หยกประดับมีแสงระเบียบเร้นลับเวียนวน

หลินสวินพลันรู้สึกได้ถึงการหมุนเวียนของหลักสวรรค์ หลักกรรมตามสนอง

ครั้งนี้เขาเข้ามาในโลกกระบวนแปรจุติ ตื่นขึ้นมาในร่างของอวิ๋นฉางคงเด็กหนุ่มบ้านนอก เดิมแค่ผดุงความยุติธรรมจึงชำระแค้น ทวงความเป็นธรรมให้เขา

ไม่เคยคิดจะกอบโกยอะไร

แต่ที่น่าอัศจรรย์คือหลังจากเขาทำทุกอย่างนี้เสร็จสิ้น กลับสังเกตเห็นคลื่นพลังระเบียบในหยกประดับตกทอดของตระกูลอวิ๋นฉางคง

หลินสวินอดคิดไม่ได้ หากข้าทำตัวเป็น ‘ผู้ชม’ ไม่สนใจความแค้นและความอยุติธรรมที่อวิ๋นฉางคงได้รับ มีหรือจะได้หยกประดับชิ้นนี้มา

มีเหตุย่อมมีผล ทุกอย่างล้วนเป็นเช่นนี้

หลินสวินเก็บหยกประดับลงไป กลับไปบ้านเกิดของอวิ๋นฉางคง

หลายวันต่อมา

หลินสวินเตรียมเรือนพร้อมลานกว้างที่เงียบสงบหลังหนึ่งให้มารดาของอวิ๋นฉางคง ทั้งมีสาวใช้และบ่าวคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกาย

มารดาของอวิ๋นฉางคงเป็นหญิงชราร่างผอมที่อ่อนโยนคนหนึ่ง จากโครงหน้าที่ผ่านการกัดกร่อนของกาลเวลานั้นสามารถมองเห็นได้รางๆ ว่าตอนที่นางยังสาวต้องเป็นผู้หญิงที่รูปโฉมงดงามคนหนึ่งแน่

เมื่อหลินสวินจัดแจงทุกอย่างให้นางพร้อมแล้ว หญิงชราจึงกล่าวขึ้น “เจ้าไม่ใช่ลูกชายของข้า แต่เจ้าเตรียมที่พักให้ยายแก่อย่างข้าเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องไม่ใช่คนเลว ขอบคุณเจ้ามาก”

หลินสวินอึ้งไปสักพักอย่างอดไม่ได้ จากนั้นจึงเอ่ยว่า “อย่างมากหนึ่งปี อวิ๋นฉางคงจะกลับมา”

หญิงชราแววตาซับซ้อน พยักหน้าเงียบๆ

ยามหลินสวินจากไป ได้หันกลับมามองหญิงชราผมขาวที่สีหน้านิ่งสงบ นั่งอยู่ใต้ชายคาของลานบ้านเล็กน้อย ในใจอดทอดถอนใจไม่ได้ นี่เป็นมารดาที่ผ่านความปรวนแปรของโลกหล้า ทั้งมีสติปัญญากว้างไกลคนหนึ่ง

ต่อให้เป็นคนธรรมดาก็พาให้คนเคารพนับถือ

เวลาต่อมาหลินสวินท่องไปในใต้หล้า มีฟ้าเป็นผ้าห่ม มีดินเป็นตั่งนั่ง กินหมอกดื่มน้ำค้าง ทัศนาความงามของทิวทัศน์ หยั่งรู้มหามรรคในธรรมชาติ

กาลเวลาเคลื่อนคล้อย ผ่านไปเกือบหนึ่งปีแล้ว

วันนี้เขากลับมาแคว้นสันติอีกครั้ง มาถึงที่พำนักซึ่งมารดาของอวิ๋นฉางคงอาศัยอยู่

มองเรือนที่เงียบสงบแห่งนั้นจากไกลๆ นึกถึงหญิงชราผมขาวแกมเทาร่างซูบผอมและอ่อนโยนคนนั้น หลินสวินอดไม่ได้ที่จะนึกถึงลั่วชิงสวินมารดาของตน… ว่าตอนนี้อยู่ที่ใด

