เด็กหนุ่มชุดเหลืองผิวขาวสะอาด ยิ้มละไม กิริยาสง่างาม

หลินสวินชำเลืองมองเขาทีหนึ่ง สายตามองไปยังหัวหน้าตระกูลซูซูอวิ๋นไห่แล้วเอ่ยว่า “ท่านพ่อ ให้ข้ากับสหายคนนี้พูดคุยกันตามลำพังได้หรือไม่”

วาจาสงบนิ่ง

แม้พวกซูอวิ๋นไห่รู้สึกประหลาด แต่ก็ยังพยักหน้าพาทุกคนออกจากโถงใหญ่

หากเป็นแต่ก่อน แม้ซูชิงหานที่ฝึกปราณไม่ได้จะเป็นที่โปรดปราน แต่คำพูดกลับไม่มีน้ำหนักมากเช่นนี้

จนกระทั่งทุกคนในโถงจากไป หลินสวินจึงเอ่ยถามว่า “ทำไมข้าถึงไม่รู้ว่ามี… สหายอย่างเจ้าเพิ่มมาคนหนึ่งตั้งแต่ตอนไหน”

เด็กหนุ่มชุดเหลืองยังนั่งอยู่ตรงนั้น ยิ้มพลางยกถ้วยชาขึ้นจิบเบาๆ อึกหนึ่ง ถึงค่อยพูดว่า “สหายยุทธ์ เจ้ากับข้าล้วนเป็นผู้เข้าวัฏจักร ย่อมถือว่าเป็นสหายกันกระมัง”

“อ้อเหรอ” หลินสวินเลิกคิ้ว “พูดมาเถอะ มาหาถึงที่เพราะเรื่องใด”

“ง่ายดายนัก ข้าเพิ่งตื่นรู้ได้ไม่นาน ตอนนี้แม้เหยียบย่างบนมรรคาฝึกปราณ แต่ในมือกลับไม่มีวิชาฝึกปราณที่เหมาะสม”

เด็กหนุ่มชุดเหลืองวางถ้วยชาลง มองดูหลินสวิน “และข้าได้ยินว่าเจ้าเคยบุกเมืองหลวงต้าเฉียนด้วยตัวคนเดียว ทำลายปราณองค์ชายชื่อเฉียนหยวนป้าอะไรนั่นท่ามกลางสายตามากมาย แต่ทุกคนในเมืองเหวมังกรต่างพูดว่าเมื่อก่อนเจ้ายังเป็นคนพิการที่ไม่อาจฝึกปราณได้…”

หลินสวินพูดตัดบท “พูดไร้สาระให้มันน้อยหน่อย บอกเป้าหมายของเจ้ามา”

แววโกรธเกรี้ยวฉายวาบในดวงตาเด็กหนุ่มชุดเหลือง แต่สุดท้ายก็ยิ้มเอ่ย “ง่ายมาก ข้าอยากยืมวิชาฝึกปราณของเจ้ามาใช้”

หลินสวินพยักหน้า “ที่แท้ก็มาเพราะเรื่องนี้”

เด็กหนุ่มชุดเหลืองสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง สีหน้าปรากฏแววลำพอง “ไม่ขอปิดบัง ก่อนเข้าวัฏจักร ข้าคือเฟ่ยอวิ๋นเฮ่อ ผู้สืบทอดแกนหลักของเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ ถ้าสหายยุทธ์ช่วยข้า รอหลังจากวัฏจักรนี้จบลง ข้าย่อมไม่ให้เจ้าเสียเปรียบ”

แววตาหลินสวินเปลี่ยนเป็นประหลาดขึ้นมา เอ่ยว่า “ที่แท้ก็เป็นผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์สินะ…”

เด็กหนุ่มชุดเหลืองพยักหน้าอย่างสงวนท่าที “เป็นอย่างไร สหายยุทธ์จะช่วยข้าได้หรือไม่”

