ราตรีดุจสีหมึก
ในค่ายของราชวงศ์ต้าเฉียน หลินสวินยืนอยู่ตามลำพัง ทอดมองเขายอดยุทธ์ที่อยู่ไกลๆ ความสงสัยอันแสนคุ้นเคยไหลทะลักสู่กลางใจอีกครั้ง
โลกกำลังภายในที่อยู่ในวัฏจักร เป็นมายาหรือของจริงกันแน่
‘จะต้องไปดูที่เขายอดยุทธ์นั่นสักหน่อย’
หลินสวินลอบกล่าวในใจ
“พี่ซู”
กลางราตรี หลีชางโผล่มาพร้อมสีหน้ากระอักกระอ่วน เขามาเพื่อขอโทษ
“ดื่มเหล้าหรือไม่” หลินสวินถาม
หลีชางอึ้งไป กล่าวอย่างลังเลว่า “พอดื่มได้บ้าง”
ฟุ่บ!
หลินสวินโยนกาสุราใบหนึ่งไปให้ “ดื่มเหล้าในกาให้หมด เรื่องก่อนหน้านี้ก็ช่างมันเถอะ”
หลีชางรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกทันที ถึงขั้นซาบซึ้งอยู่บ้าง เขารวบรวมความกล้าครั้งใหญ่มาเยือน แต่เขาที่เป็นเด็กหนุ่มหยิ่งทระนง อยากให้ก้มหน้ายอมรับผิดกลับยากจนต้องกัดฟันอยู่บ้าง
แต่ตอนนี้ดื่มสุรากาเดียวก็พอแล้ว
สุดท้ายหลีชางก็จากไปด้วยอาการเมา
เพียงแต่ยังเดินได้ไม่ไกลเท่าไหร่ จู่ๆในใจเขาก็เกิดปฏิกิริยาตอบสนอง หันหน้ามองไป
ชั่วอึดใจนี้ใต้แสงราตรี หลินสวินที่ยืนสันโดษอยู่ไกลๆ เงาร่างตั้งตรงไม่ไหวติง ทว่ากลิ่นอายของเขากลับพุ่งทะยานภายใต้ราตรียาวไกลนี้
ดุจมังกรใหญ่ที่หลับใหลมาเนิ่นนานได้ออกจากหุบเหว พุ่งทะยานสู่เก้าชั้นฟ้า!
กระแสหนาวเหน็บที่ไม่อาจอธิบายได้ถาโถมจิตใจหลีชาง เวลานี้เผชิญหน้ากับเงาร่างที่อยู่ไกลๆ นั่น เขาถึงกับมีความรู้สึกเล็กจ้อยเหมือนมดปลวกก็ไม่ปาน
ลมราตรีระลอกหนึ่งพัดมา หลีชางสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง อดขยี้ตาไม่ได้
ยามเมื่อมองไปอีกครั้งกลับพบว่าทุกอย่างที่เห็นเมื่อครู่ไม่หลงเหลือแล้ว แม้แต่ความรู้สึกเล็กจ้อยที่เหมือนสะท้านกลัวอย่างหนึ่งในจิตใจก็อันตรธานหายไปด้วย
นี่ข้าเมาแล้วใช่หรือไม่
หลีชางอึ้งค้าง ส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วหมุนตัวกลับไป
เพียงแต่รุ่งเช้าวันถัดมา ตอนที่เขาตื่น ในค่ายก็มีข่าวน่าตกใจอย่างหนึ่ง…
ซูชิงหานทะลวงขั้น เหยียบย่างขั้นเก้าของระดับกำลังภายใน ขั้นแปรลักษณ์วิญญาณแล้ว!
หลีชางอึ้งงันไปในทันที นึกถึงภาพเหตุการณ์ที่ได้สัมผัสเมื่อคืน มือเท้ายังเริ่มสั่นขึ้นมาน้อยๆ
ที่แท้ เขาถึงกับยิ่งใหญ่ขนาดนี้เชียว…
…
วันนี้เป็นการต่อสู้ชิงสามอันดับแรก ละแวกลานประลองยอดยุทธ์อึกทึกครึกโครมยิ่งกว่าเมื่อวาน ข้าราชบริพารขุนนางใหญ่มากมายของสามราชวงศ์ใหญ่ต่างแห่แหนกันเข้ามา
เมื่อเงาร่างของพวกหลินสวิน เฉียนอวี้หลิวปรากฏ สายตามากมายในที่นั้นต่างมองไปที่ร่างของหลินสวินพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
นี่ก็คือซูชิงหาน คนที่เมื่อวานสำแดงความเฉิดฉาย กำราบเนี่ยเหิงบุคคลชั้นนำในหมู่คนรุ่นเยาว์ของต้าเว่ยจนปราชัย ไต่ขึ้นสู่สิบอันดับแรก!
