า “เป็นไปได้ที่จะมาจากที่เดียวกัน แต่มาจากขุมอำนาจเดียวกันหรือไม่ก็บอกไม่ได้แล้ว”
“จักรพรรดิสวรรค์ดำรงแข็งแกร่งเพียงไหนก็ต้องเป็นผู้ฝึกปราณคนหนึ่ง เขาคนเดียวเป็นตัวแทนทั้งฟากฝั่งฟ้าดาราไม่ได้”
“หลังแดนปรินิพพานปรากฏ สาเหตุที่ถูกพวกน่ากลัวจากแดนอื่นเหล่านั้นหมายหัว ก็เพราะ ‘ยอดหนทางสู่อมตะ’”
“เส้นทางสายนี้น่ากลัวยิ่งนัก หมื่นกาลที่ผ่านมามีเพียงทางสายนี้ ทันทีที่มีคนกลายเป็นหนึ่งบัวเบ่งบานดอกนั้นในเคราะห์จ่อมจมหมื่นกาลนี้ ก็เท่ากับครอบครองยอดรากฐาน ‘ไม่เสื่อมไม่ดับ เกรียงไกรเพียงข้า’ ในมรรคาระดับจักรพรรดิ”
“หากกรณีพิเศษเช่นนี้ปรากฏขึ้น ย่อมสามารถทำให้ไม่ว่าผู้ใด ไม่ว่าโลกไหนต้องหวาดหวั่น!”
พูดถึงตรงนี้จ้งชิวเอ่ยว่า “ศิษย์น้อง ตอนนี้เจ้าเข้าใจหรือยัง”
หลินสวินพยักหน้า
เขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไร ฝึกปราณตั้งแต่เล็กจนตอนนี้ เขาก็ถูกมองว่าเป็นกรณีพิเศษ ขุมอำนาจที่เป็นศัตรูพวกนั้นคิดว่าถ้าไม่กำจัดเขา ภายหน้าจะต้องกลายเป็นหอกข้างแคร่
กรณีเช่นนี้ความจริงแล้วเหมือนกับ ‘ยอดหนทางสู่อมตะ’ นั่นนัก ใครจะมองดูคนที่มีรากฐาน ‘ไม่เสื่อมไม่ดับ เกรียงไกรเพียงข้า’ ผงาดขึ้นต่อหน้าต่อตาได้
จ้งชิวไม่อยู่นานนักก็จากไปแล้ว
ก่อนจากไปได้บอกหลินสวินว่าหลังแดนปรินิพพานปรากฏขึ้น ผู้แข็งแกร่งที่มีคุณสมบัติเข้าไปได้ทุกคนจะสัมผัสได้ถึงเส้นทางที่จะไปได้ทันที
ถึงตอนนั้นหลินสวินมุ่งหน้าไปเองก็พอ
ตั้งแต่วันนี้หลินสวินจึงอยู่ในแดนอำพราง มรรควิถีของเขาบรรลุขั้นบริบูรณ์ของระดับนี้แล้ว แต่ไม่เคยละทิ้งการฝึกวิชามรรค
ร่างแยกทั้งห้ายึดครองอวัยวะตันห้า ต่างหยั่งรู้คัมภีร์วิชาลับต่างกันไป ส่วนร่างต้นของเขาก็จดจ่อกับการศึกษาคัมภีร์ที่ท่านลู่ทิ้งไว้ให้
‘กระบวนสังหารไร้ชีพ’ ที่มีชื่ออยู่ในอันดับเก้าของกระบวนค่ายกลทั่วหล้า ‘มรรคสิ้นฟ้าอาสัญ’ เศษกระบวนค่ายกลที่ถูกอนุมานไปครึ่งหนึ่ง แต่อานุภาพกลับน่ากลัวยิ่งกว่ากระบวนสังหารไร้ชีพอีกวิชาหนึ่ง
วันแล้ววันเล่าผันผ่านไป
บรรยากาศในโลกมืดก็แปรเปลี่ยนเป็นกดดันขึ้นมา ผู้คนไม่รู้เท่าไรกำลังรอคอยการมาถึงของเคราะห์จ่อมจมครั้งที่สามอยู่เงียบๆ
ช่วงนี้พวกร้ายกาจที่ดำรงชีพอยู่ในโลกมืดเหล่านั้นต่างหดหัว เปลี่ยนเป็นเก็บตัวหาใดเทียบ แทบไม่กล้าโผล่หน้า
สาเหตุก็เพราะตอนนี้มีผู้แข็งแกร่งขุมอำนาจใหญ่จากทั่วหล้าฟ้าดารามากมายกระจายตัวอยู่ในโลกมืด ในกลุ่มนี้ก็ไม่ขาดระดับจักรพรรดิ!