“ถ้าข้าไม่ช่วยล่ะ” หลินสวินเอ่ย

เด็กหนุ่มชุดเหลืองคล้ายคาดไว้นานแล้วว่าจะเป็นเช่นนี้ ยิ้มเอ่ยอย่างนุ่มนวลว่า “หลังจากเข้าสู่โลกกำลังภายในแห่งนี้ ในความทรงจำของข้าบังเอิญจำวิชาลับปรุงยาพิษบางขนานได้พอดี… พูดอย่างนี้ดีกว่า ทั้งตระกูลซูนี้ล้วนถูกพิษแล้ว ขอเพียงเจ้ายินยอม ตระกูลซูนี้ก็จะไม่ดับสิ้นลงเท่านี้”

หลินสวินนัยน์ตาหดรัด เอ่ยว่า “นี่เป็นสิ่งที่เจ้าพึ่งพาหรือ”

เด็กหนุ่มชุดเหลืองยิ้มเอ่ย “ช่วยไม่ได้ หลังจากเข้ามาในโลกกำลังภายในแห่งนี้ มรรควิถีทั้งร่างก็หายไปหมด ที่พึ่งพิงได้ก็เหลือแค่ของเล่นไม่มีค่าให้พูดถึงพวกนี้เท่านั้น”

“เจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นใคร” จู่ๆ หลินสวินก็ถามขึ้นมา

เด็กหนุ่มชุดเหลืองชะงักไป ยิ้มเอ่ยว่า “สหายยุทธ์ เจ้าไม่สนความเป็นความตายของทั้งตระกูลซูนี่ก็ได้ แต่ข้าต้องเตือนเจ้าว่าหลังจากเจ้าเข้ามาในโถงใหญ่นี้ก็ถูกพิษไปแล้ว! หากเจ้าไม่เชื่อ สามารถโคจรพลังปราณสัมผัสที่หัวใจดูสักหน่อยว่าจะเกิดความเจ็บปวดแสนสาหัสหรือไม่”

แววตาเจือแววนึกสนุก

เห็นได้ชัดว่าเขาเตรียมการไว้ก่อน วางแผนการมาล่วงหน้าแล้ว ดูมั่นใจในตัวเองนัก

หลินสวินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก็ยิ้ม แล้วเดินไปหาเด็กหนุ่มชุดเหลือง

เขาสัมผัสได้จริงๆ ว่าตรงหัวใจมีผงคลุมครือเป็นริ้วๆ โอบล้อมอยู่ แต่พอเขาโคจรพลังปราณ ผงพวกนี้ก็ถูกหลอมจนว่างเปล่า

นี่ก็คือพลังมกุฎระดับกำลังภายใน และยังเป็นจุดที่ลึกลับที่สุดของคัมภีร์เตาหลอมมหามรรค ร่างกายดุจเตาหลอม หมื่นพิษมิอาจกล้ำกราย!

เด็กหนุ่มชุดเหลืองนิ่วหน้าเอ่ยว่า “เจ้าคิดจะสู้จนตกตายกันไปข้างจริงหรือ”

ขณะที่พูดกลองหนังสัตว์ลูกหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือเขา “แค่ข้าเคาะกลองนี้เบาๆ หัวใจของเจ้าก็จะระเบิดกระจุยในพริบตา”

หลินสวินไม่ได้หยุดเดิน เอ่ยราบเรียบว่า “เช่นนั้นเจ้าก็คาะให้ข้าฟังดีไหม”

“ไว้หน้าให้ก็ไม่เอา!” เด็กหนุ่มชุดเหลืองสีหน้าอึมครึม กลองหนังสัตว์ในมือส่งเสียงดังตึง ทุ่มลึกราวกับเสียงฟ้าคำราม

แต่ที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือ หลินสวินกลับไม่มีปฏิกิริยาสักนิด

“เจ้า…”

เด็กหนุ่มชุดเหลืองนัยน์ตาหดรัด ผุดลุกขึ้นทันใด เขาตระหนักได้แล้วว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล

และตอนนี้หลินสวินก็พุ่งมาถึง คว้าคอของเด็กหนุ่มชุดเหลืองไว้อย่างกับสายฟ้าแลบ ยกตัวเขาขึ้นกลางอากาศ ใบหน้าเขาล้วนอึดอัดจนแดงก่ำ หายใจติดขัด

“สหายยุทธ์มีอะไรก็พูดกันดีๆ มีอะไรก็พูดกันดีๆ!” เด็กหนุ่มชุดเหลืองร้อนรนโดยสมบูรณ์แล้ว เผยสีหน้าพรั่นพรึง

“ถ้าเจ้าไม่ใช่ผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ ข้าอาจจะยังไว้ชีวิตเจ้าสักครั้ง น่าเสียดาย เจ้าดันเผยฐานะต่อหน้าข้าเอง…”

หลินสวินแววตาเจือความเย็นชา

“เจ้า… เจ้าเป็นใครกันแน่” เด็กหนุ่มชุดเหลืองดิ้นรนอย่างรุนแรง ยิ่งรู้สึกไม่เข้ามี

กร๊อบ!