เสียงที่คุ้นเคยหนึ่งดังขึ้น “ท่านแม่ ข้างนอกอากาศหนาว ท่านเข้ามาพักในบ้านเถอะ”

น้ำเสียงนุ่มนวล

หัวคิ้วหลินสวินกลับขมวดขึ้น แผ่จิตรับรู้ออกไป พริบตาก็ ‘เห็น’ ว่าในลานเรือนนั้นมีเงาร่างสูงโปร่งหนึ่งถือไม้กวาด กำลังเก็บกวาดใบไม้ที่ร่วงหล่นในลาน

นางแต่งกายธรรมดาปักปิ่นไม้หยาบ มวยผมสีดำเอาไว้ ทั้งตัวดูสะอาดเรียบร้อย มีเพียงใบหน้าที่สวมผ้าคลุมหน้าไว้

แต่หลินสวินกลับจำได้ทันที นี่ก็คือหลันอิงเสวี่ยที่ถูกตนทำลายใบหน้า กำจัดพลังปราณทิ้ง!

มารดาของอวิ๋นฉางคงนั่งอยู่ใต้ชายคา กล่าวด้วยแววตาอ่อนโยน “อิงเสวี่ย รู้ผิดแล้วแก้ไขนับว่าดียิ่ง เรื่องก่อนหน้านี้ก็ลืมไปเถอะ รอฉางคงกลับมา แม่จะคุยกับเขาดีๆ”

หลันอิงเสวี่ยส่ายหัว “ท่านแม่ ผิดก็คือผิด ข้าไม่ร้องขอการให้อภัย แค่อยากใช้ชีวิตที่เหลือปรนนิบัติอยู่ข้างกายท่าน ไถ่บาปให้ดีๆ เช่นนี้… ในใจข้าจึงจะรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง…”

นางพูดพลางน้ำตาร่วงริน

หนึ่งปีก่อนหลังจากถูกทำลายปราณ ใบหน้าถูกทำลาย อาจารย์ของนางไม่ยอมเจอหน้านางอีก ศิษย์น้องพวกนั้นของนางล้วนรังเกียจและหยามหน้านางอย่างมาก

ต่อให้นางจากมา ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนล้วนถูกคนวิพากษ์วิจารณ์ ถากถางเย้ยหยัน…

หลายครั้งที่นางคิดฆ่าตัวตาย

“เฮ้อ นางหนูเจ้าอย่าร้องสิ ร้องจนยายแก่อย่างข้าจะหลั่งน้ำตาด้วยแล้ว” มารดาของอวิ๋นฉางคงรีบปลอบประโลม

“ท่านแม่ ท่านพักก่อนเถอะ ข้าจะไปตลาดซื้อซี่โครงมาตุ๋นน้ำแกงให้ท่าน” หลันอิงเสวี่ยปาดน้ำตา หันหลังจากไปอย่างกระตือรือร้น

หลินสวินเห็นภาพต่างๆ นี้อยู่ในสายตา แววตาล้ำลึก ไม่มีคลื่นอารมณ์แม้แต่น้อย

ไม่ว่าหลันอิงเสวี่ยจะไถ่บาปหรือกลับเนื้อกลับตัวได้จริงๆ ก็ล้วนเป็นคนไร้ประโยชน์ เรียกคลื่นลมไม่ได้แล้ว

ยิ่งไปกว่านั้นวันนี้เขาก็จะจากไปแล้ว

ถึงตอนนั้นความรู้สึกนึกคิดของอวิ๋นฉางคงก็จะตื่นขึ้น พร้อมมีร่างกายและพลังที่ฝึกปราณมาแล้ว ต่อให้หลันอิงเสวี่ยคิดทำการชั่วร้าย ก็เกรงว่าคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอวิ๋นฉางคง

หืม?