และสิ่งที่ทำให้ผู้คนยากจะจินตนาการคือ เขาเพิ่งมีปราณแค่ระดับกำลังภายในขั้นแปดเท่านั้น…
ช้าก่อน!
ไม่นานก็มีคนตระหนักถึงความผิดแปลก ซูชิงหานที่ระดับกำลังภายในขั้นแปดคนนี้ ไม่เห็นแค่คืนเดียวถึงกับทะลวงขั้นสู่ขั้นเก้าแล้ว!
ในที่นั้นปั่นป่วน คนนับไม่ถ้วนหันมอง เสียงฮือฮาก็ดังขึ้นพร้อมกันทันที และทำให้หลินสวินกลายเป็นจุดสนใจทั่วทั้งลานในพริบตา
“เจ้าตั้งใจหรือ” เฉียนอวี้หลิวยังอดเอ่ยถามไม่ได้
หลินสวินล่าวสบายๆ “ทำไปตามสถานการณ์ ผลประโยชน์เป็นผลพลอยได้”
เขายังไม่ถึงขั้นฝืนไปทะลวงขั้นเพราะอยากได้รับการป้อยอจากผู้คน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นไปตามธรรมชาติก็เท่านั้น
เฉียนอวี้หลิวได้แต่ยิ้มขื่นรับ
ยิ่งรู้จักคนผู้นี้ก็ยิ่งค้นพบอย่างแจ่มแจ้ง ว่าเจ้าหมอนี่คือปีศาจที่สั่นคลอนความรู้ความเข้าใจของผู้คนชัดๆ ไม่สามารถใช้สายตาทั่วไปมาตัดสินได้เลย
กึง…
พร้อมๆ กับเสียงระฆังระลอกหนึ่งดังขึ้น การชิงสามอันดับแรกของงานประลองยอดยุทธ์ครั้งนี้ก็เปิดม่านทั้งอย่างนี้
สำหรับกฎกติกาการต่อสู้ไม่จำเป็นต้องอธิบายเยิ่นเย้อ
หลินสวินต่อสู้รวมทั้งสิ้นสามครั้ง
ครั้งแรก ประลองกับหลันชิงเฮ่อบุคคลขอบเขตมกุฎระดับกำลังภายในขั้นเก้าจากราชวงศ์ต้าฉู่ หลินสวินใช้ท่วงท่ามั่นคงขีดสุดเอาชนะได้ภายในเก้ากระบวนท่า ชนะจนทั้งลานส่งเสียตกใจ
ครั้งที่สอง ประลองกับเฉียนอวี้หลิวราชวงศ์ต้าเฉียน ยังไม่ทันเริ่มต่อสู้เฉียนอวี้หลิวก็ยอมแพ้ตรงๆ ทำเอาทั่วลานตะลึงอึ้งค้างไปด้วย
ครั้งที่สาม ประลองกับหวงอวิ๋นเจี่ย ระดับผู้นำคนรุ่นเยาว์ของราชวงศ์ต้าฉู่ หลินสวินที่มีท่วงท่ามั่นคงอย่างขีดสุด เอาชนะได้ภายในเก้ากระบวนท่า ทั่วลานสะท้านสะเทือนอย่างสิ้นเชิง
ฟ้าดินเงียบสงัด สิบทิศไร้สุ้มเสียง
หลินสวินที่ยืนนิ่งเพียงลำพังอยู่ในลานประลองยอดยุทธ์ดุจดั่งเทพสงครามที่ไร้ศัตรู ทำเอาผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนของสามราชวงศ์ใหญ่อย่างต้าเฉียน ต้าฉู่ ต้าเว่ย ในชั่วขณะนี้จิตวิญญาณสั่นไหว
จนบัดนี้หลินสวินใช้ท่วงท่าเด็ดเดี่ยวที่ไม่อาจสู้ได้ กลายเป็นอันดับหนึ่งของงานประลองยอดยุทธ์ครั้งนี้!