คอของเด็กหนุ่มชุดเหลืองถูกบิดจนหัก หัวเอียงยวบลงไป

“ศัตรูเป็นใครยังไม่รู้ ยังกล้าเผยฐานะของตัวเองอีก โง่เขลาปานไหนกัน…” หลินสวินส่ายหน้า เริ่มค้นศพเด็กหนุ่มชุดเหลือง

น่าเสียดาย หายาถอนพิษไม่เจอ

เห็นได้ชัดว่าต่อให้หลินสวินรับปากว่าจะมอบวิชาฝึกปราณให้ เด็กหนุ่มชุดเหลืองคนนี้ก็ไม่มีทางส่งยาถอนพิษมาช่วยผู้อื่นเด็ดขาด!

แต่ไม่มียาถอนพิษก็ไม่เป็นไร หลินสวินมีมรดกคัมภีร์ร้อยสมุนไพรทั่วหล้าอยู่ จะถูกยาพิษกระจอกบางขนานสร้างความลำบากให้ได้อย่างไร

ที่ทำให้หลินสวินปวดหัวที่สุดก็คือ จะอธิบายกับคนในตระกูลซูเหล่านั้นอย่างไร

……

หนึ่งก้านธูปผ่านไป

ในโถงหลัก เหล่าคนใหญ่คนโตอย่างซูอวิ๋นไห่ต่างสีหน้าฉงนและงุนงง

หลินสวินอธิบายโดยไม่ได้ปิดบัง บอกฐานะ ‘ผู้เข้าวัฏจักร’ ของตน

เรื่องแบบนี้ไม่อาจปิดบังได้อยู่แล้ว

วัฏจักรที่เกี่ยวข้องกับโลกกำลังภายในคราวนี้จะดำเนินไปสิบปี พอผู้เข้าวัฏจักรในโลกกำลังภายในนับไม่ถ้วนตื่นรู้ ใต้หล้าแห่งนี้ก็ต้องเกิดความเปลี่ยนแปลงฉับพลันไปด้วย

ถึงตอนนั้น ข่าวต้องปิดไม่มิดแน่

เทียบกับเป็นเช่นนี้ สู้บอกความจริงในตอนนี้ยังดีเสียกว่า

แต่หลินสวินไม่ได้บอกชื่อแซ่ของตน เพราะทันทีที่กระจายออกไป ผู้แข็งแกร่งที่มาจากหกเรือนมรรคใหญ่ สิบเผ่านักรบใหญ่ต้องพากันมาหาถึงที่แน่

ครู่ใหญ่ซูอวิ๋นไห่ถึงถามว่า “เจ้า… ถ้าภายหน้าเจ้าจากไป ลูกข้าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นหรือไม่”

เห็นได้ชัดว่าเรื่องที่เขากังวลที่สุดก็คือลูกของตนซูชิงหาน

หลินสวินเอ่ย “ไม่หรอก”

ไม่เพียงไม่เกิดเหตุ หลังจากเขาจากไป จิตวิญญาณของซูชิงหานก็จะครอบครองร่างที่มีมรรควิถีนี้อีกครั้ง นี่จะไม่ใช่ศุภโชคครั้งหนึ่งได้อย่างไร

สุดท้ายพวกซูอวิ๋นไห่ก็ยอมรับเรื่องทั้งหมดนี้ ไม่ว่าจะยินยอมหรือไม่เรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้

เพียงแต่ซูอวิ๋นไห่ยังออกคำสั่งให้ปิดข่าว ‘สะท้านโลก’ นี้เอาไว้

หาไม่แล้วผู้คนบนโลกต้องนึกว่าบุตรชายคนที่สามของเขาถูกปีศาจสิงแล้วแน่ๆ

วันนั้นหลินสวินปรุงยาแล้วมอบให้ซูอวิ๋นไห่ พิษที่ทั้งตระกูลซูโดนก็ถูกกำจัดไปทีละคนในคืนนั้น