ขณะกำลังใคร่ครวญ หลินสวินพลันสังเกตเห็นว่าหลังจากหลันอิงเสวี่ยสะพายตะกร้าผักเดินออกจากเรือนไป ก็เดินห่างออกไปด้วยสีหน้ารีบร้อน

หลินสวินตามไปเงียบๆ

ริมธารสายเล็กที่ห่างไกลเต็มไปด้วยร่มเงาต้นไม้

หลังจากหลันอิงเสวี่ยมาถึง เงาร่างหนึ่งเดินออกมาจากด้านหลังต้นไม้เก่าแก่ต้นหนึ่งในนั้น ร่างสูงใหญ่หล่อเหลา สีหน้าซีดเผือด เป็นโอวหยางชิงที่ถูกทำลายพลังปราณนั่นเอง

“ยายแก่นั่นบอกแล้วว่ารออวิ๋นฉางคงกลับมาก็จะช่วยขอร้องแทนข้า” หลันอิงเสวี่ยกล่าวเบิกบาน

โอวหยางชิงแค่นเสียงเย็นชา “เจ้าคิดจะอาศัยพลังปราณอันล้ำลึกของอวิ๋นฉางคงหรือ หากได้รับการให้อภัยจากเขาก็ไต่ขึ้นที่สูงได้อย่างนั้นสิ?”

“โอวหยางชิง นี่เจ้าพูดอะไร” หลันอิงเสวี่ยถลึงตามองเขาคราหนึ่ง “วางใจเถอะ ขอแค่หลอกอวิ๋นฉางคงนั่นให้เชื่อข้าใหม่อีกครั้งได้ ด้วยวิธีของข้าต้องถามเขาได้แน่ว่าก้าวสู่หนทางแห่งการฝึกปราณได้อย่างไร”

“หากถามไม่ได้ล่ะ” โอวหยางชิงกล่าว

ในดวงตาของหลันอิงเสวี่ยฉายแววอาฆาต “เช่นนั้นก็ได้แต่ใช้วิธีสกปรกแล้ว!”

“นำชีวิตของมารดาเขามาข่มขู่หรือ” โอวหยางชิงกล่าว

หลันอิงเสวี่ยหัวเราะคิกคักขึ้นมาทันที “มีแค่ศิษย์พี่โอวหยางที่รู้จักข้าดีที่สุด”

โอวหยางชิงก็หัวเราะขึ้นมา มือข้างหนึ่งตบลงบนบั้นท้ายที่อวบอิ่มโค้งงอนนั่นของหลันอิงเสวี่ย กล่าวด้วยแววตาเร่าร้อน “คนไร้ประโยชน์ที่สี่ปีก่อนยังไม่เข้าใจเรื่องฝึกปราณ กลับมีมรรควิถีที่น่ากลัวเช่นนั้นในชั่วขณะเดียว เรื่องนี้ต้องมีความลับอยู่แน่ หากเจ้ามองทะลุความลับนี้ได้ ไม่แน่ว่า… พวกเราสองคนอาจได้กลับไปเหยียบหนทางแห่งการฝึกปราณใหม่อีกครั้ง”

ลมหายใจของหลันอิงเสวี่ยก็เปลี่ยนเป็นหนักหน่วงขึ้นมา

ก้าวสู่เส้นทางฝึกปราณอีกครั้ง!

สิ่งล่อใจนี้เพียงพอทำให้ผู้ที่ถูกทำลายปราณคนใดก็ตามคลุ้มคลั่งอย่างไม่ต้องสงสัย

ห่างออกไปหลินสวินที่เห็นภาพต่างๆ นี้อยู่ในสายตาอดถอนใจกลางทรวงไม่ได้ สันดอนขุดง่าย สันดานเปลี่ยนยากจริงๆ!

เดิมทีเขายังคิดว่าหลังจากหลันอิงเสวี่ยได้ลิ้มรสการใช้ชีวิตบนโลกสักครั้ง ในที่สุดก็กลับเนื้อกลับตัว แต่เห็นชัดว่าทั้งหมดนี้เป็นการเสแสร้ง

“หลันอิงเสวี่ย” หลินสวินเอ่ยปาก

หลันอิงเสวี่ยและโอวหยางชิงที่ยืนอยู่ริมธารสายเล็กชะงักไปก่อน จากนั้นก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว เมื่อเห็นหลินสวินที่อยู่ห่างไกลต่างก็อึ้งงัน

ยามหลินสวินจากไป หลันอิงเสวี่ยและโอวหยางชิงล้วนระเหยหายไปจากโลกนี้โดยสมบูรณ์แล้ว

ลานเรือนที่เงียบสงบแห่งนั้น

“รอเมื่อเจ้าตื่นขึ้น จงกตัญญูต่อมารดาของเจ้าดีๆ อย่าทำให้นางทนทุกข์อีก…” หลินสวินพึมพำ

หลินสวินหยิบหยกประดับชิ้นนั้นออกมาโดยไม่ลังเล

วู้ม!