…
ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงบ บนเขายอดยุทธ์ที่ตั้งตระหง่านประหนึ่งเชื่อมฟ้าที่อยู่ไกลๆ นั้น พลันปรากฏรุ้งเทพระเบียบสายหนึ่ง ดุจดั่งแสงเจิดจ้าปิดครอบลานประลองยอดยุทธ์แห่งนี้เอาไว้
ลานประลองยุทธ์ที่รูปร่างคล้ายดอกบัว เวลานี้เหมือนตื่นขึ้นมาจากความเงียบงัน แผ่แสงลึกลับคลุมเครือออกมา
นอกลานประลอง คนนับไม่ถ้วนสะท้านราวกับได้เห็นปาฏิหาริย์ศักดิ์สิทธิ์อย่างหนึ่งมาเยือน
นี่คือพลังแห่งฟ้าประทาน!
ผู้แข็งแกร่งที่ไต่ขึ้นสิบอันดับแรกของงานประลองยอดยุทธ์ล้วนจะได้รับ
ภายในลานประลองยุทธ์ นอกจากหลินสวิน ผู้แข็งแกร่งอีกเก้าคนที่เหลืออย่างพวกเฉียนอวี้หลิว บนตัวแต่ละคนล้วนถูกละอองแสงระเบียบแถบหนึ่งปิดครอบ
และเบื้องหน้าหลินสวิน พลังระเบียบสายแล้วสายเล่าถักทอเชื่อมประสาน กลายเป็นบันไดเมฆามหามรรคสายหนึ่งพุ่งขึ้นไป เชื่อมกับเขายอดยุทธ์ที่อยู่ไกลๆ!
นี่คือรางวัลหนึ่งเดียวที่เป็นของอันดับหนึ่งของงานประลองยอดยุทธ์ เข้าไปเคี่ยวกรำในเขายอดยุทธ์!
ชั่วอึดใจนี้หลินสวินเหลียวกลับไปมอง กวาดสายตามองผ่านร่างของเฉียนอวี้หลิว ฝ่ายหลังเงาร่างชโลมอยู่ท่ามกลางละอองแสงระเบียบ นัยน์ตาสองข้างปิดสนิท ไม่รู้เนื้อรู้ตัวสักนิด
จากนั้นสายตาของหลินสวินกวาดไปนอกลานประลองยอดยุทธ์ กวาดผ่านทะเลผู้คนมากมายเหล่านั้นไป…
เขาพลันอึ้งไปน้อยๆ
ในหมู่คน ร่างอรชรคุ้นเคยสายหนึ่งยืนอยู่ เงาร่างอ้อนแอ้น กิริยางามสง่า นัยน์ตาใสกระจ่างกำลังจับจ้องตนอยู่ ท่ามกลางความเลือนรางมีหยาดน้ำตาซาบซึ้งเอ่อคลอ
ชิงจู๋!
หลินสวินคิดไม่ถึง ว่าสาวใช้ที่เติบโตมาพร้อมกับซูชิงหานตั้งแต่เด็กคนนี้ถึงกับมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่
ความรู้สึกบอกไม่ถูกอย่างหนึ่งทะลักสู่จิตใจหลินสวิน เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง โบกมือไปทางชิงจู๋
และจากนั้นก็หันตัวเดินขึ้นบันไดเมฆามหามรรคที่วิวัฒน์จากพลังระเบียบนั่น
‘คุณชายสามของเจ้าจะกลับไปอยู่ข้างกายเจ้าแน่…’ หลินสวินพึมพำในใจ
แต่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชิงจู๋ที่อยู่ไกลๆ ไม่ใช่ชิงจู๋ตัวจริงนานแล้ว
มองส่งเงาร่างของหลินสวินที่อาบชโลมแสงประกาย ปีนขึ้นบันไดเมฆามหามรรคท่ามกลางผู้คน จินเทียนเสวียนเยวี่ยปิดปากตัวเองแน่น
มีเพียงกลางนัยน์ตาที่หยาดน้ำตาเอ่อล้น
‘คุณชาย แค่เห็นท่านสบายดีดังเดิมข้าก็เบิกบานใจยิ่งแล้ว…’
จินเทียนเสวียนเยวี่ยพึมพำในใจ
ตั้งแต่นางออกจากเมืองเหวมังกร เดินทางหามรุ่งหามค่ำ นอนกลางดินกินกลางทราย ผ่านการผกผันมากมายหลายหนตลอดทาง สุดท้ายเมื่อครู่ตอนที่แสงอรุณแรกทิวาก็มาถึงที่นี่
ความเมื่อยล้าและเหนื่อยอ่อนทั่วทั้งกาย ราวกับหายหมดเกลี้ยงหลังจากได้เห็นหลินสวินเข้าลานประลอง
นางมองดูหลินสวินใช้ท่วงท่ามั่นคงเด็ดขาดสยบคู่ต่อสู้สามคนอย่างต่อเนื่อง มองดูท่วงท่าเรียบง่ายไร้มลทินของเขา
ยังเป็นเขาที่คุ้นเคย มาดไร้ศัตรูที่คุ้นเคย บุคลิกสะท้านโลกที่คุ้นเคยดังเดิม…
เดิมนางอยากส่งเสียงทักทาย แต่สุดท้าย… ก็ยังกลั้นเอาไว้สุดแรง
ในเมื่อเห็นท่านปลอดภัยดี ใจข้าก็ไร้กังวลแล้ว
จินเทียนเสวียนเยวี่ยรู้ดียิ่งว่าวาสนาตรงหน้านี้ เป็นสิ่งที่คุณชายแก่งแย่งมาอย่างไม่ง่ายดาย นางไม่อาจ และต้องข่มใจไม่ไปทักในเวลานี้
กลัวเพียงว่าจะก่อกวนการเคลื่อนไหวของคุณชายด้วยเหตุนี้
ต่อให้มีความเป็นไปได้เพียงเสี้ยวหนึ่งก็ไม่ได้!