‘ผู้เข้าวัฏจักรที่ตื่นรู้มีมากยิ่งขึ้นแล้ว…’

กลางดึกหลังจากกลับที่อยู่แล้ว หลินสวินก็ตกอยู่ในภวังค์

เขารู้ดีว่าเจ้าพวกที่มาจากทั่วหล้าฟ้าดาราเหล่านั้น ขอเพียงตื่นรู้ เพื่อเหยียบย่างมรรคาแห่งการฝึกปราณใหม่ ออกจากโลกกำลังภายในแห่งนี้ ย่อมต้องไม่เลือกวิธีการแน่!

ถึงอย่างไรในสายตาของพวกเขา โลกกำลังภายในแห่งนี้ก็เป็นแค่วัฏจักรหนึ่งเท่านั้น ไม่สนใจระเบียบของโลกนี้อยู่แล้ว ทั้งยังไม่สนใจความเป็นความตายของคนบนโลกนี้ด้วย!

แน่นอนว่าหลินสวินเพียงคนเดียวคุมเรื่องพวกนี้ไม่ได้ ทว่าก็ไม่อาจเพิกเฉยต่อสวัสดิภาพของทั้งตระกูลซู ถึงอย่างไรจิตวิญญาณของเขาก็มาครองร่างของซูชิงหาน

“คุณชายสาม ดึกมากแล้ว ท่านพักผ่อนเร็วหน่อยเถอะ” ชิงจู๋เดินเข้ามา เอ่ยเสียงใส

หลินสวินร้องอืม ก็ในตอนนี้เองเสียงฝีเท้าระลอกหนึ่งแว่วมาจากนอกเรือน “น้อง… น้องสามนอนหรือยัง”

เป็นเสียงซูชิงโฉว

หลินสวินลุกขึ้นมาต้อนรับซูชิงโฉวเข้าเรือน

“ชิงจู๋ เจ้าไปพักเถอะ ข้ากับพี่ใหญ่จะคุยกัน” หลินสวินเอ่ยสั่ง

ชิงจู๋ขานรับแล้วหันกายจากไป

พอไม่มีคนนอก ซูชิงโฉวจึงพูดเสียงเบาว่า “สหายยุทธ์ ข้ามีคำขออย่างไม่เกรงใจอยู่อย่างหนึ่ง ขอให้เจ้าสงเคราะห์ด้วย”

“เรื่องใดหรือ” หลินสวินถาม

ซูชิงโฉวสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ข้าอยากแข็งแกร่งได้อย่างเจ้า ถ้าเป็นเช่นนี้ ภายหน้าก็จะมีผู้เข้าวัฏจักรปรากฏตัวขึ้นอีก ทันทีที่ทำให้ตระกูลซูประสบภัยคุกคาม ข้าก็จะไปปกป้องคนในตระกูลได้!”

หลินสวินอึ้งไป ในใจกลับเข้าใจได้ ซูชิงโฉวมีฐานะเป็นบุตรชายคนโตของตระกูลซู จะต้องกังวลเช่นกัน ว่าถ้าเกิดใต้หล้าถูกผู้เข้าวัฏจักรสร้างความวุ่นวาย ตระกูลซูก็จะโดนลูกหลงไปด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น เพียงแค่วิชาฝึกปราณบางส่วนเท่านั้น ในสมองหลินสวินมีมรดกมากมาย ถ่ายทอดให้ซูชิงโฉวสักวิชาก็สามารถทำให้มรรควิถีของเขาแปรสภาพอย่างน่าตกใจได้แล้ว

ทันใดนั้นหลินสวินกลับห้องไปหากระดาษพู่กัน สมองครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วเขียนวิชาลับหลอมปราณวิชาหนึ่งลงไป จากนั้นก็มอบให้ซูชิงโฉว

“ขอบคุณสหายยุทธ์ ขอบคุณสหายยุทธ์มาก!” ซูชิงโฉวสังเกตเล็กน้อยก็รับรู้ได้ถึงความอัศจรรย์ของวิชาลับนี้ ทั้งประหลาดใจและตื่นเต้น