เมื่อพลังของหลินสวินแทรกเข้าไปในหยกประดับนั้น คลื่นสะเทือนเร้นลับหนึ่งพลันพาตัวเขาหายจากไปทันใด

เมื่อทัศนวิสัยแจ่มชัด สายน้ำแห่งกาลเวลาที่คุ้นเคยพลันปรากฏ ฟองคลื่นราวกับหิมะม้วนซัดไม่ขาดสาย

เวลาต่อมาการต่อสู้เก้าครั้งทยอยเปิดฉาก

หลังจากซัดคู่ต่อสู้คนสุดท้ายพ่ายยับเยิน หลินสวินอดหัวเราะลั่นขึ้นมาไม่ได้

ด้วยคนที่เป็นอันดับหนึ่งในพลังระดับกระบวนแปรจุติในอดีตถึงปัจจุบันนี้ เป็นศิษย์พี่รองที่หยิ่งทะนงจนเข้ากระดูก จ้งชิวในวัยหนุ่มนั่นเอง!

‘ศิษย์พี่รองหนอศิษย์พี่รอง เจอกันคราวหน้าจะดูว่าท่านยังหยิ่งทะนงได้อีกหรือไม่…’ หลินสวินรู้สึกเบิกบานใจ

ศิษย์พี่รองหยิ่งทะนงเกินไปแล้ว!

ในใจหลินสวินมีความคิดหนึ่งอยู่ตลอด สักวันหนึ่งเมื่อข้ามีพลังที่เหนือกว่าศิษย์พี่รอง สีหน้าของศิษย์พี่รองจะเป็นอย่างไร

“ด้วยพลังของเจ้า สามารถเป็นอันดับหนึ่งในพลังระดับกระบวนแปรจุติของทั่วหล้าตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันแล้ว”

เงาร่างที่วิวัฒน์จากระเบียบนั้นปรากฏตัวอีกครั้ง ประโยคเดียว พิสูจน์ว่าพลังต่อสู้ของหลินสวินไร้คู่ต่อกรตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันในระดับกระบวนแปรจุติแล้ว

จนถึงตอนนี้ห้าระดับใหญ่อย่างกำลังภายใน จิตผสานวิญญาณ มหาสมุทรวิญญาณ หยั่งสัจจะ กระบวนแปรจุติ หลินสวินทยอยผ่านและพิชิตมาทีละด่านแล้ว

เรียกได้ว่าไร้คู่ต่อกรในห้าระดับล่าง!

ร่างระเบียบเอ่ยปาก “เมื่อเข้าไปในประตูนี้ จะเข้าสู่โลกระดับราชัน”

ครั้งนี้หลินสวินลังเลเล็กน้อย

ปีนั้นเขาแจ้งมรรคที่แดนมกุฎ กลายเป็นระดับมกุฎราชัน สุดท้ายก็ผงาดเหนือกระดานทองคำผู้กล้า กลายเป็นอันดับหนึ่งในระดับมกุฎราชันของดินแดนรกร้างโบราณ

ในสถานการณ์เช่นนี้ ดูเหมือนว่าไม่จำเป็นต้องฝึกใหม่แล้ว

ทั้งคำนวณดูแล้ว ยามเข้าไปในวัฏจักรของโลกห้าระดับล่างจนถึงตอนนี้ ถ้านำมารวมกันก็ผ่านเวลาไปราวห้าปีแล้ว

“หากข้าจากไปตอนนี้จะปรากฏตัวอยู่ที่ใด” หลินสวินเอ่ยถาม

อันที่จริงเขาไม่คาดหวังว่าจะได้คำตอบ ใครจะคิดว่าครั้งนี้ร่างระเบียบกลับเอ่ยปากแล้ว

“ด้วยพลังต่อสู้ของเจ้า สามารถเข้าไปในกำแพงเมืองหมื่นมรรค บรรลุระดับจักรพรรดิบนหนทางแห่งนิพพานได้”

ประโยคเดียวทำให้หลินสวินใจสะท้าน

กำแพงเมืองหมื่นมรรค!