‘ก็ไม่รู้ว่า… หลินสวินจะเข้าร่วมแย่งชิงในแดนปรินิพพานหรือไม่…’
เมืองหมื่นดารา หมีอู๋หยาตื่นขึ้นจากการนั่งสมาธิ จู่ๆ ก็นึกถึงหลินสวิน สภาวะจิตที่เดิมแจ่มกระจ่างราบเรียบมีคลื่นปรากฏขึ้นระลอกหนึ่ง
ก่อนหน้านี้เขาคืออันดับหนึ่งในกระดานราชันอริยะปวงสวรรค์ กดข่มคนรุ่นเดียวกันในใต้หล้าตลอดหกร้อยปี แต่พอหลินสวินปรากฎตัว กลับทำลายสถิติอันทรงเกียรติทั้งหมดที่เขาสร้างขึ้น
แม้เป็นเช่นนี้แต่ในใจหมีอู๋หยายังชื่นชมและเลื่อมใสหลินสวินเป็นอย่างยิ่ง ดังคำกล่าวที่ว่ามรรคข้าไม่โดดเดี่ยวก็เป็นเช่นนี้
‘การประชันหมากครั้งใหญ่ครั้งนั้นเขายังไม่กลัวเกรง คราวนี้… เขาจะไปไม่ถึงได้อย่างไร’
ขณะเดียวกันในเมืองหมื่นดารา หลิงหงจวงก็รำพึงในใจ ทั่วหล้าฟ้าดาราตอนนี้ แม้หลินสวินจะถูกจักรพรรดิสวรรค์ดำรงตามฆ่า แต่ไม่ว่าใครพูดถึงเขาก็ไม่กล้าดูถูกและละเลยเขาอย่างแต่ก่อนอีก!
นี่คือความน่าเกรงขามที่ได้จากการเข่นฆ่า เป็นอานุภาพที่มาจากการต่อสู้!
แน่นอนว่าอาจจจะมีหลายคนคิดต่างจากหมีอู๋หยากับหลิงหงจวง ท่าทีที่พวกเขามีต่อหลินสวินมีเพียงอย่างเดียว…
หมายใจให้หลินสวินถูกฆ่า!
“เสวียนเยวี่ย เลิกคิดถึงเขาได้แล้ว เจ้ากับเขา… อยู่คนละโลกกันอยู่แล้ว”
เมืองหนึ่งในโลกมืด
จักรพรรดิกระบี่วายุแห่งเผ่าจักรพรรดิดึกดำบรรพ์ตระกูลจินเทียนมองดูจินเทียนเสวียนเยวี่ยที่นั่งเหม่อลอยอยู่ริมหน้าต่าง ในใจเวทนาอย่างอดไม่ได้ ถอนหายใจไม่ว่างเว้น
บนยานลมกรดตอนนั้น ก็เป็นจักรพรรดิกระบี่วายุเสนอให้จินเทียนเสวียนเยวี่ยติดตามหลินสวินไปฝึกปราณ
ทว่าตอนนี้ในใจจักรพรรดิกระบี่วายุกลับรู้สึกซับซ้อนอยู่บ้าง
เพราะจู่ๆ เขาก็พบว่า ทายาทในตระกูลจินเทียนที่เย่อหยิ่งที่สุดของพวกเขาอย่างจินเทียนเสวียนเยวี่ย ผู้ที่ถูกมองเป็นคนงามอันดับหนึ่งแห่งเขตแดนดาราจักรพรรดิขาวถูกกำหนดให้ไร้วาสนากับหลินสวิน
มรรคาของทั้งสองต่างกันลิบลับ
ต่อให้ใช้พลังทั้งหมด เอาทุกอย่างเข้าแลกเพื่อไล่ตาม ก็ยังยิ่งเดินยิ่งห่าง
“ผู้อาวุโส ข้าไม่ได้คิดเกินเลยอะไรกับคุณชาย ข้ารู้ว่าคนอย่างคุณชายภายหน้าจะต้องยิ่งเดินสูงขึ้นและไกลขึ้นบนมหามรรค และไม่ใช่สิ่งที่ข้าไล่ตามได้อยู่แล้ว…”
จินเทียนเสวียนเยวี่ยเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยเบาๆ ว่า “ข้า… เพียงแต่กังวลอยู่บ้าง ทั่วหล้าในตอนนี้ นอกจากหอวิหคทองแดงนั่น ใคร… ยังปล่อยเขาไปได้”
ชุดขาวนางขาวโพลนดั่งหิมะ งามพิสุทธิ์หาใดเทียบ ท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ดั่งเซียนเช่นเคย งามล้ำดั่งรูปวาด
หลังจากการเคลื่อนไหวในเขตต้องห้ามเซียนโบราณเมื่อตอนนั้นปิดฉากลง นางถูกบรรพจารย์จักรพรรดิฉานถู อาจารย์ของหลิงเคอจื่อช่วยไปพร้อมกับเซี่ยอวี่ฮวาและเหลิ่งซิวเจีย
ตั้งแต่นั้นมานางก็แยกกับหลินสวินแล้ว
หลายปีนี้ทุกครั้งที่คิดถึงช่วงเวลาที่ติดตามข้างกายหลินสวินท่องไปในโลกใหญ่หงเหมิง ใจนางก็เหมือนรู้สึกสูญเสีย ทุกข์ใจอย่างบอกไม่ถูก
จักรพรรดิกระบี่วายุถอนใจในใจ โบราณนานมา ผู้ใดรักกว่าย่อมทุกข์กว่า ตาเฒ่าที่มีประสบการณ์มากมายนับไม่ถ้วนอย่างเขาจะอ่านความคิดยายหนูอย่างเสวียนเยวี่ยไม่ออกได้อย่างไร
——