‘คุณชาย ความทรงจำของชิงจู๋ข้าได้รับมาแล้ว จะว่าไป พวกเราก็อยู่ด้วยกันมาเกือบหนึ่งปีแล้วสินะ…’
แววตาของจินเทียนเสวียนเยวี่ยวูบไหว
ภาพเหตุการณ์มากมายตั้งแต่หลินสวินตื่นรู้ จนถึงชิงจู๋อยู่เคียงข้างเขาทะลักสู่กลางใจอีกครั้ง ทำให้ริมฝีปากของนางอดเจือรอยยิ้มเสี้ยวหนึ่งไม่ได้
จักรพรรดิกระบี่วายุเคยเตือนนาง ให้ดับความคิดที่ไม่ควรมีนั่นไปเสีย
นางไม่โง่ ย่อมรู้ดีอยู่แล้ว ตั้งแต่เริ่มก็ถูกลิขิตไว้แล้วว่านางกับหลินสวินไม่ใช่คนในโลกเดียวกัน ต่อให้ทุ่มเรี่ยวแรงสุดกำลังที่มีไปไล่ตาม ก็ทำได้เพียงทิ้งห่างไม่เห็นฝุ่น
นี่ก็คือเส้นทางแสวงมรรค ปีนั้นอาจจะร่วมเดินทางเคียงบ่าเคียงไหล่ แต่ในกาลเวลาต่อมา ความห่างชั้นของทั้งสองฝ่ายถูกลิขิต ระหว่างพวกเขามีแต่ยิ่งเดินยิ่งห่างไกล
จินเทียนเสวียนเยวี่ยไม่ได้หวังว่าจะสามารถเดินเคียงข้างหลินสวินบนเส้นทางแห่งมหามรรคต่อไป นาง… เพียงแต่กังวลใจก็เท่านั้น…
ในเมื่อเห็นท่านปลอดภัยดี ในใจข้าก็ไร้กังวลแล้ว
เนิ่นนาน
จินเทียนเสวียนเยวี่ยจากไปเพียงลำพัง
นี่คือโลกวัฏจักร นางต้องเริ่มเคี่ยวกรำใหม่อีกครั้ง นางไม่อยากให้คุณชายเป็นห่วงตน
ได้พบกันในวัฏจักร
ข้ารู้ว่าท่านคือท่าน แต่ท่านไม่รู้ว่าข้าคือข้า
ไม่หวังให้ใจท่านรู้ใจข้า หวังเพียงใจข้ารู้เจตนาท่าน
…
เขายอดยุทธ์
ระเบียบปิดครอบ พลังมหามรรคอันคลุมเครือไหลทะลักดุจกระแสน้ำ
ทันทีที่เงาร่างหลินสวินปรากฏ ภาพเบื้องหน้าก็แปรเปลี่ยน ดุจดั่งเอาตัวมาอยู่ในสายน้ำแห่งกาลเวลา ระลอกคลื่นโหมซัด ต่างเป็นกระแสล้นทะลักแห่งกาลเวลา
และในสายน้ำแห่งกาลเวลานั้น เงาร่างสายหนึ่งตระหง่านกำยำ ยิ่งใหญ่ไพศาลดุจร่างของเทพ เหยียบคลื่นเข้ามา
นี่คือเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ร่างกายสูงโปร่ง นัยน์ตาสว่างไสว ผิวสีทองแดงเจือประกายแสงเรืองรอง ยามหายใจเข้าออกราวกับพายุอสนีซัดโหม สะท้านจิตใจผู้คน
แวบแรกที่เห็นเด็กหนุ่มคนนี้ ในสมองหลินสวินก็ผุดข้อมูลบางอย่างขึ้นมาทันที…
ฝูจั้นเจิน
ขอบเขตมกุฎระดับกำลังภายในขั้นบริบูรณ์ ในหมื่นกาลที่ผ่านมา พลังต่อสู้ระดับกำลังภายในอันดับเก้า บรรลุขั้นบริบูรณ์ของระดับนี้ได้ตอนอายุสิบเจ็ดปี ถูกมองว่าไร้ศัตรูในหมู่ระดับกำลังภายในในยุคเดียวกัน!