นี่ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือพลังระเบียบที่มาจากแดนปรินิพพานนี้ ถึงกับคิดว่าข้ามีพลังแจ้งมรรคในระดับจักรพรรดิได้?

หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเอ่ยถาม “ด้วยพลังต่อสู้ในระดับมกุฎราชันของข้า สามารถเรียกว่าไร้คู่ต่อกรในกาลเวลานับแต่อดีตถึงปัจจุบันได้หรือไม่”

“ไม่ได้”

เมื่อสองคำนี้ดังมาจากร่างระเบียบก็ทำให้หลินสวินอดอึ้งไปไม่ได้ ในใจเกิดความไม่พอใจขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง

หรือกล่าวได้ว่าไม่อาจทนให้สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอยู่บ้าง

หลินสวินคิดดูครู่หนึ่ง ก่อนก้าวเข้าไปในประตูใหญ่ที่เข้าสู่ ‘โลกระดับราชัน’ นั้นโดยไม่ลังเล

ระดับราชัน ยังถูกเรียกว่าระดับสังสารวัฏ มองทะลุความเป็นตาย เข้าสู่ความเป็นอมตะได้

เมื่อก้าวสู่ระดับราชันก็หมายความว่าก้าวสู่มรรคาอมตะ จิตวิญญาณดุจดวงประทีป สว่างไสวไม่เสื่อมคลาย

โลกระดับราชัน

หลังจากหลินสวินตื่นรู้ก็ใช้เวลาหนึ่งเดือน อนุมานประสบการณ์และมรรควิถีของตนบนมรรคาอมตะอีกครั้ง ในที่สุดก็ได้คำตอบที่โหดร้ายหนึ่งออกมา…

เขาในปีนั้นอาจเรียกได้ว่าไร้คู่ต่อกรในแดนมกุฎ เรียกได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งในระดับราชันของดินแดนรกร้างโบราณ

แต่หากอยู่ในสายน้ำแห่งกาลเวลาที่ไร้สิ้นสุดนั้น เหมือนจะไม่อาจเรียกว่า ‘ไร้คู่ต่อกรในกาลเวลานับแต่อดีตถึงปัจจุบัน’ ได้อย่างแท้จริง

สาเหตุอยู่ที่ในระดับมกุฎราชัน มรรควิถีและมรรคาที่ฝึกมาทั้งหมดของเขา แม้จะบรรลุถึงขั้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่ล้วนเป็นการฝึกมรดกที่คนรุ่นก่อนเหลือไว้ ดังนั้นจึงมีผลกระทบต่อความสำเร็จที่เขาได้รับบนมรรคาโดยปริยาย

ดังคำกล่าวที่ว่า ‘สืบทอดแผ้วทาง’ ปีนั้นยามอยู่ระดับมกุฎราชัน เขามีแค่ ‘สืบทอด’ แต่ไม่ ‘แผ้วทาง’

เมื่อชี้ชัดได้ดังนี้ หลินสวินลอบยินดีที่ไม่ได้เดินออกไปจากวัฏจักร หากแต่เลือกเข้ามาในโลกระดับราชันนี้อย่างอดไม่ได้

ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางพบ ‘ช่องโหว่’ ของตนบนมรรคาอมตะแน่

ในช่วงเวลาต่อมา หลินสวินละทิ้งมรรควิถีก่อนหน้านี้อย่างเด็ดเดี่ยว ใช้คัมภีร์เตาหลอมมหามรรคเป็นรากฐาน ใช้ยอดคัมภีร์มรรคนานัปการเป็นการอ้างอิง ใช้ประสบการณ์ฝึกปราณในอดีตมาชี้นำ ฝึกมรรคาอมตะใหม่อีกครั้ง

กระทั่งก้าวสู่ระดับอมตะเคราะห์ด่านเก้าขั้นสัมบูรณ์ก็ผ่านไปสองปีแล้ว

วันนี้หลินสวินมุ่งหน้าสู่หุบเขาราชันที่ถูกราชันทั่วหล้ามองเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ในใจด้วยตัวคนเดียว