ไม่นานนักซูชิงโฉวก็รีบร้อนจากไป

ตั้งแต่วันนี้ไป ชีวิตของหลินสวินก็คืนสู่ความสงบอีกครั้ง นอกจากฝึกปราณก็เป็นฝึกปราณ… แทบไม่ได้ออกไปไหน

หนึ่งเดือนผ่านไป

พลังปราณหลินสวินทะลวงระดับกำลังภายในขั้นเจ็ด อนุจักรวาล

สองเดือนผ่านไป

พลังปราณหลินสวินบรรลุระดับกำลังภายในขั้นแปด มหาวัฏจักร

การบรรลุแต่ละครั้งล้วนขยับอย่างมั่นคง เงื่อนไขพรั่งพร้อม สำแดงการแปรสภาพขั้นสมบูรณ์สูงสุด

ช่วงที่ผ่านมานี้ในอาณาเขตของสามราชวงศ์ใหญ่โลกกำลังภายในอย่างต้าเฉียน ต้าฉู่และต้าเว่ย เกิดความเปลี่ยนแปลงน่าตื่นตะลึงมากมาย

ข่าวลือเกี่ยวกับ ‘ผู้เข้าวัฏจักร’ ก็เริ่มอุบัติขึ้น คลื่นลมทั่วใต้หล้าวุ่นวายโกลาหล

ทั้งหมดนี้เดิมก็อยู่ในความคาดหมายของหลินสวิน ต่อให้ไม่ก้าวออกจากบ้าน เขาก็ได้รู้ข่าวพวกนี้จากปากคนตระกูลซู

แต่ผู้เข้าวัฏจักรที่ตื่นรู้ในตอนนี้ยังนับว่าน้อย กระจัดกระจายกัน ความเคลื่อนไหวที่ก่อขึ้นก็มีจำกัด

ถึงอย่างไรนี่ก็เพิ่งปีแรกที่เข้ามาในโลกกำลังภายใน ผู้ฝึกปราณที่เข้ามาในวัฏจักรแม้มีจำนวนมหาศาล แต่มีคนตื่นรู้ได้แค่ไม่เท่าไร

ที่ตื่นรู้ทันทีอย่างหลินสวิน ก็มีแค่เขาคนเดียว

……

เช้าตรู่วันนี้เหมือนปกติ ชิงจู๋ยกอ่างล้างหน้า ผ้า อุปกรณ์ล้างหน้าล้างตาเดินเข้ามาในห้องหลินสวิน

แต่ในห้องกลับไม่มีเงาร่างของหลินสวิน

บนโต๊ะมีเพียงจดหมายฉบับหนึ่งทิ้งไว้ กับวิชาลับฝึกปราณวิชาหนึ่ง

บนจดหมายมีตัวอักษรเขียนว่า ‘ถึงชิงจู๋’

ชิงจู๋ถึงกล้าเปิดออก หลังจากอ่านดูโดยละเอียด ดวงตามีชีวิตชีวานั้นก็เต็มไปด้วยน้ำตา ในใจเปี่ยมไปด้วยความอาลัยและเสียใจ

คุณชายสามจากไปแล้ว ไปเข้าร่วมงานประลองยอดยุทธ์

ก่อนไปได้ทิ้งวิชาลับฝึกปราณไว้ให้นาง

นี่ทำให้ชิงจู๋รับรู้ได้ว่า คุณชายสามอาจจะไม่กลับมาอีกในช่วงเวลาสั้นๆ…

คิดถึงตรงนี้ในใจชิงจู๋ก็เสียใจอย่างบอกไม่ถูก อารมณ์เสียศูนย์ คล้ายไม่อาจควบคุมความรู้สึกได้

นางโตมากับคุณชายสามตั้งแต่เล็ก สนิทสนมเหมือนพี่สาวน้องชาย แต่ตอนนี้แยกกันกะทันหัน ในใจก็รู้สึกโหวงเป็นธรรมดา

ก็ในตอนนี้เอง จิตสำนึกหนึ่ง ‘ตื่นรู้’ ขึ้นอย่างเงียบเชียบในจิตวิญญาณของนาง

——