นัยน์ตาหลินสวินหดรัดเล็กน้อย นี่หมายความว่า ในกาลเวลานับไม่ถ้วนตั้งแต่ยุคแรกเริ่มดึกดำบรรพ์จนถึงปัจจุบัน ความเชี่ยวชาญในระดับกำลังภายในของฝูจั้นเจิน อยู่ในอันดับที่เก้าใช่หรือไม่
นี่น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว
ในกาลเวลาตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ทั้งบนล่างทั่วหล้าให้กำเนิดพวกยักษ์ใหญ่ที่งามสง่าเฉิดฉายไม่รู้ตั้งเท่าไหร่
แต่พลังต่อสู้ของฝูจั้นเจินคนนี้ ในระดับกำลังภายในกลับสามารถไต่ขึ้นสู่อันดับเก้าได้ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน แค่คิดก็รู้ว่ารากฐานของเขาน่าตกใจปานใด
ตูม!
ไกลออกไป เด็กหนุ่มเงาร่างสูงใหญ่กำยำคนนั้นพุ่งเข้ามา
ยามตวัดหวัดราวภูเขาใหญ่เคลื่อนขวาง มีความองอาจสะท้านโลก อานุภาพเผด็จการราวกับมีเพียงข้าที่ยิ่งยง
เมื่อเทียบกับเขา พวกที่เหยียบย่างขอบเขตมกุฎในโลกกำลังภายในเหล่านั้นดูไม่ได้เลยสักนิด ห่างชั้นกันไกลโข
‘ดูท่า นี่ก็คือบททดสอบของเส้นทางนิพพานในวัฏจักรสินะ…’
นัยน์ตาดำของหลินสวินวาววับ ครู่ต่อมาเขาก็โจมตีออกไป
ร่างกายดุจเตาหลอม อานุภาพทั่วร่างไต่ทะยานถึงขีดสุดในพริบตา สารกาย พลังชีวิต และจิตวิญญาณทั้งร่างดุจหินหนืดที่เดือดพล่าน กลายเป็นควันหมาป่าสีเลือดม้วนตลบพุ่งสู่ชั้นฟ้า
ฆ่า!
หลินสวินพุ่งทะยาน สำแดงกระบวนหมัดที่เรียบง่ายที่สุด กระบวนท่าเดียวประทับจิตวิญญาณและเจตจำนงของเขา
โคจรเต็มที่ ปลดปล่อยอย่างไม่เคยมีมาก่อน!
ชั่วพริบตาทั้งคู่เข้าโรมรัน ราวกับสัตว์ร้ายอำมหิตแห่งยุคสองตัวกำลังฟัดเหวี่ยงกัน นัยเร้นลับทั้งหมดของระดับกำลังภายในล้วนถูกทั้งคู่สำแดงออกมาในการต่อสู้
ภาพเหตุการณ์นี้หากถูกผู้อื่นเห็นเขาต้องไม่กล้าเชื่อเป็นแน่ ว่าในธรณีการบำเพ็ญที่เป็นพื้นฐานที่สุดอย่างระดับกำลังภายใน จะถึงกับสามารถปลดปล่อยอานุภาพและพลังที่น่าเหลือเชื่อเช่นนี้ออกมาได้
ต่อให้อยู่ในทั่วหล้าฟ้าดารา การต่อสู้เช่นนี้ก็เพียงพอจะดึงดูดความสนใจทั่วหล้าได้
เพราะระดับกำลังภายในเป็นปราการด่านแรก เป็นก้าวแรกที่เหยียบย่างบนเส้นทางการฝึกปราณ เปรียบดั่งรากของต้นไม้ใหญ่ ถึงได้เป็นสิ่งสำคัญที่สุด!
……………………